"ฝั่งขวาเจ้าพระยา"
"โชกุน"
ประชาธิปไตยนั้นมีเสรีภาพไว้เพื่ออะไร ว่ากันในขั้นพื้นฐานที่สุด ก็เพื่อให้มีช่องทางที่แต่ละคนจะได้พัฒนาชีวิตของตัวเองให้ดีให้สมบูรณ์ เพราะชีวิตของคนเราเกิดมายังมีคุณสมบัติไม่เพียงพอที่จะอยู่ได้อย่างดี ยังไม่ดีงาม ยังไม่เลิศไม่ประเสริฐขึ้นมาในทันที ยังต้องการโอกาสในการที่จะฝึกหัดพัฒนาศึกษาสืบไป
พูดง่ายๆ ว่า ชีวิตต้องการเสรีภาพ เพื่อให้โอกาสแก่การศึกษาที่เป็นสิทธิและหน้าที่พื้นฐานที่สุดของมัน นี่คือความต้องการเสรีภาพในระดับของชีวิต
เพราะฉะนั้น เราจะต้องพัฒนาชีวิตของเราให้เป็นดีอยู่ดีมีความเจริญงอกงามขึ้นมา เราต้องมีเสรีภาพในการที่จะได้จะถึงสิ่งและสภาวะเกื้อกูลต่างๆ ที่จะใช้จะช่วยพัฒนาชีวิตของตนให้เป็นดีอยู่ดีขึ้นไปสู่ความสมบูรณ์
เมื่อคนพัฒนาชีวิตของเขาให้ดีให้พร้อมขึ้นมา เขาก็มาพัฒนาครอบครัว พัฒนาชุมชน และพัฒนาสังคมให้ดีขึ้นด้วย เขาพัฒนาตัวเองยิ่งพร้อมยิ่งดีเท่าใด เขาก็ยิ่งช่วยพัฒนาครอบครัวตลอดถึงสังคมได้พร้อมได้ดีมากขึ้นเท่านั้น
ทีนี้ก็มาถึงความต้องการเสรีภาพในระดับของสังคม ตามที่ถามว่า ประชาธิปไตยมีเสรีภาพไว้เพื่ออะไร ว่ากันในขั้นพื้นฐานระดับสังคม ก็เพื่อให้มีช่องทางที่แต่ละคน จะมีจะให้ความเป็นส่วนร่วม โดยนำเอาสติปัญญาความรู้ความสามารถของตน มาบอกมาแจ้งมาถ่ายทอดแก่กัน มาร่วมและมารวมกันในการสร้างสรรค์สังคมประเทศชาติ เช่นอย่างที่ว่า เมื่อเรามีเสรีภาพที่จะแสดงออก เรามีสติปัญญาความรู้ความสามารถอะไรอย่างไร เราก็เอาสติปัญญาความรู้ความสามารถนั้นมาบอกแจ้งแสดงถ่ายทอดเผื่อแผ่ขยายประโยชน์แก่ผู้อื่นและแก่สังคมได้
แต่ถ้าเราไม่มีเสรีภาพ สติปัญญาความรู้ความสามารถของเราที่มีอยู่ ก็เท่ากับถูกปิดกั้น ความสามารถของบุคคลก็ไม่เกิดประโยชน์แก่สังคมส่วนรวม ตัวเองก็พัฒนาชีวิตไม่ได้ พัฒนาสังคมไม่ได้
เพราะฉะนั้น เขาจึงให้มีหลักการแห่งเสรีภาพในสังคมประชาธิปไตย เพื่อว่าคนที่เป็นสมาชิกอยู่ร่วมสังคม จะได้ใช้เสรีภาพเพื่อพัฒนาชีวิตของตนเอง และเมื่อพัฒนาชีวิตของตนให้ดีงามมีความสามารถขึ้นมา ก็มีโอกาสที่จะนำเอาความรู้ความสามารถสติปัญญานั้นมาเผยแพร่ให้ผู้อื่นในสังคมร่วมได้ประโยชน์ไปด้วย
ความมุ่งหมายของเสรีภาพในขั้นพื้นฐานอีกอย่างหนึ่งก็คือ เสรีภาพมีไว้เพื่อให้คนมีโอกาสที่จะบอกแจ้งและสนองความต้องการต่างๆ ซึ่งโดยหลักใหญ่ก็พ่วงมากับโอกาสในการที่จะพัฒนาชีวิตและเป็นส่วนร่วมของสังคมนั่นเอง กล่าวคือ ในการพัฒนาชีวิตก็ตาม ร่วมสร้างสรรค์สังคมก็ตาม ย่อมต้องการปัจจัยเอื้อต่างๆ ซึ่งอาจจะยังขาดยังพร่องและควรจะต้องหาทางจัดอำนวยให้ จึงต้องมีโอกาสบอกแจ้งแสดงความต้องการนั้น
น่าสังเกตว่า เวลานี้ คนมักมุ่งจะเอาเสรีภาพเฉพาะในแง่ของการได้รับโอกาสที่จะสนองความต้องการของตน และความต้องการนั้นก็มักเป็นเรื่องเปะปะ เช่นเพียงเพื่อจะสนองตัณหา สนองราคะ สนองโทสะ สนองโมหะ ซึ่งไม่เกี่ยวกับการพัฒนาชีวิตและการสร้างสรรค์สังคม ไม่สนองจุดหมายของประชาธิปไตย
