เบื้องหลัง ‘ปรีดี ดาวฉาย’ ตัดสินใจทิ้งเก้าอี้ รมว.คลัง ยอมทิ้งเงินเดือนหลักล้าน เพราะต้องการทำ ‘เพื่อชาติ’ แต่เพียงแค่ 27 วันก็โบกมือลา เมื่อทุกอย่างมาถึงทางตัน เผยไม่ใช่ความขัดแย้งกับ ‘สันติ พร้อมพัฒน์’ เรื่องโละบอร์ดชุด ‘สมคิด-อุตตม’ และการตั้งอธิบดีกรมสรรพสามิต หรือหนีการอภิปรายในวันที่ 9 ก.ย.นี้ ทั้งหมดเป็นเพียงปัจจัยนำไปสู่ความเครียด กระทบต่อสุขภาพ ส่วนปัญหาลึกๆ ทนไม่ได้หากถูกแอบอ้างชื่อไปเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ จับตา ‘ชาญศิลป์ ตรีนุชกร’ อดีตซีอีโอ ปตท.ที่ ‘บิ๊กตู่’ ส่งไปแก้ปัญหาการบินไทย จะนั่ง รมว.คลังคนใหม่หรือไม่?
การลาออกของนายปรีดี ดาวฉาย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่เพิ่งเข้ามารับตำแหน่งและทำงานได้เพียง 27 วัน เป็นเพราะ นายปรีดี และคนใกล้ชิดประเมินแล้วว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่นั้น ได้เดินมาถึงทางตันแล้ว
ทั้งที่ก่อนหน้านี้ชื่อของนายปรีดี ติดโผผู้จะมาเป็นรัฐมนตรีคลังหลัง ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ และทีม 4 กุมาร ได้ประกาศลาออกไป เขาก็ได้ปฏิเสธที่จะไม่มารับตำแหน่งรัฐมนตรีในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตลอดมา
แต่สุดท้ายนายปรีดี ก็ตัดสินใจทิ้งเงินเดือน 2-3 ล้านบาทในฐานะกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) และประธานสมาคมธนาคารไทย มารับตำแหน่ง รมว.คลัง ที่มีเงินเดือนเพียงหลักแสนเท่านั้น
พร้อมให้เหตุผลกับพวกพ้องน้องพี่ที่ใกล้ชิดเพียงสั้นๆ ว่า ‘เพื่อชาติ’!
โดยจะใช้ความรู้ความสามารถที่คลุกคลีอยู่ในแวดวงนายธนาคาร ด้านเศรษฐกิจ และยังร่วมเป็นคณะทำงานร่วมกับรัฐบาลหลายด้าน เช่น ในคณะกรรมการศูนย์อำนวยการเตรียมความพร้อมประเทศไทยในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ซึ่งเป็นไปตามคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 71/2557 เป็นกรรมการในคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ กรรมการในคณะกรรมการยุทธศาสตร์แห่งชาติ กรรมการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เป็นกรรมการในคณะกรรมการนโยบายร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน เป็นต้น เข้ามาช่วยแก้วิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น ซึ่งบทสรุปของเขาในช่วงนั้นไม่ใช่เข้ามาเพียง 27 วันแน่นอน
แล้วเกิดอะไรขึ้น!จนทำให้นายปรีดี เกิดความกดดันนำไปสู่ความ ‘เครียด’ และกระทบต่อสุขภาพ ปมปัญหาดังกล่าวจึงย่อมมีที่มาและที่ไปซึ่งเรื่องนี้นายแบงก์และเพื่อนสนิทในสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)บอกว่ามันถึงทางตันแล้วจริงๆ
