ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ก้นยังไม่ทันร้อน ตดยังไม่ทันหายเหม็น
จู่ๆ ปรีดี ดาวฉาย ก็ด่วนตัดสินใจม้วนเสื่อกลับบ้าน ปิดตำนาน “ขุนคลังป้ายแดง” ไปในเวลาเพียง 20 กว่าวันเท่านั้น สั้นจนต้องบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทยกันเลยทีเดียว
หน้าฉากที่ยังไม่มีคำยืนยันใดๆ จากเจ้าตัว ก็หยิบเหตุผลสุดจะคลาสสิก อย่าง “ปัญหาสุขภาพ” มากรอกไว้ในหนังสือลาออกอย่างเป็นทางการ สำทับด้วยคำยืนยันจาก 2 รองนายกฯ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และ “เนติบริกร” วิษณุ เครืองาม ที่ประสานเสียงว่า “ปรีดี” ป่วยจริง มีอาการหลอดเลือดสมองตีบ หรือมินิสโตรก และหลังรับตำแหน่งก็เครียดอาการกำเริบชาที่แขน-ขาด้านซ้าย
จริงอยู่อาการที่ว่า ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นสำหรับคนวัยพ้นแซยิดอย่าง “ปรีดี” ที่ปีนี้ปาเข้าไป 62 ขวบเข้าให้แล้ว แต่ที่คนแปลกใจก็ทำไม๊ ทำไม เพิ่งมากำเริบเอาหลังมารับตำแหน่งสำคัญได้ไม่นาน
ก็เลยสรุปกันแบบไม่ไว้หน้า 2 รองนายกฯ อาการแบบนี้ท่าจะ “ป่วยการเมือง” เป็นแน่
ขณะเดียวกันสิ่งที่เกิดขึ้นยังสะท้อนให้เห็นถึง “ปรากฏการณ์ปรีดีเดียวดาย” และฉายภาพ “ทฤษฎีกิโดราห์” หรือ “มังกรสามหัวแต่ลำตัวเดียวกัน” อันเป็นสภาพที่แท้จริงของการเมืองไทยในยุคนี้ให้แจ่มชัดขึ้น ซึ่งถ้าจะว่าไปก็ไม่น่าแปลกใจว่า ทำไมบทสรุปของปรีดีจึงออกมาเยี่ยงนั้น
ผลพวงของการ “อ่อนพรรษาทางการเมือง” ทำให้ปรีดีไม่รู้ว่า Deep State ในเวลานี้ เขามียุทธศาสตร์ในการบริหารราชการแผ่นดินแบบ “มองตาก็รู้ใจ” ไม่ต่างอะไรจาก “กิโดราห์” ที่มี “3 หัว” อยู่บนตัวเดียวกัน
หัวแรกเป็นหัวของ“ลุงตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
หัวที่สองเป็นหัวของ “ลุงป้อม-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ”
และหัวที่สามเป็นหัวของ “ลุงป๊อก-พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา”
กรณี“ปรีดี” สะท้อนทฤษฎี “กิโดราห์” มังกร 3 หัวแต่ลำตัวเดียวกันให้แจ่มชัดเป็นลำดับว่า อะไรเป็นอะไร ซึ่ง “ปรีดี” คงประจักษ์ด้วยตัวเองแล้ว และตัดสินใจ “บ๊าย บาย” ไปแบบไม่มีใครหรืออะไรมาทัดทานได้
ด้วยตลอดระยะเวลาที่รับตำแหน่ง “ขุนคลัง” มา ก็มีแต่ข่าวคราวความไม่สะดวกใจในการทำหน้าที่ เจอ “รับน้อง” หนักๆ มาตลอด โดยเฉพาะไฟต์เดือดๆในการประชุม ครม.สัญจร ที่เกิดปัญหากับ “เจ้าพ่อเมืองมะขามหวาน” สันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง เหตุจากโผบิ๊กข้าราชการกระทรวงการคลังไม่ตรงกัน จนต้องชักวาระออกกันกลางอากาศ
