เมืองไทย 360 องศา
ผลการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 5 สมุทรปราการ เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม ที่ผ่านมา คงทำให้พรรคร่วมฝ่ายค้านบางพรรคมีอาการ “สุดเซ็ง” กันพอสมควร โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย กับ พรรคก้าวไกล ที่พ่ายแพ้กับผู้สมัครของพรรคพลังประชารัฐ คือ “นายกรุงศรีวิไล สุทินเผือก” ที่เป็นอดีต ส.ส.เก่า (ได้ใบเหลือง) ไปแบบหมดรูป นั่นคือ แพ้แบบม้วนเดียวจบไม่ได้ลุ้นกันเลย ที่สำคัญ แม้จะรวมกันสองพรรค คะแนนก็ยังแพ้ให้กับพรรคพลังประชารัฐอยู่ดี
โดยเมื่อพิจารณาจากผลคะแนนที่ผู้สมัครแต่ละพรรคได้รับ (ไม่เป็นทางการ) ดังนี้ นายกรุงศรีวิไล สุทินเผือก หมายเลข 4 พรรคพลังประชารัฐ ได้ 46,747 คะแนน นางสลิลทิพย์ สุขวัฒน์ หมายเลข 3 พรรคเพื่อไทยได้ 21,540 คะแนน และ นายอิศราวุธ ณ น่าน หมายเลข 2 พรรคก้าวไกลได้ 19,977 คะแนน รวมทั้ง นายมะนะ บุนนาค หมายเลข 1 พรรคเสรีรวมไทย ได้ 8,905 คะแนน และผู้สมัครจากพรรคภราดรภาพ ได้ 513 คะแนน
ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากผลของคะแนนที่เห็นแล้วก็ต้องถือว่า พรรคร่วมฝ่ายค้านเสียหายจนต้องเงียบเสียงลง เพราะเมื่อเปรียบเทียบผลคะแนนกับการเลือกตั้งคราวที่แล้ว เมื่อปี 62 ถือว่าทั้งสองพรรคได้คะแนนลดลงอย่างมาก โดยคราวที่แล้ว ผู้สมัครของพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นผู้สมัครคนเดิมคือ นางสลิลทิพย์ ได้ 33,007 คะแนน ขณะที่พรรคก้าวไกล (อนาคตใหม่เดิม) มีการเปลี่ยนแปลงผู้สมัครจากเดิม คือ นายตรัยวรรธน์ อิ่มใจ เคยได้ 31,430 คะแนน ส่วน นายกรุงศรีวิไล สุทินเผือก ผู้สมัครจากพรรคพลังประชารัฐ (ส.ส.เก่า) เคยได้ 41,745 คะแนน ก็ถือว่าผู้สมัครจากพรรคพลังประชารัฐเท่านั้นที่ได้คะแนนเพิ่มขึ้นมากว่า 5 พันคะแนน
และก็ตามคาดหมาย ก็คือ เสียงโวยวายว่า “ถูกโกง” แต่น่าสังเกตก็คือ คราวนี้มีแต่เสียงโวยที่ไม่ค่อยเต็มเสียงนัก อ้างแต่เพียงว่ามีการโกง ซื้อเสียงจ่ายหัวละห้าร้อยบ้าง แต่ไม่ได้เห็นหลักฐานที่จะจะ
และที่น่าสังเกตอีกอย่างหนึ่ง ก็คือ คราวนี้เป็นการลงสมัครแข่งขันกันแบบลักษณะเดิม โดยเฉพาะพรรคร่วมฝ่ายค้านต่างไม่มีการหลีกทางให้ เป็นการแข่งขันเหมือนกับการเลือกตั้งใหญ่เมื่อปี 62 ที่ทั้งสามสี่พรรคดังกล่าวส่งผู้สมัครกันทุกพรรค อาจมีการเปลี่ยนตัวผู้สมัครบ้างในกรณีของพรรคก้าวไกล ซึ่งในช่วงนั้นก็มีเสียงโวยวายเล็กๆ จากผู้สมัครคนเดิมที่ถูกเปลี่ยนตัวมา แต่ก็ถือว่าไม่ใช่สาระสำคัญ
แน่นอนว่า ผลการเลือกตั้งซ่อมคราวนี้ น่าจะมีผลสะเทือนในทางการเมืองตามมาเหมือนกัน เนื่องจากพรรคฝ่ายค้านทั้งสองพรรค คือ พรรคเพื่อไทย และ พรรคก้าวไกล ต่างคาดหวังว่าจะใช้ผลการเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ โดยหากผู้สมัครของฝ่ายค้านได้รับชัยชนะ และนำไปขยายผลการสร้างกระแส “ไม่เอาลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นำไป “เคลม” ได้ว่าชาวบ้านไม่เอาแล้ว อะไรประมาณนี้ อีกทั้งเป็นการเลือกตั้งในเขตปริมณฑลรอบพื้นที่กรุงเทพฯ