“ปรีดี ไม่ใช่คนก้าวร้าว แต่เป็นคนเรียบร้อย ให้เกียรติคนมาก เป็นคนประนีประนอม ไม่ใช่คนหาผลประโยชน์ และรักษาชื่อเสียงมากไม่ยอมให้ด่างพร้อย”
อีกทั้งเขาไม่ใช่คนที่ฝักใฝ่อำนาจทางการเมือง หรือต้องการเข้าสู่แวดวงการเมือง ซึ่งช่วงที่มานั่งเป็น สนช.ก็มาตามตำแหน่งประธานสมาคมธนาคารไทย หรือการที่จะมาเป็นรัฐมนตรีคลังในครั้งนี้ ก็ได้รับการทาบทามหรือเชิญมานั่นเอง
“ปรีดี เครียดไม่อยากมีปัญหากับฝ่ายการเมือง ต้องการแค่ทำงาน แต่สภาพที่เกิดขึ้นดูเหมือนว่าจะมีหอกข้างแคร่ มองไปทางไหนก็ไม่มีพวกและยังต้องมาอยู่ในฐานะฆ่าน้อง ฟ้องนาย ขายเพื่อน เป็นเรื่องที่เขาไม่ต้องการ”
แหล่งข่าวบอกว่า เรื่องการให้บอร์ดรัฐวิสาหกิจเซ็นใบลาออกทิ้งไว้นั้น เป็นประเด็นที่นายปรีดี ไม่เห็นด้วย และกำลังเกิดขึ้นกับธนาคารของรัฐทั้ง 7 แห่ง ประกอบด้วย 1.ธนาคารออมสิน 2.ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส) 3.ธนาคารกรุงไทย 4.ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธ.อ.ส.) 5.ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME Bank) 6.ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย และ 7.ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM Bank)
“ปรีดี เป็นนายกสมาคมธนาคาร มีการทำงานร่วมกัน ธนาคารกรุงไทย ก็เป็นสมาชิกของสมาคม คนที่ทำเรื่องนี้มีจุดประสงค์ที่จะโละบอร์ดที่ตั้งในยุคของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์และนายอุตตม สาวนายน เพื่อเปลี่ยนเอาคนของตัวเองเข้ามาซึ่งปรีดี มองว่าไม่ถูกต้อง แต่ก็ดูเหมือนว่าจะทำอะไรไม่ได้ ทำให้ปรีดีอึดอัดใจมาก”
ที่สำคัญมีการพูดคุยกันว่าการจะโละคณะกรรมการบอร์ดทั้ง 7 แห่ง ถ้าได้คนดี มีความสามารถและไม่เข้ามาเพื่อหาผลประโยชน์ให้กับตัวเองและพวกพ้อง ก็จะทำให้แบงก์รัฐเป็นที่พึ่งของประชาชน และสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศได้อย่างดี
“ปรีดี ไม่อยากให้ใครเอาแบงก์รัฐไปทำให้เกิดความเสียหาย เพราะเขาเป็นนายแบงก์ใหญ่ ย่อมรู้ว่าวิธีการเข้าไปหาประโยชน์ในแบงก์ทำกันอย่างไร เพราะสุดท้ายแบงก์จะเสียหายที่สุด”
ส่วนเรื่องของการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการในกระทรวงต่างๆ ไม่ใช่เฉพาะกระทรวงการคลังมักจะมีข่าวลือเรื่องการซื้อขายตำแหน่งกันบ่อยๆ ดังนั้นเก้าอี้อธิบดีกรมต่างๆ จึงถูกตีเป็นราคา บางกรมฯข้าราชการต้องหามาจ่ายเอง แต่บางกรมฯไม่ต้องเพราะมีสปอนเซอร์จากบริษัทยักษ์ใหญ่ ที่ต้องพึ่งกรมฯนั้นๆ จะเป็นผู้ดูแลอยู่แล้ว ส่วนเก้าอี้แต่ละกรมฯจะมีการจ่ายหรือไม่ หรือจ่ายที่ใคร จะเป็นเรื่องที่รู้กันในวงการ!