ที่สุดโผโยกย้ายวนกลับเข้า ครม.ในสัปดาห์ถัดมา แล้วว่ากันว่าโผที่มติ ครม.ที่กดไฟเขียวให้ก็เป็นไปตามที่ “ปรีดี” ต้องการ ซึ่งดูแบบผิวเผินมองว่าศึกนี้ “ว่าการ” มีชัยเหนือ “ช่วยว่าการ” ทว่า วันเดียวกันนั้นเองที่ “ปรีดี” กลับต้องเป็นฝ่ายไปแทน สะท้อนว่าถ้าอาการป่วยไม่หนักหนาสาหัสจริง ก็พิสูจน์ชัดว่าเรื่องราวความขัดแย้งภายในกระทรวงการคลังมีมากกว่าเรื่องโผแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ
กลายเป็นว่า “นายแบงก์ใหญ่” อย่าง “ปรีดี” ก็ดัน “ภูมิคุ้มกันทางการเมือง” ต่ำกว่าที่คาด ต้องลาโรง พกเกียรติประวัติ อดีต รมว.คลัง ติดตัวกลับบ้านไป ไม่แค่ไปรักษากายเท่านั้น ยังต้องไปรักษา “แผลใจ” ที่ดันมาเจอการเมืองของจริงเข้าให้อีก
เพราะผู้คนต่างให้น้ำหนักในเรื่องการเมืองมากกว่าอาการป่วยของเจ้าตัว
แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือ คำถามที่ว่าแล้วทำไม “ลุงตู่” ถึงไม่สามารถเหนี่ยวรั้ง “ปรีดี” เอาไว้ ทั้งๆ ที่ต้องไม่ลืมว่า กว่าจะได้ “ปรีดี” มานั่งเก้าอี้ตัวนี้ไม่ใช่ง่ายๆ โดยในการทาบทาบ “ปรีดี” เป็นรายแรกๆ ด้วยซ้ำที่ปฏิเสธคำเชื้อเชิญ ที่สุดต้องอาศัยบารมี “เจ้าสัวปั้น” บัณฑูร ล่ำซำ บิ๊กรวงข้าวตัวจริง ที่ขอร้องแกมบังคับให้มาช่วยรัฐบาล
หรือทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเพียง “ฉากละครทางการเมือง”
เป็นไปได้หรือไม่ที่ผู้เป็นเจ้าของโควตาเก้าอี้ตัวนี้ต้องการให้ “ปรีดี” เป็นเพียงแค่ “ไม้ประดับ” ไม่ได้ประสงค์จะให้มีอำนาจในการบริหารราชการแผ่นดิน เพราะในความเป็นจริงได้มีการออกแบบการทำงานของ “ทีมเศรษฐกิจ” ในรูปแบบของ “ศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบศ.” ซึ่ง “ลุงตู่” นั่งเป็นประธาน เหมือนที่ประสบความสำเร็จมาแล้วในการจัดการกับโควิด-19 ด้วย ศบค.หรือศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)
ว่ากันว่า เป็นวิธีการทำงานที่จำลองแบบมาจากการบริหารราชการของ “สี จิ้นผิง” ประธานาธิบดีจีนที่สามารถสั่งการได้แบบเบ็ดเสร็จในทุกเรื่อง
แล้วใน ศบศ. “ปรีดี” ก็ไม่ได้มีบทบาทอะไรมากมายนัก
นอกจากนี้ อายุขัยทางราชการ 20 กว่าวันของ “ปรีดี” ยังเป็นการขยี้ซ้ำความชอกช้ำของก๊วน “สมคิด แอนด์ สี่กุมาร” ที่สู้เสียสละอุตส่าห์ก่อร่างสร้างพรรคพลังประชารัฐขึ้นมา ยังอยู่ไม่ได้ ตอกย้ำความอำมหิตของ “เสือหิว-เสือโหย” เหล่านักการเมืองในรัฐบาล หรือพูดให้ถูกในพรรคพลังประชารัฐได้เป็นอย่างดี
ว่ากันตามตรง ในช่วงที่ “ทีมสมคิด” ยังทำงานก็ตกอยู่ในสภาพไม่ต่างจาก “ปรีดี” ด้วยรายการประเภท “คุณขอมา” ในเก้าอี้สำคัญๆ ก็มีมาให้เห็นอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง โดยเฉพาะกลุ่มทุนที่เชื่อมโยงกับ “Deep State”
ดังนั้น ความขัดแย้งในแต่งตั้ง “ผู้บริหาร” ในกระทรวงการคลังเที่ยวนี้ จึงสามารถตีความได้เช่นกันว่า “สันติ” ไม่ได้ดำเนินการโดยเอกเทศ หากแต่ “ผู้ใหญ่” รับรู้ ทำให้สภาพภายในองค์กรสับสนอลหม่านเพราะตกอยู่ในสภาพ “ปรีดีคุมนโยบาย” แต่ “สันติคุมการบริหารราชการ”
