xs
xsm
sm
md
lg

คุณค่าของประยุทธ์ที่ยังพอมี

เผยแพร่:   โดย: สุรวิชช์ วีรวรรณ



ตอนที่ม็อบ กปปส.ชุมนุม แม้ตอนนั้นรัฐบาลใกล้จะสิ้นสภาพเพราะรัฐบาลขณะนั้นไม่สามารถปกครองได้แล้ว ผมก็ยังไม่คาดคิดมาก่อนว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบกจะทำรัฐประหาร เพราะเห็นได้ชัดว่า พล.อ.ประยุทธ์ในขณะนั้นมีความนอบน้อมต่อนายกรัฐมนตรีในขณะนั้นมาก

แม้ตอนนั้นการชุมนุมจะมีฉากขำขันเช่นว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ นำทัพเดินมาจากไหนไม่รู้แต่พอถึงหน้าสนามม้านางเลิ้ง แล้วก็หยุดทัพ พร้อมเรียกให้ผู้นำกองทัพและข้าราชการมารายงานตัวกับตัวเอง ซึ่งแน่นอนไม่มีใครมา เพราะรัฐบาลขณะนั้นยังคงอยู่ มีคนบ้าเท่านั้นที่จะมารายงานตัวกับนายสุเทพในตอนนั้น

แต่สุดท้ายพล.อ.ประยุทธ์ก็ต้องทำรัฐประหารจนได้ โดยอ้างไว้เป็นทางการในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวว่า ได้เกิดสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองขึ้นในกรุงเทพมหานครและพื้นที่ใกล้เคียงต่อเนื่องมาเป็นเวลานาน จนลุกลามไปสู่แทบทุกภูมิภาคของประเทศ ประชาชนแตกแยกเป็นฝ่ายต่างๆ ขาดความสามัคคีและมีทัศนคติไม่เป็นมิตรต่อกัน บางครั้งเกิดความรุนแรง ใช้กําลังและอาวุธสงครามเข้าทําร้ายประหัตประหารกัน สวัสดิภาพและการดํารงชีวิตของประชาชนไม่เป็นปกติสุข การพัฒนาเศรษฐกิจและการเมืองการปกครองชะงักงัน กระทบต่อการใช้อํานาจในทางนิติบัญญัติ ในทางบริหาร และในทางตุลาการการบังคับใช้กฎหมายไม่ได้ผล นับเป็นวิกฤตการณ์ร้ายแรงที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

ตอนเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีใหม่ๆ พล.อ.ประยุทธ์วิจารณ์นักการเมืองด้วยทัศนคติที่ชิงชังเสมอมา เช่นว่า “บางอย่าง ผมไม่ใช่นักการเมือง เวลาพูดอะไรก็จะพูดไปตามความเชื่อในหลักการและข้อเท็จจริงตามกฎหมาย” รวมทั้งพูดว่า ไม่อยากเป็นนักการเมืองนับสิบครั้ง

ยังรวมถึงการวิพากษ์นโยบายประชานิยมอย่างเผ็ดร้อน ครั้งหนึ่งพล.อ.ประยุทธ์บอกว่า “ผมเป็นรัฐท่านเป็นประชาชนมาสัญญาร่วมกันที่จะทำงานต่างๆ ซึ่งไม่ใช่เป็นการทำเพื่อผม แต่ฟากเราต้องทำเพื่อท่าน ถ้าเราทำแบบเอาเงินไปให้ทุกครั้งที่มีปัญหาวันหน้าก็จะต้องเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ เกิดการเป็นบุญคุณ ซึ่งก็จะเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ แต่รัฐบาลนี้ไม่เคยคิดที่จะมีบุญคุณกับพวกท่าน เพียงแต่ต้องการให้เกิดบุญคุณกับประเทศชาติ และครอบครัวของทุกคนเท่านั้น”

แต่สุดท้ายพล.อ.ประยุทธ์ก็กลายเป็นนักการเมืองที่ทำทุกอย่างแบบนักการเมือง และใช้นโยบายประชานิยมเอาเงินไปแจก ไม่ต่างจากที่เขาเคยวิจารณ์นักการเมืองมา

การอยู่ในอำนาจจากปากกระบอกปืนทำให้พล.อ.ประยุทธ์ รู้ว่าอำนาจเป็นสิ่งที่หอมหวน แม้ครั้งหนึ่งจะเคยพูดว่า “ผมไม่ใช่นักการเมืองที่ต้องอยู่ให้นานเพื่ออำนาจ ผมเคยบอกหลายครั้งแล้วเรื่องนี้ ผมชินกับการใช้อำนาจมาเยอะแล้ว เป็นผู้บังคับบัญชาทหาร...”

