วันนี้...สงสัยคงต้องขออนุญาตย้อนกลับไปดูเรื่องเชื้อโรค เชื้อไวรัส “COVID-19” ที่ยังคงแพร่ระบาดไปทั่วทั้งโลกกันอีกสักรอบ เพราะแม้ว่าโดยแนวโน้มของสถานการณ์มันน่าจะดีขึ้นๆ ตามลำดับ โดยเฉพาะประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา ที่ได้ชื่อว่า “เอาอยู่” หรือเอาเชื้อไวรัสตัวนี้ซะอยู่หมัด เป็นอันดับต้นๆ หรืออันดับแรกๆ ของโลก จนชักเริ่มไม่มีใครคิดจะสวมหน้ากากกันมั่งแล้ว...
อีกทั้งเมื่อเร็วๆ นี้คุณน้ารัสเซีย ท่านก็เพิ่งป่าวประกาศว่าได้ประดิษฐ์คิดค้นวัคซีนต้านไวรัส “Sputnik-V” ไว้ถึง 500 ล้านโดส เตรียมวางตลาด จัดส่งไปยังละตินอเมริกา ตะวันออกกลาง เอเชีย ฯลฯ ในอีกไม่นานนับจากนี้ ขณะที่คุณพี่จีนก็เห็นว่ากำลังจะเข็นวัคซีนออกมาในช่วงเดือนธันวาคมที่จะถึง ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้...น่าจะพอช่วยให้ปลอดโปร่ง โล่งสบายขึ้นมาได้มั่ง แต่ไปๆ-มาๆ ก็กลับดันมีข่าวแปลกๆ ข่าวที่ก่อให้เกิดอาการอึดอัด คัดจมูก น้ำมูกไหล ตามมาอีกจนได้ ไม่ว่าข่าวการกลับมา “ระบาดระลอกใหม่” ที่อุบัติขึ้นมาในเกาหลีใต้ รัสเซีย พม่า ออสเตรเลีย ไปจนถึงบาหลี สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม ซึ่งเคยคิดจะเปิดรับนักท่องเที่ยว ที่ถือเป็นตัวทำรายได้สูงสุด ไม่ต่างอะไรไปจากแหล่งท่องเที่ยวบ้านเรา ซึ่งกำลังเตรียมตัว ปัดหน้า ทาแป้งรอรับนักท่องเที่ยวกันอุตลุด แต่สุดท้าย...เห็นว่าไปๆ-มาๆ ต้องสั่งปิด หรือต้องประกาศงดรับนักท่องเที่ยวไปจนถึงสิ้นปี ค.ศ. 2020 โน่นเลย ฯลฯ ฯลฯ...
หรือแม้แต่ฮ่องกง...ที่ว่ากันว่า ผู้ซึ่งเคย “ติดเชื้อ” และรักษาหายเรียบร้อยแล้ว แต่จู่ๆดันกลับมาเป็นโรคใหม่ซะเฉยเลย หรือเป็นตัวการแพร่ระบาดเชื้อรายใหม่อีกจนได้ ชนิดถึงกับเกิดข้อสรุปประมาณว่า เชื้อไวรัสตัวนี้อาจ “ฝังลึก” อยู่ในตัวตนของใครต่อใครไม่ใช่แค่ประมาณ 14-15 วันเท่านั้น แต่อาจปาเข้าไปถึง 140 กว่าวัน เอาเลยก็ไม่แน่!!! การกลับมาระบาดระลอกใหม่ การติดเชื้อแบบแปลกๆ ไปจนถึงการ “กลายพันธุ์” ของเชื้อไวรัสชนิดนี้ ฯลฯ จึงเป็นอะไรที่ “การ์ดตก” ไม่ได้เอาเลย หรือคงต้องยกการ์ดป้องหัว ป้องตัวกันไปตลอดนั่นแหละทั่น ยิ่งถ้าลองไปเงี่ยหูฟังคำพูด คำจา ของบรรดา “ผู้เชี่ยวชาญ” ทั้งหลาย ก็ยิ่งดูจะน่า “หนักใจ” มิใช่น้อย อย่างเช่นผู้อำนวยการ “WHO” ที่มีชื่อเรียกยากเอามากๆ คือ “นายเทดรอส อัดฮานอม เกเบรเยซุส” (Tedros Adhanom Ghebreyesus) อะไรประมาณนั้น ที่เพิ่งไปพูด ณ กรุงเจนีวา เมื่อช่วงวันศุกร์ (21 ส.ค.) ที่ผ่านมานี่เอง ว่าโอกาสที่โลกทั้งโลก จะต้องอยู่ร่วมกับเชื้อไวรัสตัวนี้ไปอีกประมาณ 2 ปี เป็นอย่างน้อย ย่อมมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ แม้จะมีวัคซง วัคซีน อะไรต่อมิอะไรออกมาแล้วก็ตามแต่...
