ชะตากรรมของประธานาธิบดี อเล็กซานเดอร์ ลูคาเชนโก ของเบลารุส น่าจะเข้าตาร้ายทุกวัน และถ้าไม่มองโลกสดสวยเข้าข้างตัวเองจนเกินไป น่าจะยอมรับว่าถึงเวลาต้องนับถอยหลังได้แล้ว หลังจากกุมอำนาจมา 26 ปี ด้วยกฎเหล็กเข้ม
เป็นนักการเมืองหลงยุคจากหลังม่านเหล็ก ใช้กฎหมาย ข้อบังคับต่างๆ กดขี่ประชาชนแทบโงหัวไม่ขึ้น โดยมีกำลังตำรวจลับสไตล์เคจีบีของสหภาพโซเวียตเดิมเป็นเครื่องมือเล่นงานฝ่ายต่อต้าน ยัดข้อหา จับกุมคุมขัง ทรมาน ไม่มีสิทธิพบทนาย
ช่วงนี้เป็นการดิ้นรนหนักของลูคาเชนโกและเครือข่าย ต้องอยู่รอดด้วยอำนาจให้ได้ ถ้าจบเห่ หนีไม่ทัน จะต้องโดนจับขึ้นศาล อาจลงเอยแบบไม่สวย เหมือนผู้นำทรราชของชาติยุโรปตะวันออกคนอื่นๆ หลังระบอบคอมมิวนิสต์ล่มสลายในรัสเซีย
ระบบเดิมภายใต้ระบอบคอมมิวนิสต์ล่มสลายแล้วก็ตาม ลูคาเชนโกยังคงไว้องค์กรอื่นที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเอง เช่นตำรวจลับ ที่ยังเรียกว่าเป็น “เคจีบี” สำหรับสอดแนมฝ่ายตรงกันข้าม การผลิตอุตสาหกรรมยังถูกควบคุมโดยส่วนกลางของรัฐ
โครงสร้างประเทศ และการบริหาร โดยเฉพาะระบบอำนาจ ไม่เปลี่ยนและระบบคอมมิวนิสต์ล่มสลาย ลูคาเชนโกยังรักษาองค์กรที่เป็นฐานอำนาจเป็นอย่างดี
ปัญหาที่ประชาชนมองว่ารุนแรงเรื้อรังคือการทุจริต คอร์รัปชัน ความยากจน รายได้ต่ำ และโอกาสที่จะยกระดับรายได้ ชีวิตความเป็นอยู่มองไม่เห็นในยุคนี้ ความเหลื่อมล้ำในสังคมทำให้คนมองไม่เห็นอนาคตว่าจะดีขึ้นได้อย่างไร จึงต้องดิ้นรน
เบลารุสก็เผชิญปัญหาการระบาดของโคโรนาไวรัสเหมือนในประเทศยุโรปอื่นๆ มีคนติดเชื้อไปแล้ว 7 หมื่นราย เสียชีวิตไปกว่า 637 ราย และยังติดเชื้อไม่หยุด
ช่วงนี้ลูคาเชนโกสร้างภาพ และสร้างสถานการณ์ด้วยการป่าวร้องว่าเบลารุสจะโดนรุกรานโดยต่างชาติ ลูคาเชนโกแต่งกายในชุดทหารลายพรางเหมือนพร้อมออกศึก แต่เพื่อนบ้านคือโปแลนด์และลิทัวเนีย ปฏิเสธว่าคำอ้างของลูคาเชนโกไร้หลักฐาน
ชาวเบลารุสก็รู้ว่าผู้นำทรราชพยายามเบี่ยงเบนประเด็น เป็นเล่ห์เหลี่ยม ที่จะให้กองทัพสนับสนุนเพราะดูแล้วไม่มีเหตุที่เพื่อนบ้านอย่างโปแลนด์ ซึ่งอยู่ในภาคีนาโต จะหาเหตุมาบุกข้ามพรมแดน โดยเสี่ยงกับวิกฤตของการเผชิญหน้ากับรัสเซีย
ความพยายามของลูคาเชนโกที่จะอยู่ต่อในอำนาจเป็นสมัยที่ 6 ด้วยการจัดเลือกตั้งวันที่ 9 ที่ผ่านมา และอ้างว่าตัวเองได้คะแนนนิยมกว่า 80 เปอร์เซ็นต์กำลังถูกประท้วงและต่อต้านโดยการเดินขบวนของประชาชนทั่วประเทศ
นับวันจะขยายตัวมากยิ่งขึ้น แม้ลูคาเชนโกจะสั่งให้ทหารและหน่วยปราบจลาจลใช้ความรุนแรงสยบผู้ประท้วงด้วยการใช้กระบองทุบตี ทำร้ายร่างกายโดยวิธีต่างๆ โยนระเบิดสตัน อุ้มตัวไปไว้ในรถตู้ และซ้อม ทุบตี ทรมาน ก่อนเอาตัวไปขัง
