ผู้จัดการรายวัน360- "บิ๊กตู่" ประชุม ศบศ.นัดแรก หวังต่อลมหายใจ 3-6 เดือน แย้มสบายใจขึ้นแผนฟื้นฟูชัด ด้านรมว.พลังงาน เผย เคาะ 4 มาตรการเร่งด่วน ฟื้นศก.ตั้งเป้าจ้างงาน1 ล้านตำแหน่ง ปรับ “เที่ยวด้วยกัน”เพิ่มโควตาห้อง สินเชื่อเอสเอ็มอี1.1 แสนล้านบาท
วานนี้ (19 ส.ค.) ที่ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบศ. นัดแรก พร้อมกล่าวตอนหนึ่งว่า วันนี้มีหลายงานที่ต้องเร่งรัดในการพัฒนาเศรษฐกิจของไทย ให้ฟื้นคืนจากช่วงต้นปีที่ผ่านมา ทั้งไตรมาส 1 , 2 และ 3 ต้องทำให้เศรษฐกิจเดินหน้าต่อไปได้ อย่างน้อยในช่วง 3-6 เดือน จะทำให้ดี เพื่อต่อลมหายใจ และ หาช่องทางให้ผู้ประกอบการ สามารถเข้าถึงแผนฟื้นฟูของรัฐให้ได้มากที่สุด และ ได้คุยกับรองนายกฯ ฝ่ายเศรษฐกิจแล้ว มีการหารือหลายประเด็น และเข้าใจตรงกัน จึงรู้สึกสบายใจขึ้น เพราะมีแผนงานที่ชัดเจน แต่ก็ต้องขอความร่วมมือจากภาคธุรกิจทั้งหมด ซึ่งการตั้งศบศ. ขึ้นมา ยังมีคณะอนุกรรมการอีกหลายคณะ เพื่อช่วยการทำงานให้รวดเร็วขึ้น ไม่ต้องรอนโยบายจากส่วนบน แล้วจึงจะเริ่มดำเนินการ
“ขอย้ำว่ารัฐบาลให้ความสำคัญเรื่องเศรษฐกิจและเรื่องสุขภาพควบคู่กันไป ซึ่งขณะนี้สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ดีในระดับที่น่าพอใจ แต่ทั้งหมดจะเกิดขึ้นได้ ต้องมีความเข้าใจของประชาชนร่วมด้วย” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน กล่าวว่า ที่ประชุม ศบศ. นัดแรก ได้เห็นชอบ 4 มาตรการเศรษฐกิจระยะเร่งด่วน ทั้งมาตรการสนับสนุนการท่องเที่ยว มาตรการสนับสนุนภาคธุรกิจและเอสเอ็มอี มาตรการส่งเสริมการจ้างงาน มีเป้าหมายจ้างงาน 1 ล้านตำแหน่ง มาตรการกระตุ้นใช้จ่ายในประเทศ ซึ่งในการประชุมครม.สัญจร จังหวัดระยอง วันที่ 25 ส.ค.นี้ จะนำเรื่องของมาตรการด้านท่องเที่ยว กับแรงงานเสนอให้ที่ประชุมครม.พิจารณาเป็นลำดับแรก ส่วนที่เหลือจะพิจารณารายละเอียดใน ศบศ. ครั้งต่อไป
สำหรับมาตรการด้านการส่งเสริมท่องเที่ยว ได้มีการปรับปรุงโครงการเราเที่ยวด้วยกันใหม่ให้จูงใจคนเข้าไปใช้สิทธิ์มากขึ้น เพราะปัจจุบันมาคนไปใช้สิทธิน้อย โดยมีจำนวนห้องพักเหลืออยู่ถึง 4.3 ล้านคืน ดังนั้นจึงเห็นชอบให้ขยายจำนวนโควตาห้องพักต่อคน จากเดิมกำหนดไว้คนละไม่เกิน 5 คืน ขยายเป็นคนละไม่เกิน 10 คืน และเพิ่มเงินสนับสนุนค่าตั๋วเครื่องบิน จากไม่เกิน 1,000 บาทต่อที่นั่ง เพิ่มเป็นไม่เกิน 2,000 บาทต่อที่นั่ง รวมทั้งยังให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) หาทางดึงกลุ่มบริษัทจดทะเบียนมาท่องเที่ยวในประเทศ