ซึ่งโดยคำพูด คำจา ของ “นายเกเบรเยซุส” ที่ว่า...ก็ออกจะมี “น้ำหนัก” อยู่พอสมควร คือถึงจะให้เครดิตต่อความรู้ ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทางการแพทย์ในโลกสมัยนี้ เอาไว้สูงเพียงใดก็ตาม แต่ด้วยเหตุเพราะ “ความเป็นโลกาภิวัตน์” ความจำเป็นที่ต้องใกล้ชิดติดต่อระหว่างกันและกันของสังคมโลกยุคปัจจุบัน โอกาสที่มันจะเกิดการติดเชื้อ แพร่เชื้อ ไปจนการกลายพันธุ์ ฯลฯ ของเชื้อไวรัสดังกล่าว จึงมีความเป็นไปไม่ได้ไม่น้อยไปกว่าช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส “Influenza A Virus” หรือที่เรียกๆ กันว่าเชื้อ “ไข้หวัดสเปน” (Spanish Flu) ซึ่งเคยระบาดเมื่อช่วงปี ค.ศ. 1918 ไปจนถึงปี ค.ศ. 1920 ส่งผลให้จำนวนผู้ติดเชื้อทั่วทั้งโลก ไม่น้อยไปกว่า 500 ล้านราย เด๊ดสะมอเร่ อิน เดอะ เท่งทึง ไปถึง 3-6 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนประชากรโลก หรือประมาณ 17-50 ล้านราย ถึงพอจะเริ่ม “เอาอยู่” ได้มั่ง!!!
โดยเหตุที่เชื้อไวรัสตัวนี้...มันเอาเรื่อง เอาราว ไปได้ถึงปานนั้น ส่วนใหญ่ค่อนข้างเห็นพ้องต้องกันนั่นแหละว่า เพราะ “สงคราม” นั่นเอง ที่เป็นตัวการสำคัญ เพราะหลังจาก “สงครามโลกครั้งที่ 1” ซึ่งอุบัติขึ้นมาในช่วงปี ค.ศ. 1914-1918 อันทำให้ต้องเกิดการระดม กะเกณฑ์ผู้คนไปรวมตัวอยู่ในค่าย คู ประตู หอรบ ในค่ายทหาร ในเรือรบแต่ละลำ ฯลฯ การส่งมอบ หรือการแพร่กระจายเชื้อระหว่างกันและกัน ไปจนการกลายพันธุ์ มันจึงเป็นไปได้แบบระเบิดเถิดเทิงเป็นอย่างยิ่ง แพร่กันถึงประมาณ 4 ระลอกด้วยกัน ไม่ใช่แค่ระลอกแรก ระลอกสอง ด้วยเหตุเพราะประมาณ 9 เดือนหลังจากนั้น หรือหลังสงครามโลกได้ยุติเลิกแล้วต่อกัน บรรดาทหารหาญทั้งหลายที่ถูกส่งกลับไปยังบ้านเกิด เมืองนอนของตัวเอง หนีไม่พ้นต้องนำเอาเชื้อ “ไข้หวัดสเปน” ไปแพร่ต่อ จนจำนวนคนตายเพราะเชื้อโรค สูงซะยิ่งกว่าที่ต้องตายอยู่ในค่าย คู ประตู หอรบต่างๆ ไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า...
ดังนั้น...ยิ่งถ้าเกิดการเรียกระดมใครต่อใครไปรวมหัว รวมตัว อยู่ในค่ายทหารต่างๆ ไม่ว่าในทะเลจีนใต้ ทะเลจีนตะวันออก ในแนวรบยุโรปตะวันออก หรือแนวรบตะวันออกกลาง ฯลฯ ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ตามสีสันบรรยากาศของ “สงครามเย็นยุคใหม่” ที่ทำท่าว่าชักใกล้เป็น “สงครามร้อน” ยิ่งเข้าไปทุกที แม้เป็นแค่การ “ซ้อมรบ” ก็เถอะ แต่โอกาสเกิดการติดเชื้อ แพร่เชื้อ กลายพันธุ์ ย่อมมีความเป็นไปได้สูงยิ่งขึ้นไปเท่านั้น เผลอๆ...แม้แต่วัคซีนจีน วัคซีนรัสเซีย อาจถึงขั้น “เอาไม่อยู่” ขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ย่อมได้ เพราะอย่างที่ผู้เชี่ยวชาญระดับโลก “ดร.แอนโทนี เฟาซี” (Anthony Fauci) ท่านออกมาเตือนๆ เอาไว้ก่อนล่วงหน้านั่นแหละว่า การเร่งรัดการผลิตวัคซีนออกมาเร็วเกินไป ย่อมก่อให้เกิด “อัตราเสี่ยง” ต่อผลกระทบข้างเคียงที่จะตามมา สูงยิ่งขึ้นไปเท่านั้น...