ที่ผ่านมา สำหรับพรรคก้าวไกลที่ก่อนหน้านี้ เป็นพรรคอนาคตใหม่ ในช่วงที่ใกล้จะมีการประกาศวันเลือกตั้งซ่อม หากจำกันได้ในช่วงที่เกิดโรคโควิด-19 ระบาดใหม่ๆ ก็เคยเห็นภาพของ “นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ” ประธานกลุ่มทุนไทยซัมมิท แม่ของ “นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ นำขบวนไปเจาะจงแจกเงินให้กับชาวบ้านในย่านบางพลี สมุทรปราการ คนละ 2 พันบาท ซึ่งมีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าอยู่ในพื้นที่เขตเลือกตั้งที่ 5 ที่คาดว่าจะมีการเลือกตั้งซ่อมในอีกไม่นาน
แต่ผลการเลือกตั้งที่ออกมาถือว่าไม่น่าประทับใจ เพราะคะแนนที่ได้ลดลงกว่าเดิมมาก เพราะขนาดที่ว่ารวมคะแนนทั้งสองพรรคคือ เพื่อไทย กับ ก้าวไกล ก็ยังแพ้ผู้สมัครจากพรรคพลังประชารัฐขาด
แน่นอนว่า ผลการเลือกตั้งอาจมีปัจจัยและองค์ประกอบหลายอย่าง ทั้งตัวผู้สมัครของแต่ละพรรคโดยเฉพาะผู้สมัครของพรรคพลังประชารัฐที่เป็นอดีต ส.ส.เก่ายังได้รับความนิยมมากกว่า รวมไปถึงความได้เปรียบในเรื่องของพรรคฝ่ายรัฐบาล อำนาจรัฐ หรืออะไรก็ว่ากันไป แต่เมื่อพิจารณาจากความจริงตรงหน้าผลจากคะแนนก็ต้องถือว่าพรรคร่วมฝ่ายค้าน “ล้มเหลว” ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเลือกตั้งซ่อมที่ผ่านมา ตั้งแต่ที่จังหวัดนครปฐม ขอนแก่น ลำปาง ฝ่ายค้านก็แพ้รวด
และคราวนี้หากสังเกตให้ดีจะเห็นว่า ทั้งสองพรรค คือ พรรคเพื่อไทย กับ พรรคก้าวไกล ก็พยายาม “โหนม็อบเด็ก” ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายก่อนการเลือกตั้งซ่อมกันอย่างเต็มที่ แม้ว่าอาจจะไม่มีผลโดยตรงมากนัก อย่างน้อยก็คงหวังว่าจะมีผลในทางการเมืองในการสร้างกระแสในพื้นที่สมุทรปราการ ที่เคยมีการเคลื่อนไหวด้านมวลชนเข้มข้นมาก่อน
ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่งที่น่าจับตาไม่น้อย ก็คือ จะมีการเคลื่อนไหวในพรรคเพื่อไทยในอนาคตอันใกล้นี้อีกหรือไม่ เพราะหากมองให้ลึกลงไปการพ่ายแพ้การเลือกตั้งซ่อมคราวนี้ ยังถือว่าเป็นความ “ล้มเหลว” อีกครั้งของ “เจ๊หน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์ของพรรค ที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลและกำหนดยุทธศาสตร์ในการหาเสียงในครั้งนี้ด้วย หลังจากก่อนหน้านี้พ่ายแพ้มาในสนามเลือกตั้งซ่อม ที่จังหวัดขอนแก่น มาคราวนี้ยิ่งพ่ายแพ้แบบหมดรูป คะแนนแพ้ขาดลดลงจากเดิมเมื่อเปรียบเทียบกับการเลือกตั้งคราวที่แล้ว มันก็ทำให้ต้องทบทวนกันใหม่หรือไม่
หากพิจารณาจากรายงานข่าวที่เป็นความเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้ ที่มีการระบุว่า มีความพยายามจะลดบทบาทคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ในพรรคลงไป โดยจะให้ไปลงสมัครผู้ว่าฯกรุงเทพมหานคร ด้วยเหตุผลเพื่อรักษาฐานเสียงของตัวเองและของพรรคในพื้นที่เมืองหลวง แต่ก็มีการปฏิเสธข่าวดังกล่าว และได้รับมอบหมายให้เป็นผู้กำหนดยุทธศาสตร์การหาเสียงเลือกตั้งซ่อมที่ปากน้ำ แต่เมื่อผลที่ออกมาแบบที่ “เสียหาย” ทำให้เธอต้องเก็บตัวเงียบหรือเปล่า น่าติดตามอย่างยิ่ง !!