เก้าอี้ “ขุนคลัง” ของ “ปรีดี” จึง “เดียวดาย” เพราะมีอำนาจเพียงแค่ “รักษาราชการแทน”
และไม่ใช่เฉพาะภายในกระทรวงการคลังเท่านั้น หากแต่ยังรวมไปถึงกับทีมงานพรรคพลังประชารัฐ และทีมงาน Deep State ในหน่วยงานที่กระทรวงการคลังเป็น “ผู้กำกับ” อีกต่างหาก
ที่จริงหากย้อนกลับไปดูเมื่อครั้ง “ปรีดี” ตัดสินใจรับตำแหน่ง ก็จะเห็นร่องรอยของความพิสดารแอบแฝงอยู่ เพราะในความจริง “ปรีดี” ควรเป็นรัฐมนตรีคลังควบเก้าอี้รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ แต่ “ลุงๆ” กลับยกเก้าอี้ตัวนี้ให้กับ “สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์” ที่เป็นทั้งรองนายกฯ และรมว.พลังงาน พร้อมมอบหมายให้กำกับกระทรวงคลังอีกต่างหาก
เพียงแต่ “ลุงๆ” ไม่คาดคิดว่า “ปรีดี” จะตัดสินใจลาออกง่ายๆ เช่นนี้ ทำให้ทุกอย่างไม่เป็นไปตามแผน
แล้วไม่ใช่แค่ความโหดร้ายของวงจรการเมือง โหดหนักกว่าคือ สภาพเศรษฐกิจ ที่ไม่ต่างจาก “เผือกร้อน” วันนี้มือชั้นเซียนแค่ไหนก็คงไม่มีใครกล้าทะเล่อทะล่ามาอุ้ม เหมือนเอาชื่อมาทิ้งเสียเปล่าๆ
ตัว “ปรีดี” เองแม้ไม่ใช่นักการเงินการคลังโดยตรง แต่โปรไฟล์ก็หรูเลิศ เป็นถึงกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) และประธานสมาคมธนาคารไทย ยังร้อง “ไอหย๊าาาาา” เมื่อเจอข้อมูลจริง
เข้ามารับตำแหน่งไม่นาน ก็ต้อนรับกันด้วยข่าวร้าย “รัฐบาลถังแตก” ต้องขอกู้เต็มเพดาน เพื่อเต็มเงินมาจ่ายเงินเดือนข้าราชการ เพราะรัฐบาลการจัดเก็บรายได้ลดลงจากพิษโควิด อีกทั้งเดือนหน้า ต.ค. ก็นับถอยหลังภาวะ “ฝีแตก” หมดโปรโมชั่นพักหนี้ชั่วคราวของธนาคารรัฐ ที่ตามรายงานมีลูกหนี้เข้าโปรแกรมกว่า 16.3 ล้านราย ยอดหนี้รวม 6.8 ล้านล้านบาท คิดเป็น 1 ใน 3 ของยอดหนี้รวมในสถาบันการเงินทั้งประเทศ
ว่ากันว่า 16.3 ล้านรายที่ว่าจะมีปัญญากลับมาจ่ายหนี้ปกติคงเป็นส่วนน้อย และส่วนใหญ่กำลังง้างมือเตรียม “ชักดาบ” กันแล้ว
“ปรีดี” ที่เพิ่งปลุกความเชื่อมั่นนักลงทุนว่า ปีหน้าฟ้าใหม่ไทยเตรียมทะยาน จีดีพีบวกแน่อย่างน้อย 4-5% พูดยังไม่ทันขาดคำสัปดาห์เดียว ก็ชิ่งโบกมือบ๊ายบายซะแล้ว
การเมืองโหดร้าย สถานการณ์ไม่เอื้อ เงื่อนไขแบบนี้ใครหน้าไหนจะกล้าเป็น “อัศวินม้าขาว” มาเสียบเก้าอี้ “ขุนคลัง” แถม “ตัวเล่น” ในมือก็แทบไม่มี ตัวช่วยชั้นดีอย่าง “สี่กุมาร” ก็คงไม่กล้าบากหน้าไปใช้บริการ
ครั้นจะไปหยิบชื่อเก่าๆ ที่เคยทาบทามไว้ ไม่ว่า วิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธ.ป.ท.), ไพรินทร์ ชูโชติถาวร อดีต รมช.คมนาคม สายตรงนายกฯ และ ทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สคช.) ที่กำลังจะเกษียณอายุราชการ ฯลฯ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นประเภท “รู้หลบเป็นปีก” คงรู้ดีว่าเข้ามาแล้วจะเจออะไร และหากคิดจะมาจริง ก็คงเฮโลมากันตั้งแต่งวดก่อน ไม่หาข้ออ้างร้อยแปดพันเก้าจนตกมาถึง “ปรีดี” เป็นแน่