“กรมศุลกากร กรมสรรพากร ก็เป็นกรมที่มีสปอนเซอร์หมายตาไว้หลายราย เพื่อจะได้คนที่ตัวเองต้องการขึ้นมานั่งคุม สปอนเซอร์ ก็ต้องวิ่งหาคนมีอำนาจเพื่อให้ทุกฝ่ายสมประโยชน์”
สำหรับคนที่มีอำนาจที่จะเป็นคนชงเรื่อง ก็ต้องดูทิศทางลมให้ดีว่าจะถูกใครสกัดหรือไม่?
แหล่งข่าว บอกว่ากรณีการแต่งตั้งโยกย้ายที่เกิดขึ้นในกระทรวงการคลัง ที่มีข่าวว่าเป็นเหตุให้นายปรีดีลาออก เพราะเกิดความขัดแย้งกับนายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง ที่มีการเสนอชื่อผู้ที่จะมาเป็นอธิบดีกรมสรรพสามิต ซึ่งนายปรีดี ต้องการเสนอชื่อนายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) แต่นายสันติ ต้องการให้นายประภาส คงเอียด ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) นั่งเก้าอี้ตัวนี้
แต่ในที่สุด ครม.มีมติเมื่อ 1 ก.ย.เรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายเป็นไปตามที่นายปรีดี เสนอมา ทั้ง 4 ตำแหน่ง คือ 1.นายจำเริญ โพธิยอด ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง เป็นรองปลัดกระทรวงการคลัง 2. นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมสรรพสามิต เป็นอธิบดีกรมศุลกากร 3.นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เป็นอธิบดีกรมสรรพสามิต และ 4. นางวรนุช ภู่อิ่ม ที่ปรึกษาด้านการบริหารเหรียญกษาปณ์และทรัพย์สินมีค่ากรมธนารักษ์ เป็นผู้ตรวจราชการ ก.คลัง
“การแต่งตั้งโยกย้ายนั้น เป็นฟางเส้นสุดท้ายในการตัดสินใจของปรีดี แต่ไม่ใช่เพราะขัดแย้งกับนายสันติ แต่มีอะไรที่ลึกกว่านั้น ก็รู้อยู่ว่าปรีดีไม่มีเรื่องผลประโยชน์แน่นอน และเขาก็มีมากพอแล้ว จะไม่ยอมให้ชื่อเสียงมัวหมอง ไม่ต้องการให้ใครเอาชื่อไปอ้าง ปรีดีรู้สึกตัวเองไม่แฮปปี้ ส่วนที่เลือกนายลวรณ เพราะช่วงที่ข้าราชการเกียร์ว่าง คนนี้เป็นคนทุ่มเทและทำงานจริงจัง และจะเป็นม้าใช้ที่ดีให้กับรัฐบาลได้”
ทั้ง 2 ประเด็นจึงเป็นเรื่องที่สร้างความ ‘เครียด’ ให้กับนายปรีดี เป็นอย่างมาก!
ส่วนปัญหาตัวเลขเศรษฐกิจที่มีการคาดการณ์ทั้งจากสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) รวมทั้งสำนักวิจัยของสถาบันต่างๆ ว่าจีดีพีจะติดลบถึง 12.2% จะมีแรงงานตกงานและถูกเลิกจ้างเพิ่มขึ้น 8.4 ล้านคน รวมไปถึงการส่งออก, การนำเข้า, การลงทุนภาคเอกชน, การบริโภคภาคเอกชน จะติดลบมากขึ้นจากวิกฤตโควิด-19 เป็นเรื่องที่นายปรีดี รับรู้และเตรียมรับมือมาตั้งแต่ตัดสินใจเข้ามารับตำแหน่ง
;“เรื่องตัวเลขเศรษฐกิจไม่ใช่แรงบีบที่จะทำให้เขาตัดสินใจลาออก แต่ยังมีอีกเรื่องคือ ปรีดี รู้สึกเหมือนต้องตั้งรับอยู่คนเดียว ไม่สามารถเป็นเนื้อเดียวกับนักการเมืองได้ หากไปหักกับนักการเมืองที่มี ส.ส.ในมือหนุน แล้วนักการเมืองสะกิด ส.ส.ในก๊วนตัวเองให้ตั้งกระทู้ประเด็นต่างๆ จะทำอย่างไร”
นี่คือความน่ากลัว ที่คนไม่มีประสบการณ์ทางการเมืองจะสามารถรับมือได้หรือไม่...