พูดได้ว่า เป็นเรื่องหลอกลวงก็ว่าได้ เพราะสุดท้ายก็คิดค้นนวัตกรรมด้วยการออกแบบรัฐธรรมนูญเพื่อให้ตัวเองสืบทอดอำนาจต่อไปได้อีก โดยวาดฝันว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรีจากการเลือกตั้งออกไปอีก 2 สมัย พร้อมกับเสียงเชียร์จากฝั่งประชาชนที่นิยมชมชอบว่า การเป็นนายกรัฐมนตรีของพล.อ.ประยุทธ์นั้นทำให้บ้านเมืองสงบ

ทั้งที่จริงความสงบของบ้านเมืองในขณะนั้นถูกกดไว้ด้วยอำนาจจากปากกระบอกปืน และมาตรา 44 ที่เป็นกฎหมายที่ทำให้ประยุทธ์เหาะเหินเดินอากาศได้ประดุจเทพเจ้า

จากคนที่บอกว่าจะเข้ามาแก้วิกฤตของบ้านเมือง วันนี้พล.อ.ประยุทธ์กลายเป็นวิกฤตเสียยิ่งกว่าเก่า เพราะการออกแบบรัฐธรรมนูญให้ตัวเองสืบทอดอำนาจนั้น กลายเป็นกติกาที่ไม่เป็นธรรมกับพรรคการเมืองอื่น แม้อ้างว่าตัวเองจะมาจากการเลือกตั้งของประชาชนก็ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นรัฐบาลประชาธิปไตย ในขณะเดียวกันก็บริหารประเทศไม่ได้แตกต่างไปจากนักการเมืองที่พล.อ.ประยุทธ์เองเคยวิพากษ์วิจารณ์มา และการเมืองภายใต้พล.อ.ประยุทธ์ก็มีการแย่งชิงผลประโยชน์ไม่ต่างจากอดีต

กระทั่งชวนให้สงสัยว่า แท้จริงแล้วพล.อ.ประยุทธ์มีอำนาจเต็มไหม หรืออยู่ภายใต้อำนาจของ Deep State ในพรรค ที่ลึกๆ แล้วการเมืองเป็นเรื่องของการแบ่งบทกันเล่นโดยมีคนกุมเกมทางการเมืองที่แท้จริง เป็นนายโรงที่แบ่งบทให้พล.อ.ประยุทธ์รับบทของพระเอกเท่านั้นเอง

อำนาจที่ได้มาโดยไม่ชอบธรรมจากกติกาที่ไม่เป็นธรรม แม้จะอ้างประชามติเสียงข้างมาก ก็ไม่ทำให้พ้นจากมลทินความมัวหมองได้ เมื่อเสียงจากประชาชนอีกฝั่งดังขึ้นเพื่อเรียกร้องให้ล้มรัฐธรรมนูญแล้วเขียนกติกาขึ้นใหม่ ความชอบธรรมของพวกเขาจึงมีความหนักแน่นและได้รับการขานรับจากหลายภาคส่วน

พล.อ.ประยุทธ์จึงเป็นรัฐบาลชุดที่สองที่ถูกไล่ด้วยการชุมนุมของนักเรียนนักศึกษาต่อจากรัฐบาลเผด็จการจอมพลถนอม กิตติขจร แม้การลุกขึ้นของนักเรียนนักศึกษาจะมาจากการปลุกปั่นของฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองก็ตาม

และแม้ว่าไม่มีการชุมนุมไหนหรอกที่ล้มรัฐบาลลงได้ ยกเว้นว่าประชาชนจะลุกฮือกันทั้งประเทศจนกลายเป็นประชาชนปฏิวัติ แต่ความพยายามเพิกเฉยของพล.อ.ประยุทธ์ต่อผู้ชุมนุมก็ทำให้วันนี้ข้อเรียกร้องที่แอบแฝงของผู้ชุมนุมบานปลายออกมาเป็นการมุ่งเป้าโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์