ส่วนมาตรการสนับสนุนภาคธุรกิจและเอสเอ็มอี ผ่านมาตรการทางด้านสินเชื่อ ซึ่งที่ผ่านมามีส่วนหนึ่งได้ผ่านการเห็นชอบจากครม.ไปแล้ว เพื่อไปดูแลเอสเอ็มอีใน 3 กลุ่ม คิดเป็นวงเงินรวม 114,100 ล้านบาท คือ กลุ่มเอสเอ็มอีทั่วไป กลุ่มเอสเอ็มอีท่องเที่ยว และกลุ่มเอสเอ็มอีรายย่อยและประชาชน นอกจากนี้ยังมีโครงการส่งเสริมและสร้างแรงจูงใจบริษัทขนาดใหญ่ช่วยสร้างพัฒนาศักยภาพ และโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ
ขณะที่มาตรการส่งเสริมการจ้างงาน ซึ่งกระทรวงแรงงานแจ้งว่า ตอนนี้ยังมีตำแหน่งงานว่างอยู่ 6-7 แสนตำแหน่ง โดยที่ประชุมได้ขอให้กระทรวงแรงงานกลับไปพิจารณาแนวทางที่ชัดเจนก่อนนำมาเสนออีกครั้ง โดยให้เน้นการจ้างงานสำหรับเด็กจบใหม่ การจ้างงานเพิ่มเติมสำหรับแรงงานต่างด้าว การรักษาการจ้างงานเดิม การพัฒนาทักษะแรงงาน และอุดหนุนค่าใช้จ่ายในการศึกษา ส่วนสุดท้าย คือ มาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย ซึ่งกระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานต่างๆ จะไปทำมาตรการชัดๆ มาเสนออีกครั้ง และยังมีเรื่องการเปิดรับผู้ใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐเพิ่มเติมด้วย
วานนี้ (19 ส.ค.) ที่ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบศ. นัดแรก พร้อมกล่าวตอนหนึ่งว่า วันนี้มีหลายงานที่ต้องเร่งรัดในการพัฒนาเศรษฐกิจของไทย ให้ฟื้นคืนจากช่วงต้นปีที่ผ่านมา ทั้งไตรมาส 1 , 2 และ 3 ต้องทำให้เศรษฐกิจเดินหน้าต่อไปได้ อย่างน้อยในช่วง 3-6 เดือน จะทำให้ดี เพื่อต่อลมหายใจ และ หาช่องทางให้ผู้ประกอบการ สามารถเข้าถึงแผนฟื้นฟูของรัฐให้ได้มากที่สุด และ ได้คุยกับรองนายกฯ ฝ่ายเศรษฐกิจแล้ว มีการหารือหลายประเด็น และเข้าใจตรงกัน จึงรู้สึกสบายใจขึ้น เพราะมีแผนงานที่ชัดเจน แต่ก็ต้องขอความร่วมมือจากภาคธุรกิจทั้งหมด ซึ่งการตั้งศบศ. ขึ้นมา ยังมีคณะอนุกรรมการอีกหลายคณะ เพื่อช่วยการทำงานให้รวดเร็วขึ้น ไม่ต้องรอนโยบายจากส่วนบน แล้วจึงจะเริ่มดำเนินการ