ขณะที่พวกที่มีกลิ่นการเมือง น่าจะตัดทิ้งไปได้ทั้ง “เสี่ยดอน” กรณ์ จาติกวณิช อดีต รมว.คลัง และหัวหน้าพรรคกล้า หรือกระทั่ง “ฝ่ายทักษิณ” อย่าง สุชาติ ธาดาธำรงเวช อดีต รมว.คลัง ในรัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ก็คงไม่หน้ามืดเข้ามารับเผือกร้อน แถมเจอแฟนคลับขั้วตัวเองไม่เผาผี อย่างแน่นอน
ภาวการณ์แบบนี้ ไม่แปลกที่ สันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง จะกระหยิ่มยิ้มย่องในใจ เพราะรู้ดีว่า “นายกฯตู่” แทบจะหมดตัวเล่น ไม่มีตัวเลือก
แล้วยังมีประเภท “สายเชลียร์” ที่อวยให้ “ลุงตู่” ควบ รมว.คลัง เอง ก็คงพวกหวังดีประสงค์ร้าย เพราะขนาด ทักษิณ ชินวัตร ที่ว่าแน่ๆ ยังไม่เคยคิดจะควบกระทรวงการคลังด้วยตัวเองเลย
อีหรอบนี้ “สันติ” ก็สบช่อง “คิดการใหญ่” ทันที
ต้องไม่ลืมว่า ศึกในพรรคพลังประชารัฐ ที่ก่อการยึดพรรคตะเพิด “สี่กุมาร” พ้นทางไปได้ “สันติ” เป็นคนที่ออกตัวแรงมากที่สุดคนหนึ่ง แต่กลายเป็นว่า หลังปรับ ครม.ยังจุ้มปุ๊กอยู่ที่ รมช.คลัง ทั้งที่ใจจริงหวังว่า จะได้อัพเกรดขึ้นเป็น รมว.คลัง หรือไปเป็น “ว่าการ” ที่อื่น ในฐานะที่เคยผ่านประสบการณ์ “กระทรวงเกรดเอ” มาแล้ว
เมื่อ รมว.คลัง ถอดใจ ตัวเลือกในมือ “บิ๊กตู่” ก็ขาดแคลน “สันติ” ก็เลยได้กลับมา “ฝันใหญ่” อีกครั้ง โดยเชื่อว่ามีแบ็คอัพอย่าง “ลุงป้อม-ประวิตร” ช่วยผลักดันอีกแรง
“ผมทราบถึงสถานการณ์ จากประสบการณ์ทำงานกับ รมว.คลังถึง 2 คน และรองนายกฯด้านเศรษฐกิจอีก 1 คน และทำงานภายใต้ความกดดันมาตลอดระยะเวลา 1 ปีกว่า รวมถึงมีประสบการณ์เคยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ซึ่งขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนายกฯ และรองนายกฯประวิตร จะหารือกัน ซึ่งเรื่องการดูแลบ้านเมือง หากนายกฯ ไว้วางใจก็พร้อมทำหน้าที่”
คำประกาศอย่างไม่มีขวยเขินของ “สันติ” พร้อมโฆษณาตัวเองเสร็จสรรพว่า “มีความพร้อม” อุปมา “กลองดี” ไม่ต้องใช้คนตี ตีเองดังเองกันไปเลย
บังเอิญไปคล้ายกับเมื่อครั้ง “มาดามแหม่ม” นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ที่วันนี้เป็น รมช.แรงงาน เคยมีชื่อคั่ว รมว.คลัง ครั้งนั้น “ศาสตราจารย์แหม่ม” ก็พรั่งพรูไล่เรียงโปรไฟล์หรูว่า พร้อมรับตำแหน่งเช่นกัน หากได้รับความไว้วางใจ
บังเอิญอีกว่ามีสูตรปรับ ครม.ใหม่ อัพเกรด “สันติ” ขึ้น รมว.คลัง แล้วสไลด์ “นฤมล” จาก รมช.แรงงาน มาเป็น รมช.คลัง ที่น่าจะถนัดกว่า เชียร์ส่งกันโหวกเหวก นี่มัน “ดรีมทีมพลังประชารัฐ” ชัดๆ
