นาทีนี้ใครไม่แสดงท่าทีว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญถือว่าตกเทรนด์ และมีสิทธิ์ตกขบวนตามที่กระแสม็อบเยาวชนกำลังมาแรงแซงโค้งเรื่องอื่นบนหน้าสื่อ
แม้แต่ “เสี่ยหนู”อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย หนึ่งในพรรคร่วมรัฐบาลยังต้องออกมายืนแถลงแบบพร้อมเพรียงว่าจะสนับสนุนให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หลังจากนั้นเห็นควรให้ยุบสภา
เป็นจุดยืนที่ล้อกับข้อเสนอของม็อบปลดแอก ที่ยื่นเอาไว้ 3 ข้อ นั่นคือ หยุดคุกคามประชาชน แก้ไขรัฐธรรมนูญ และยุบสภา
ขณะนี้ไม่มีใครกล้าสวนกระแสม็อบ เพราะยังไม่รู้ว่าสุดท้ายปรากฏการณ์เยาวชนปลดแอกจะออกหน้าไหน จบอย่างไร แต่ที่แน่ๆ ต้องตามกระแสไว้ก่อน เผื่อจับพลัดจับผลู รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถอยทัพจะได้ตั้งตัวทัน
เช่นเดียวกับพรรคประชาธิปัตย์ ที่ถูกมองว่าเป็นหอกข้างแคร่เบอร์หนึ่งของรัฐบาล พร้อมจะตีชิ่งเสมอหากจวนตัว ใช้จังหวะนี้โหมกระแสแก้ไขรัฐธรรมนูญ หวังกดดันรัฐบาลอีกทางหนึ่งด้วย
สำหรับพรรคพลังประชารัฐ ต้องออกแอ็กชั่นว่าสนับสนุนให้แก้ไขเช่นเดียวกัน หลักๆคือ ต้องการลดแรงเสียดทานและแรงกดดันจากม็อบ ไม่ให้ลุกลามบานปลายไปมากกว่านี้
นอกจากท่าทีของพรรคร่วมรัฐบาล ในส่วนท่าทีของฝ่ายค้านก็น่าสนใจไม่แพ้กัน โดยเฉพาะ 2 พรรคแกนนำ อย่างพรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกล ที่แอบชิงเหลี่ยมกันอยู่เป็นระยะ
แม้ทั้งสองพรรคจะอยู่ขั้วตรงข้ามกับรัฐบาลชัดเจน แต่อีกทางหนึ่งก็กำลังแย่งชิงมวลชนกันอยู่ จากปรากฏการณ์ม็อบปลดแอกที่ขบเหลี่ยมเฉือนคมกันหลายช็อต ตั้งแต่เรื่องที่พรรคเพื่อไทยกระโดดหนีม็อบ หลังจากการชุมนุมของนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต เมื่อวันที่ 10 ส.ค.
ในจังหวะที่ม็อบนักศึกษาโดนเทจากพรรคเพื่อไทย เพราะไปปราศรัยหมิ่นเหม่ต่อสถาบันเบื้องสูง มีเพียงพรรคเดียวที่รีบใช้จังหวะนั้นเข้ามาอุ้มม็อบคือ พรรคก้าวไกล
พรรคเพื่อไทยโดนม็อบโจมตีอย่างหนัก ก่อนที่แกนนำจะนั่งไม่ติด คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ต้องออกมาขอโทษขอโพยเยาวชน พร้อมทั้งแก้เกมด้วยการสั่งส.ส.เข้าไปสังเกตการณ์การชุมนุมหลายชีวิต เพื่อเรียกฐานมวลชนกลับมาก่อนจะเสียให้พรรคก้าวไกลหมด
ขณะเดียวกัน พรรคเพื่อไทย ยังใช้ฐานมวลชนเดิมของตัวเองอย่างคนเสื้อแดงเข้ามาร่วมชุมนุมกับม็อบ เพื่อให้เห็นว่าตัวเองมีส่วนร่วม ไม่ได้รอผลประโยชน์หากม็อบชนะเพียงอย่างเดียว
อย่างไรก็ตาม สำหรับพรรคก้าวไกลเองก็หวังจะขึ้นมาเป็นเบอร์หนึ่งหากมีการเลือกตั้งครั้งหน้าแทนที่พรรคเพื่อไทย เพราะคิดว่าตัวเองคือ สัญลักษณ์ของพรรคคนรุ่นใหม่ และไม่ต้องการเดินตามพรรคเพื่อไทยอีกแล้ว จะเห็นว่าในสภาผู้แทนราษฎรระยะหลังมานี้ พรรคก้าวไกลแทบจะไม่สนใจมติพรรคร่วมฝ่ายค้านเลย เพราะคิดว่า พรรคเพื่อไทยเองสมคบกับรัฐบาลในบางเรื่อง