รวมความว่า เสรีภาพในสังคมประชาธิปไตยนั้น มีจุดหมายอยู่ในระบบแห่งความสัมพันธ์ ไม่ใช่เสรีภาพที่เลื่อนลอย หรือจบในตัวของมันเอง
ถ้ามองความหมายของเสรีภาพผิด ก็มองความหมายของประชาธิปไตยผิดด้วย ประชาธิปไตยนั้นไม่ใช่แค่ว่าคนส่วนมากหรือเสียงข้างมากเป็นใหญ่ ไม่ใช่แค่เอาความต้องการของคนส่วนมากเป็นใหญ่
ถ้าเอาแบบนี้ ก็เหมือนนักเรียนกับครู เข้าโรงเรียนวันนี้ พอระฆังแก๊ง เข้าแถวเรียบร้อยแล้ว เข้าชั้นเรียน พอเข้าชั้นปุ๊บพร้อมกันแล้ว ครูก็ปรึกษานักเรียน
“นักเรียนทั้งหลาย เรามาลงคะแนนเสียงกันซิว่า วันนี้เราจะเรียนหรือจะเล่น”
ปรากฏว่านักเรียนส่วนใหญ่บอกว่า “เล่น” นี่ประชาธิปไตยสำเร็จแล้ว ประชาธิปไตยแบบนี้ดีไหม ก็ลองคิดดูเถิด ประชาธิปไตยที่ใช้เสรีภาพเพื่อสนองความต้องการแบบเปะปะเลื่อนลอย สนองตัณหา สนองโลภะ สนองราคะ สนองโทสะ สนองมานะ อะไรพวกนี้ เป็นประชาธิปไตยจริงหรือ
ตัวอย่างที่ยกมานี้ ไม่ใช่จบแค่นั้น แต่มันเป็นบทพิสูจน์ที่ท้าทายระบบประชาธิปไตยด้วย
ท้าทายอย่างไร คือ มันท้าทายว่า การพัฒนาประชาธิปไตยจะสำเร็จหรือไม่ ประชาธิปไตยที่แท้จะมีได้จริงไหม
เมื่อนักเรียนส่วนมากลงคะแนนเสียงว่าให้เล่น-ไม่เรียน นั่นคงเป็นการแสดงความต้องการแบบเปะปะ หรือความต้องการดิบ คุณครูที่ดีย่อมไม่ติดตันแค่นั้น แต่จะช่วยเด็กให้พัฒนาขึ้นสู่ประชาธิปไตย โดยผ่านกระบวนการเรียนรู้ เช่น ชี้แจงอธิบายถกเถียงสนทนา เมื่อนักเรียนรู้เข้าใจความจริง คุณค่า ประโยชน์ เหตุผล เป็นต้นแล้ว ถ้ารู้ตระหนักจริง ความต้องการของเขาจะเปลี่ยนไป คือกลายเป็นความต้องการที่พัฒนาแล้ว หรือเป็นความต้องการของคนที่มีการศึกษา คะแนนเสียงส่วนมากอาจจะบอกว่า “เรียน” ยังไม่เล่น
คุณครูและโรงเรียนจะทำการนี้สำเร็จหรือไม่ นี่เป็นบททดสอบที่ท้าทาย ซึ่งบอกในตัวว่าประชาธิปไตยมีทางที่จะงอกงามในสังคมนี้หรือไม่ และยืนยันหลักการที่ว่า ประชาธิปไตยสัมฤทธิ์ได้ด้วยการศึกษา ประชาธิปไตยด้วยการศึกษา และประชาธิปไตยเพื่อการศึกษา
จากที่ได้พูดมา ลองดูว่าเดี๋ยวนี้เขาใช้เสรีภาพกันเพื่ออะไร เสรีภาพมีประโยชน์เพื่อสร้างสรรค์สังคมประชาธิปไตยหรือเปล่า เป็นไปตามหลักการของประชาธิปไตยหรือเปล่า เดี๋ยวนี้เขาไม่ถามกันว่าประชาธิปไตยมีเสรีภาพไว้เพื่ออะไร ตามหลักการจะต้องคำนึงถึงเรื่องนี้ เมื่อมีประชาธิปไตย ก็ต้องมีเสรีภาพ แล้วทำไมต้องมีเสรีภาพ คนในสังคมนี้ต้องมีคำตอบ
แต่เดี๋ยวนี้คนสักว่ามีเสรีภาพ มองแค่รูปแบบถ้อยคำ แล้วความหมายก็คลาดเคลื่อนเพี้ยนไปหมด เสร็จแล้วก็อย่างที่บอกเมื่อกี้ เสรีภาพก็ไม่สนองจุดหมายของประชาธิปไตย แล้วในที่สุดเสรีภาพก็จะทำลายประชาธิปไตยนั้นเสียเอง สังคมจะเป็นประชาธิปไตยได้ต้องมีความดีงาม ต้องเป็นสังคมแห่งสติปัญญา เป็นสังคมของผู้มีการศึกษาพัฒนาแล้ว ไม่เช่นนั้นจะไปไม่รอด ถ้าจะสร้างสังคมประชาธิปไตย อย่างน้อยก็ต้องรู้จักใช้เสรีภาพให้ถูกต้อง
(ที่มา : สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ.ปยุตโต) ธรรมกถา “รัฐศาสตร์เพื่อชาติ รัฐศาสตร์เพื่อโลก” ในวันวิสาขบูชา 2 มิถุนายน 2547 จากหนังสือ “รัฐศาสตร์ และจริยธรรม นักการเมืองแนวพุทธ”)