แถมยังมีความเคลื่อนไหวจาก “พรรคเล็ก” นำโดย “เฮียเต้ พระราม 7”-มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์” ที่หนุนให้ “ลุงตู่” นั่งเก้าอี้ “ขุนคลัง” เสียเอง พร้อมทั้งเรียกร้องให้คืนเก้าอี้ “รมว.กลาโหม” ให้กับ “ลุงป้อม” อีกต่างหาก
แต่ก็มีเสียงกระแอมดังๆ มาจากคณะกรรมาธิการงบประมาณฯปี 2564 ที่ประชุมอยู่ที่สภาฯว่า “เฮียสันติ” ที่ส้มหล่นได้เป็นประธานกรรมาธิการฯแทน รมว.คลัง คนก่อน จะเป็น “ขุนคลัง” เองไหวหรือ
ก็ขนาดในวงประชุมกรรมาธิการงบประมาณฯ ที่เป็น “หัวโต๊ะ” ยังทำได้แค่เปิด-ปิดประชุมเท่านั้น ส่วนการควบคุมการประชุมที่ดุเดือดเลือดพล่านยังต้องไหว้วานให้รองประธานฯผลัดเปลี่ยนมาทำหน้าที่แทน เพราะ “สันติ” คุมเกมไม่อยู่ซะอย่างนั้น เฉกเช่นเดียวกับ “ศาสตราจารย์แหม่ม” ที่ยังมีเครื่องหมายคำถามแปะหน้าผากถึงการทำงานบริหารอยู่ตลอด
เข้าใจได้ว่าสูตร “เฮียสัน-เจ๊แหม่ม” อาจตอบโจทย์ปัญหาในพรรคพลังประชารัฐ อันนั้นแน่นอน แต่ตอบโจทย์ประเทศในยามวิกฤตขนาดนี้หรือไม่นั้น ตอบไม่ยาก
แล้วถ้าเป็นดรีมทีม “สันติ-นฤมล” มาจริง คงบันเทิงพิลึก
อย่างไรก็ดี ไม่ว่าใครจะมาหรือใครจะไป แต่สภาพที่ต้องยอมรับความจริงกันก็คือ “มังกรกิโดราห์” คือผู้มีอำนาจตัวจริง แล้วก็เลิก “มโน” กันได้แล้วว่า พวกเขาคิดไม่เหมือนกัน เพราะแม้จะมี 3 หัว แต่ก็อยู่บนตัวเดียวกันและมีหัวใจดวงเดียวกัน
รู้จัก “กิโดราห์” ต้นแบบ Deep State การเมืองไทย
มังกรกิโดราห์(Ghidorah) เป็นสัตว์ประหลาดเก่าแก่ในวงการภาพยนตร์ญี่ปุ่นมีเอกลักษณ์ที่ชัดเจนคือ “มังกรสามหัว” เป็นผลผลิตของ “โตโฮ” มีหนังของตัวเองในชื่อ Ghidorah, the Three-Headed Monster ออกมาเมื่อปี 1964 และเป็นคู่ปรับสำคัญของ “ก็อตซิลลา” ใน Godzilla : King Of The Monsters ซึ่งเป็นการปรากฏตัวครั้งแรกในภาพยนตร์ฮอลลีวูดของกิโดราห์
ในเวอร์ชันญี่ปุ่นนั้นถูกเล่าไว้ว่าเป็นสัตว์ประหลาดที่มาจากต่างดาว มีอิทธฤทธิ์ร้ายกาจมาก ขนาดที่ว่าสามารถทำลายดวงดาวได้ มันเคยทำลายดาววีนัสมาแล้ว กิโดราห์มีพลังทำลายเรียกว่า “กราวิตี้ บีม” โดยทำให้ชั้นบรรยากาศที่ห่อหุ้มโลกเถูกเปิดออก และสภาพอากาศจะวิกฤต ท้องฟ้าจะเต็มไปด้วยพายุสายฟ้าในแบบที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน
ส่วนในเวอร์ชั่นฮอลลีวูดนั้น กิโดราห์มีชื่อรหัสว่า “Monster Zero” ที่ผ่านมานั้นซ่อนตัวลึกอยู่ใต้คาบสมุทรแอนตาร์กติก กิโดราห์ โดนค้นพบโดยหน่วยโมนาร์ช องค์กรลับที่เฝ้าระวังอสูรยักษ์ทั่วโลก โมนาร์ชคอยตามเฝ้าระวังและศึกษากิโดราห์มาระยะหนึ่ง และพบว่าทั้ง 3 หัวของกิโดราห์นั้นมีอุปนิสัยแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง กิโดราห์เป็นศัตรูตัวสำคัญของก็อตซิลลา เป็นคู่ต่อสู้ที่ขนาดตัวต่างกันมาก เพราะกิโดราห์นั้นสูงถึง 158 เมตร ในขณะที่ก็อดซิลล่าตัวอ้วนพีนั้นสูงแค่ 108 เมตร