ขณะที่พรรคเพื่อไทยเองก็ไม่ต้องการสูญเสียความเป็นเบอร์หนึ่งไปเช่นเดียวกัน จึงพยายามเกาะกระแสม็อบครั้งนี้มากขึ้นเรื่อยๆ โดยการเข้าไปมีส่วนร่วมทางอ้อม
ช็อตล่าสุดที่พรรคก้าวไกลไม่ยื่นแก้ไขเพิ่มเติมร่างรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวกับการตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ร่วมกับฝ่ายค้านอื่นๆ โดยอ้างว่า เนื่องจากพรรคร่วมฝ่ายค้านได้ยื่นไว้แล้ว และในเมื่อรายชื่อครบตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้เเล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นใดๆ และพรรคขอสงวนความเห็นไว้ในสาระสำคัญบางประเด็น คือ การแก้เกมชิงความเป็นพรรคเบอร์หนึ่งของพรรคก้าวไกล
*พรรคก้าวไกลโหมประโคมเรื่อง หมวด 1 และ 2 ของรัฐธรรมนูญ ซึ่งถือเป็นมาตราที่ละเอียดอ่อน เพราะเกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ คือ การเสนอที่ต้องการล้อกับกระแสม็อบในตอนนี้
พรรคก้าวไกลรู้ว่า อย่างไรเสียพรรคเพื่อไทยก็ไม่กล้าร่วมลงชื่อเพื่อเสนอร่างกับพรรคก้าวไกล เนื่องจากเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับสถาบันเบื้องสูง ซึ่งการที่พรรคเพื่อไทยไม่ร่วม ย่อมทำให้เสียของพรรคก้าวไกลไม่เพียงพอ หรือไม่ถึง 98 เสียง ที่จะยื่นแก้ไขรัฐธรรมนูญ เหตุนี้ทำให้ไปไม่ถึงฝัน
อดีตพรรคอนาคตใหม่ในเวอร์ชั่นพรรคก้าวไกล รู้อยู่แล้วว่ามันต้องแบบนี้ แต่การทำแบบนี้ ถือว่า ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว นั่นคือได้ใจเยาวชนที่กำลังชุมนุมอยู่ กับได้หักหน้าพรรคเพื่อไทยอีกครั้ง
สองพรรคนี้ไม่ได้รักกันจริง ขณะเดียวกันในความที่เหมือนจะเป็นพวกเดียวกัน แต่ก็แอบแข่งขันกันเองอยู่เป็นระยะ เพราะไม่มีใครอยากตามใคร
แผลของสองพรรคนี้เกิดขึ้นเรื่อยๆ มาโดยตลอด โดยเฉพาะการเลือกตั้งซ่อมส.ส.เขต 5 ที่สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทยโมโหพรรคก้าวไกลอย่างมาก ที่ส่งผู้สมัคร ส.ส.มาตัดคะแนนกันเอง จนแพ้ให้กับกรุงศรีวิไล สุทินเผือก จากพรรคพลังประชารัฐ แบบขาดลอย
ซึ่งหากนำคะแนนของพรรคร่วมฝ่ายค้านในสนามเลือกตั้งซ่อมที่ผ่านมา ถือว่าค่อนข้างสูสีกับพรรคพลังประชารัฐเลย แต่พรรคก้าวไกล กลับเอาแต่ใจตัวเอง จนสุดท้ายพรรคฝ่ายค้านไม่ได้อะไรเลย แถมยังเสียหน้า ที่เหมือนมาทะเลาะกันเอง
ดังนั้น สองพรรคนี้จะขบกันให้เห็นไปอีกนาน พรรคเพื่อไทยรู้ว่า พรรคก้าวไกลคิดจะวัดรอยเท้า ในการขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งฝ่ายประชาธิปไตย ขณะที่พรรคก้าวไกลก็รู้ว่า พรรคเพื่อไทยที่ใจไม่ถึงในบางเรื่อง พยายามเข้ามาเกาะกระแสม็อบที่เริ่มจะจุดติดแล้ว
ถ้ายังเป็นแบบนี้อยู่ การเลือกตั้งครั้งหน้า 2 พรรคนี้อาจเป็นคู่แข่งโดยตรงกันมากกว่า เนื่องจากมีฐานมวลชนเดียวกัน