พูดง่ายๆ ว่า...นับจากเชื้อไวรัสที่เรียกขานกันในนาม “COVID-19” ท่านได้อุบัติขึ้นมาบนโลก ไม่ว่าด้วยเหตุปัจจัย ด้วยกรรมวิธีใดๆ ก็แล้วแต่ คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธ ว่าได้ก่อให้เกิดสีสันบรรยากาศแห่งการที่จะต้องหันมา “ลด-ละ-เลิก” หันมา “ควบคุมพฤติกรรม” ตนเอง ของบรรดาชาวโลกทั้งหลายนั่นแหละเป็นหลัก เกิดการทำลายห่วงโซ่การเชื่อมโยงระหว่างกันและกันโดยกรรมวิธีเดิมๆ การเร่งรัดพัฒนาไปในแนวทาง “ทุนนิยม” แบบสุดฤทธิ์ สุดหลอด กลายเป็นการบังคับให้ต้องเว้นช่องว่าง เว้นระยะห่างในทางที่เหมาะ ที่ควร ไปจนการ “เตือนสติ” ว่าอะไรกันแน่? ที่ถือเป็นศัตรูของมวลมนุษยชาติที่แท้จริง ฯลฯ ฯลฯ...
ด้วยเหตุนี้...การกระทำใดๆ ก็ตาม ที่ไม่ได้สอดคล้อง กลมกลืน ไปกับความเป็นไปของโลกยุคใหม่ หรือโลกยุคหลัง “COVID-19” ย่อมนำมาซึ่ง “อัตราเสี่ยง” นำมาซึ่ง “อันตราย” ต่อกิจกรรมและกิจการนั้นๆ ได้เสมอๆ แม้ยังไม่ถึงกับมีข้อสรุปที่ชัดเจน ว่าผลเสียหายของ “เศรษฐกิจโลก” อันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส “COVID-19” นั้น จะทำให้ “GDP โลก” ลดลงไปถึงขั้นไหน กี่เปอร์เซ็นต์ กี่ล้านล้านดอลลาร์ แต่เพียงแค่มองถึง “ภาพรวม” ของโลกทั้งโลก ที่ได้กลายเป็น “โลกแห่งหนี้สิน” หรือโลกที่ได้สร้างหนี้เวร หนี้กรรม ไว้ไม่น้อยไปกว่า 303 เปอร์เซ็นต์ของ “GDP โลก” หรือไม่น้อยไปกว่า 244 ล้านล้านดอลลาร์ โดยเฉพาะช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ที่หนี้โลกเพิ่มขึ้นชนิดวันละไม่ต่ำกว่า 550,000 ล้านบาทถึงขั้นนั้น เพียงเท่านี้...ก็ตายแล้ว!!! โอกาสไปไม่กลับ-หลับไม่ตื่น-ฟื้นไม่มีของแต่ละประเทศ ไม่ว่าหาทางออก ทางไปกันในลักษณะไหน ย่อมมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ เหลือเพียงแต่ต้องมองหาหนทางใหม่ๆ ทางที่ “ไม่มีวันเหมือนเดิม” อีกต่อไป ไม่ว่าในทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม หรือกระทั่งการทหาร ฯลฯ ฯลฯ ก็ตามที...
หรือจะหันมาเตรียมรับมือกับสิ่งที่กำลังตามมา สิ่งที่ผู้อำนวยการ “WFP” (UN World Food Program) “นายDavid Beasley” ได้ออกมาเตือนเอาไว้ก่อนล่วงหน้า ว่าด้วยเหตุเพราะสิ่งรบกวนจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส “COVID-19” ต่อการผลิตอาหารทั่วโลก กำลังทำให้ปริมาณการขาดแคลนอาหารทั่วโลก อาจพุ่งขึ้นไปกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ภายในสิ้นปีนี้ อันจะส่งผลให้ประชากรโลกไม่ต่ำกว่า 138 ล้านคน จำนวน 83 ประเทศ อาจตายโหง ตายห่าเอาง่ายๆ อันนี้...น่าจะ “เข้าท่า” กว่าเป็นไหนๆ...