ไม่ใช่เพียงแค่นั้น ในวันที่ 9 กันยายนนี้ จะมีการอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติและเรื่องสำคัญก็เป็นประเด็นเศรษฐกิจที่ รมว.คลังจะต้องรับผิดชอบในการตอบ เกี่ยวข้องกับแบงก์รัฐ และยังมีปัญหาหนี้เสียและการตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้น และเชื่อว่า NPL ยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
“ตอนนี้มันมีพวกไปยุชาวบ้านให้เบี้ยวหนี้ ไม่จ่าย อ้างภาวะเศรษฐกิจ จนทำให้แบงก์ต้องประสบปัญหา NPL พุ่งสูงขึ้นถึง 1.7 ล้านล้านบาท เรื่องนี้ ปรีดี ต้องตอบในสภาเพราะเคยเป็นประธานสมาคมธนาคารไทยมาก่อนต้องรู้เรื่องดี เมื่อมาเป็นรัฐมนตรีคลัง ก็ต้องชี้แจง”
ประเด็นการอภิปรายไม่มีการลงมติ ก็เป็นแรงกดดันหนึ่งที่สร้างความเครียดให้นายปรีดี เพิ่มขึ้น แต่จะถามว่าที่ตัดสินใจลาออกเพื่อหนีปัญหาชี้แจงในสภาหรือไม่นั้น
“พูดแทนได้เลย ไม่ใช่การหนีปัญหา ปรีดียังได้รับการแนะนำจากรัฐมนตรีบางคนว่าเข้ามาอยู่เป็นรัฐมนตรีในโควตานายกฯ และไม่มีส.ส.เป็นพวก ต้องห้ามไว้ใจใคร และบางเรื่องในสภาให้รัฐมนตรีช่วยสันติ ตอบแทน ถึงจะรอดได้ พูดง่ายๆ ปรีดี ต้องอยู่ให้เป็น”
แหล่งข่าว ระบุว่าการที่จะอยู่ให้เป็นได้นั้น บางทีก็ต้องมองข้ามอย่างกรณีที่มีการพูดถึงผลประโยชน์ในการแต่งตั้งโยกย้ายไม่ว่าจะเป็นข้าราชการหรือเรื่องของการแต่งตั้งบอร์ดในหน่วยงานสังกัดกระทรวงการคลัง ก็อาจจะมีการแอบอ้างชื่อก็ต้องมีวิธีจัดการ เพื่อไม่ให้ตัวเองต้องตกเป็นจำเลย และตกอยู่ในความเครียด ส่งผลเสียต่อสุขภาพได้เช่นกัน
อย่างไรก็ดี เมื่อนายปรีดีลาออกไปแล้ว ก็ต้องชื่นชมบิ๊กตู่ในฐานะหัวหน้ารัฐบาลที่ได้ทำทุกอย่างให้ชัดเจนและมีการประกาศในราชกิจจาฯมีผลในวันที่ 2 กันยายนที่ผ่านมาทันที
ขณะเดียวกัน มีกระแสข่าวว่า คนที่ติดโผจะมาเป็นรัฐมนตรีคลังคนใหม่ แทนนายปรีดี ดาวฉาย ประกอบด้วย ดร.วิรไท
สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ที่จะหมดวาระในวันที่ 30 กันยายนนี้, นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร อดีตผู้บริหาร ปตท. เป็นอีกหนึ่งคนที่บิ๊กตู่ให้ความไว้วางใจและเคยร่วมเป็น รมช.คมนาคม ในยุครัฐบาล คสช.และในรัฐบาลบิ๊กตู่ 2/2 ก็เป็นที่คาดการณ์ว่าจะมานั่งเป็น รมว.พลังงาน เช่นกัน แต่ในที่สุดก็เป็นเพียงข่าวลือ, นายกรณ์ จาติกวณิชอดีตรองหัวหน้าพรรค ปชป. เคยเป็น รมว.คลัง ปัจจุบันเป็นหัวหน้าพรรคกล้า