“ขอย้ำว่ารัฐบาลให้ความสำคัญเรื่องเศรษฐกิจและเรื่องสุขภาพควบคู่กันไป ซึ่งขณะนี้สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ดีในระดับที่น่าพอใจ แต่ทั้งหมดจะเกิดขึ้นได้ ต้องมีความเข้าใจของประชาชนร่วมด้วย” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน กล่าวว่า ที่ประชุม ศบศ. นัดแรก ได้เห็นชอบ 4 มาตรการเศรษฐกิจระยะเร่งด่วน ทั้งมาตรการสนับสนุนการท่องเที่ยว มาตรการสนับสนุนภาคธุรกิจและเอสเอ็มอี มาตรการส่งเสริมการจ้างงาน มีเป้าหมายจ้างงาน 1 ล้านตำแหน่ง มาตรการกระตุ้นใช้จ่ายในประเทศ ซึ่งในการประชุมครม.สัญจร จังหวัดระยอง วันที่ 25 ส.ค.นี้ จะนำเรื่องของมาตรการด้านท่องเที่ยว กับแรงงานเสนอให้ที่ประชุมครม.พิจารณาเป็นลำดับแรก ส่วนที่เหลือจะพิจารณารายละเอียดใน ศบศ. ครั้งต่อไป
สำหรับมาตรการด้านการส่งเสริมท่องเที่ยว ได้มีการปรับปรุงโครงการเราเที่ยวด้วยกันใหม่ให้จูงใจคนเข้าไปใช้สิทธิ์มากขึ้น เพราะปัจจุบันมาคนไปใช้สิทธิน้อย โดยมีจำนวนห้องพักเหลืออยู่ถึง 4.3 ล้านคืน ดังนั้นจึงเห็นชอบให้ขยายจำนวนโควตาห้องพักต่อคน จากเดิมกำหนดไว้คนละไม่เกิน 5 คืน ขยายเป็นคนละไม่เกิน 10 คืน และเพิ่มเงินสนับสนุนค่าตั๋วเครื่องบิน จากไม่เกิน 1,000 บาทต่อที่นั่ง เพิ่มเป็นไม่เกิน 2,000 บาทต่อที่นั่ง รวมทั้งยังให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) หาทางดึงกลุ่มบริษัทจดทะเบียนมาท่องเที่ยวในประเทศ
ส่วนมาตรการสนับสนุนภาคธุรกิจและเอสเอ็มอี ผ่านมาตรการทางด้านสินเชื่อ ซึ่งที่ผ่านมามีส่วนหนึ่งได้ผ่านการเห็นชอบจากครม.ไปแล้ว เพื่อไปดูแลเอสเอ็มอีใน 3 กลุ่ม คิดเป็นวงเงินรวม 114,100 ล้านบาท คือ กลุ่มเอสเอ็มอีทั่วไป กลุ่มเอสเอ็มอีท่องเที่ยว และกลุ่มเอสเอ็มอีรายย่อยและประชาชน นอกจากนี้ยังมีโครงการส่งเสริมและสร้างแรงจูงใจบริษัทขนาดใหญ่ช่วยสร้างพัฒนาศักยภาพ และโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ
ขณะที่มาตรการส่งเสริมการจ้างงาน ซึ่งกระทรวงแรงงานแจ้งว่า ตอนนี้ยังมีตำแหน่งงานว่างอยู่ 6-7 แสนตำแหน่ง โดยที่ประชุมได้ขอให้กระทรวงแรงงานกลับไปพิจารณาแนวทางที่ชัดเจนก่อนนำมาเสนออีกครั้ง โดยให้เน้นการจ้างงานสำหรับเด็กจบใหม่ การจ้างงานเพิ่มเติมสำหรับแรงงานต่างด้าว การรักษาการจ้างงานเดิม การพัฒนาทักษะแรงงาน และอุดหนุนค่าใช้จ่ายในการศึกษา ส่วนสุดท้าย คือ มาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย ซึ่งกระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานต่างๆ จะไปทำมาตรการชัดๆ มาเสนออีกครั้ง และยังมีเรื่องการเปิดรับผู้ใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐเพิ่มเติมด้วย