คำถามว่า พล.อ.ประยุทธ์จะหยุดวิกฤตที่ลามออกไปด้วยตัวเองเพราะต้องรู้ตัวว่าตัวเองนั่นแหละที่เป็นต้นเหตุของวิกฤตการณ์ในวันนี้ หรือจะปล่อยให้กลายเป็นเฉกเช่นเดียวกับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่ปกครองไม่ได้จนประเทศกลายเป็นรัฐล้มเหลว แล้วปล่อยให้ทหารเข้ามายึดอำนาจอีก

แต่ต้องตระหนักว่า การตื่นตัวของประชาชนที่สูงแม้จะมาจากการแอบอยู่ข้างหลังผู้ชุมนุมเพื่อมุ่งหวังอำนาจทางการเมืองของอีกฝั่งนั้น ก็ไม่ใช่ว่าผลลัพธ์ของการรัฐประหารจะลงเอยแบบเดิมได้อีก แต่มันอาจจะเป็นตัวฉุดรั้งเสาหลักของสังคมไทยให้ล้มครืนลงมาก็ได้

ไม่รู้หรอกว่านอกจากอำนาจหอมหวนแล้วความคิดในการสร้างรัฐธรรมนูญเพื่อสืบทอดอำนาจจนกลายเป็นกติกาที่ไม่เป็นธรรมของพล.อ.ประยุทธ์นั้น มาจากเหตุผลที่ลึกลับซับซ้อนยังไง หรือมีเงื่อนไขความจำเป็นที่ต้องยึดกุมอำนาจไว้อย่างไร แต่เห็นได้ว่าวันนี้ความขัดแย้งมันกลับรุนแรงขึ้น

ผมมองว่าทางออกวันนี้ไม่ใช่การจะแก้รัฐธรรมนูญแบบใช้กลไกเพื่อลากถ่วงเวลาให้ยื้อออกไปให้นานที่สุด แต่ต้องแสดงความจริงใจออกมาให้เห็นว่า รัฐบาลพร้อมที่จะสละอำนาจแล้วนำพาประเทศไปสู่กติกาที่เป็นประชาธิปไตยที่เท่าเทียมกันโดยเร็ว

และต้องยอมรับว่าภาพของพล.อ.ประยุทธ์ที่มองเห็นแม้จะมีประชาชนอีกฝั่งหนุนหลัง ก็คือ ศักยภาพที่ไม่ได้แตกต่างจากนักการเมืองธรรมดาคนหนึ่ง ไม่ได้แสดงออกถึงการมุ่งมั่นที่จะปฏิรูปด้านต่างๆ ไปสู่การพาประเทศก้าวไปข้างหน้าได้ หรือดับวิกฤตความขัดแย้งของคนในชาติ และการดำรงอยู่ของพล.อ.ประยุทธ์ก็ยิ่งจะทำให้ความแตกแยกดำรงอยู่ต่อไป

แม้ตอนเข้ามากระแสของการปฏิรูปจะสูง แต่ 5 ปีในการรัฐประหารถึงพล.อ.ประยุทธ์จะตั้งคณะกรรมการปฏิรูปขึ้นมานับสิบคณะ แต่ผลการประชุมของคณะกรรมการปฏิรูปทุกชุดก็ถูกเก็บไว้ในลิ้นชัก รวมถึงการปฏิรูปตำรวจที่พล.อ.ประยุทธ์ตั้งคณะกรรมการออกมาต่างหากอีกหลายชุด ซึ่งทั้งหมดไม่ได้มีมรรคผลอะไรออกมาเลย

ดังนั้นต้องคิดให้ได้ว่า 5 ปีการเป็นนายกรัฐมนตรีภายใต้อำนาจเบ็ดเสร็จ พล.อ.ประยุทธ์ก็ยังไม่มีศักยภาพพอที่จะแก้ไขวิกฤตของประเทศได้ การเป็นรัฐบาลเป็ดง่อยที่อยู่ภายใต้การบงการของ Deep State นั้น ก็ไม่มีวันที่จะเป็นที่คาดหวังของประชาชนได้เลย

ถ้าวันนี้พล.อ.ประยุทธ์จะยังมีคุณค่าอยู่บ้าง ก็คือการมองเห็นให้ได้ว่าตัวเองเป็นปัญหาและวิกฤตที่ต้องลงมือดับด้วยตัวเอง

ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan


กำลังโหลดความคิดเห็น