รวมทั้งนายสันติพร้อมพัฒน์ รมช.คลัง ที่ประกาศตัวพร้อมจะรับตำแหน่ง รมว.คลังหากบิ๊กตู่ให้ความไว้วางใจที่จะให้ดำรงตำแหน่ง
“สันติ เป็นคนใจถึง พึ่งได้ ดูแล ส.ส.ดีมาก เมื่อครั้งอยู่เพื่อไทย อะไรๆ ที่ทักษิณชินวัตร ให้สำรองออกไปก่อนเพื่อดูแลสมาชิกเพื่อไทย ปรากฏว่าสันติไม่เคยเอาคืน ทักษิณจะให้คนนำมาคืนก็ตาม นี่คือสันติ พร้อมที่จะเป็นกระเป๋าเงินขนาดใหญ่ให้กับพรรคพลังประชารัฐแต่ผมว่าไม่ได้เป็นหรอก เพราะสเปกของ รมว.คลังต้องรู้เรื่องเศรษฐกิจทั้งจุลภาค มหภาค รู้เรื่องเศรษฐศาสตร์การเงิน การคลัง และนโยบายต่างๆ ต้องเข้าใจ”
ดังนั้นคนที่น่าจับตาต่อไปคือนายชาญศิลป์ ตรีนุชกร อดีตซีอีโอ ปตท.ที่จบจากคณะเศรษฐศาสตร์ ขณะที่ซีอีโอ ปตท.ที่ผ่านมาจะจบด้านวิศวกรรมศาสตร์ทั้งสิ้น ซึ่งนายชาญศิลป์ ถือว่าเป็นคนที่บิ๊กตู่ให้ความเชื่อมั่น และอยู่ในสายตรงของบิ๊กตู่ ที่ถูกส่งไปช่วยฟื้นฟูการบินไทย ก็อาจจะถูกดึงมานั่งตำแหน่ง รมว.คลังแทนนายปรีดี ก็เป็นได้ !
ด้าน นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า รัฐมนตรีคลัง คนใหม่ ควรเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ด้านเศรษฐกิจและการเงินการคลัง สามารถมองภาพเศรษฐกิจแบบมหภาค สามารถบูรณาการมาตรการการเงินการคลังและนโยบายต่างๆ เข้าด้วยกันได้ และกล้าตัดสินใจ แต่จากรายชื่อแคนดิเดต รมว.คลัง ที่ออกมานั้น ส่วนตัวมองว่าถ้าตั้งใจทำงานและรับฟังเสียงของภาคเอกชนก็จะทำให้มาตรการต่างๆ ที่ออกมาเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจ
“ภาวะเศรษฐกิจซบเซาเช่นนี้ รมว.คลังควรมีมาตรการในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้ประชาชนมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น งบประมาณที่ลงมาต้องผลักดันให้เศรษฐกิจหมุนได้หลายรอบ"
ส่วนเรื่องการบริหารทางการเมือง เช่นกรณีที่มีข่าวลือว่ามี ส.ส.เข้าไปขอให้ รมว.คลัง จัดสรรงบประมาณลงพื้นที่ของตัวเองนั้น ประธานสภาอุตสาหกรรม ระบุว่า การบริหารทางการเมืองก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานของความโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ โครงการต่างๆ ต้องคุ้มค่า มีความจำเป็น และประชาชนได้รับประโยชน์จริงๆ!