ก่อนหน้านี้ผู้ประท้วงถูกจับกุมไปมากกว่า 6 พันราย แต่ถูกปล่อยตัวมาส่วนหนึ่ง และบอกว่าช่วงการถูกขัง โดนสอบสวน ซ้อมและทรมานให้ยอมรับข้อกล่าวหา
กลุ่มประเทศยุโรปตะวันตกและสหรัฐฯ ได้คว่ำบาตรลูคาเชนโกและลิทัวเนีย ด้วยเหตุละเมิดสิทธิมนุษยชน และประเด็นอื่นๆ แต่ลูคาเชนโกอยู่รอดมาได้เพราะรัสเซีย
ช่วงเลือกตั้ง ประชาชนกล่าวหาว่าเครือข่ายของลูคาเชนโกได้กระทำการโกงเลือกตั้งทุกรูปแบบ เช่นการยัดบัตรใส่กล่องลงคะแนน ข่มขู่คู่ชิง นางสเวตลานา ติคานอฟสกายา ต้องลี้ภัยไปอยู่ลิทัวเนีย เพราะโดนลูคาเชนโกขู่ว่าจะจับกุมลูกของเธอ
เธอยังประกาศว่าจะสู้ต่อไป และชักชวนให้ชาวลิทัวเนียยืนหยัดต่อสู้เพื่อให้หลุดจากภายใต้การปกครองแบบกดขี่ของลูคาเชนโก ถ้าพ่ายแพ้และยอมต่อไป โอกาสที่ประชาชนจะมีอิสรภาพอย่างที่ต้องการคงดับสูญไปด้วย
ติคานอฟสกายาให้สัมภาษณ์สื่อบีบีซีของอังกฤษว่า การต่อสู้จะต้องเดินหน้าต่อไป ประชาชนได้ลงคะแนนเลือกเธอในฐานะผู้ชิงประธานาธิบดี ก็จริง แต่ความหมายแท้จริงคือการเลือกเธอเพื่อการเปลี่ยนแปลงสู่อนาคตที่ดีกว่า
ทหารและเจ้าหน้าที่ซึ่งได้รับคำสั่งให้ควบคุมฝูงชนได้ตัดสินใจละทิ้งหน้าที่ ยอมเข้าร่วมกับประชาชน แต่ส่วนใหญ่ยังคงจงรักภักดีต่อนายลูคาเชนโก ซึ่งได้รับการหนุนหลังจากผู้นำรัสเซีย ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ซึ่งรับประกันความมั่นคง
ประชาชนยังคงชุมนุมเดินขบวนเรียกร้องให้ลูคาเชนโกออกจากตำแหน่ง หรือจัดการเลือกตั้งใหม่ แต่ผู้นำอ้างว่าผู้ประท้วงได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มนอกประเทศ และประกาศจะใช้มาตรการต่างๆ สยบผู้ประท้วงต่อต้านให้ได้
ช่วงวันเสาร์ที่ผ่านมา ฝูงชนได้ชุมนุมที่จัตุรัสแห่งอิสรภาพ เปิดไฟจากโทรศัพท์มือถือส่องสว่างเป็นเชิงสัญลักษณ์ เปล่งเสียงว่า “เสรีภาพ อิสรภาพ”
การประท้วงยังลามไปถึงการผละงาน และหยุดทำงาน แม้แต่พนักงานสถานีโทรทัศน์ของรัฐบาลก็ผละงานด้วย ทำให้ลูคาเชนโกต้องขอให้ทีมข่าวจากรัสเซียเข้ามาช่วยเหลือ ประจำการในสถานีทีวี เพื่อให้ออกอากาศได้ต่อไป
ลูคาเชนโกบอกว่าได้ขอทีมผู้สื่อข่าวจากรัสเซียรวม 2-3 ทีม มาประจำการเผื่อไว้ว่าจะมีการแถลงข่าว หรือชี้แจงข้อมูลต่อประชาชน เพื่อรักษาเสถียรภาพ
เบลารุสมีประชากรประมาณ 10 ล้านคน ใช้ภาษาเป็นทางการคือ เบลารุสเซียน และรัสเซียน เหมือนในประเทศอื่นๆ เช่นยูเครน ซึ่งเคยอยู่ภายใต้สหภาพโซเวียตในระบอบคอมมิวนิสต์ มีความหวังแรงกล้าที่จะดิ้นให้หลุดจากอำนาจเผด็จการ
คงไม่ง่าย ไม่เร็วมากนัก เพราะลูคาเชนโกพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อให้อยู่ต่อไป