สังศิต พิริยะรังสรรค์
ประธานคณะกรรมาธิการแก้ไขปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำ วุฒิสภา
ในระหว่างวันที่ 14-15 สิงหาคม ที่ผ่านมาที่คณะอนุกรรมาธิการแก้ปัญหาคุณภาพชีวิตของประชาชนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ของวุฒิสภาได้ลงพื้นที่ ผมได้รับข้อร้องเรียนจากพี่น้องประชาชนหลายข้อ แต่สิ่งที่รบกวนจิตใจผมมีอยู่ 3 เรื่องคือ
1.การที่ธุรกิจเอกชนที่ให้บริการรับส่งสินค้าซึ่งกำลังเฟื่องฟูมากนับตั้งแต่เกิดโควิด-19 เป็นต้นมา ได้คิดค่าบริการเพิ่มเติมอีก 40-50 บาทต่อครั้งเฉพาะในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้ ซึ่งทำให้ทั้งกลุ่มธุรกิจและผู้บริโภคในพื้นที่ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าประชาชนคนไทยทั่วประเทศ พฤติกรรมดังกล่าวของธุรกิจต่างด้าวทั้ง 2 บริษัทอาจกล่าวอ้างว่าเป็นเพราะในพื้นที่มีปัญหาความไม่สงบ
อย่างไรก็ดีสำหรับความเห็นส่วนตัวของผมแล้ว ผมกลับคิดว่าในพื้นที่พิเศษ 3 จังหวัดภาคใต้ซึ่ง 2 ใน 3 จังหวัดติดอันดับความยากจนสูงสุดของประเทศสมควรได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นธรรมมากกว่า หลักคิดเรื่องเศรษฐกิจการตลาดเพื่อสังคม(social market economy)แตกต่างจากเศรษฐกิจการตลาดแบบเสรี (free market economy)(ท่านที่สนใจหลักคิดนี้โปรดดู ‘ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจการตลาดเพื่อสังคมสำหรับพี่น้องใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้) ประการหนึ่งก็คือเศรษฐกิจการตลาดเพื่อสังคมมุ่งส่งเสริมธุรกิจทุกประเภทให้สร้างประโยชน์สุขแก่ประชาชนส่วนใหญ่ในขณะที่เศรษฐกิจการตลาดแบบเสรีนั้นเน้นที่ผลกำไรของธุรกิจเพียงอย่างเดียวโดยไม่ให้ความสนใจกับผลกระทบด้านลบต่อสังคมเลย ด้วยเหตุผลนี้ผมจึงเห็นว่าธุรกิจเอกชนที่ให้บริการส่งสินค้าอย่างน้อยที่สุดควรคิดค่าใช้จ่ายในการให้บริการสำหรับพี่น้องใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เท่ากับในจังหวัดอื่นๆทั่วประเทศ วันนี้คุณภาณุ อุทัยวัฒน์ เลขากมธ.และอดีตผอ.ศอ.บต.ได้ประสานกับศคบ.เพื่อให้เชิญธุรกิจทั้งสองแห่งมาพูดคุยกันในเรื่องนี้ อย่างไรก็ดีหากธุรกิจเอกชนไม่ยอมให้ความร่วมมือ ผมได้ตระเตรียมแผนสำรองไว้แล้ว
2.ท่านนายกเทศมนตรีเมืองยะลาได้ร้องเรียนว่าโรงเรียนตชด.ได้ถูกตัดงบประมาณค่าอาหารกลางวันสำหรับเด็กนักเรียนทั้งหมด หมายความว่าในงบประมาณปีหน้าเด็กนักเรียนเหล่านี้ทั้งหมดจะไม่ได้รับประทานอาหารกลางวันเลย สำหรับผมแล้วนี่เป็นเรื่องที่ไม่ธรรมเป็นอย่างยิ่งสำหรับเด็กนักเรียนเหล่านี้ในเรื่องโอกาศของการศึกษา คุณภาณุ อุทัยวัฒน์ได้ประสานให้ท่านนายกเมืองยะลาทำจดหมายร้องเรียนมาที่ผม เพื่อที่ผมจะได้ประสานงานกับสำนักงบประมาณต่อไปและ
3.ผมได้รับการร้องเรียนจากนายกสมาคมประมงพาณิชย์จังหวัดปัตตานี(ลูกศิษย์เก่าผมที่คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬา)ว่าประสบปัญหาในการประกอบอาชีพประมงอย่างรุนแรง เพราะนับตั้งแต่รัฐบาลได้ทำข้อตกลงกับ IUU เมื่อหลายปีก่อนอุตสาหกรรมประมงของไทยที่เคยเป็นมหาอำนาจโลกซึ่งมีอยู่ราว 3-4 ประเทศก็เสื่อมโทรมลงจนถึงจุดที่ใกล้ล่มสลายแล้ว จังหวัดปัตตานีที่เคยมีกองเรือหาปลาจำนวนมหาศาล ในวันนี้กลับเงียบเหงาเหมือนเมืองร้าง ธุรกิจต่างๆพลอยได้รับผลกระทบด้านลบตามไปด้วย ตามท้องถนนเห็นแต่ป้ายประกาศขายอาคารอยู่ทั่วไป กองเรือปัตตานีจำนวนประมาณ 180 ลำต้องไปจดทะเบียนกับประเทศมาเลเซียเพราะระเบียบของทางราชการที่นั่นเอื้ออำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจมากกว่าของไทย ปัญหาในขณะนี้ประการหนึ่งก็คือพวกเขาอยากเอาเรือประมงที่ทรุดโทรมกลับมาซ่อมที่เมืองไทย แต่ไม่สามารถทำได้ ผมรับปากว่าจะมาศึกษาปัญหานี้เพื่อหาทางออกที่เป็นทางสายกลาง กล่าวคือเป็นการทำประมงที่มีมาตรฐาน แต่ในขณะเดียวกันพวกเขาควรได้รับโอกาศให้ทำธุรกิจได้อย่างเต็มความสามารถ ผมคิดว่าในขณะนี้ประมงพาณิชย์ของไทยทั้งประเทศไม่ได้รับประโยชน์และน่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรมจาก IUU และพวกเขาไม่มีความสุขมากๆ
ผมอดคิดไม่ได้ว่าบางทีข้อตกลงที่ทำขึ้นมาอาจขัดกับหลักธรรมาภิบาล ในแง่ที่ธุรกิจเอกชนไม่ได้มีส่วนร่วมในการสะท้อนปัญหาของพวกเขาต่อรัฐบาล ผมตั้งใจจะเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาชี้แจงกับอนุกรรมาธิการในสัปดาห์หน้าครับ