ผู้จัดการรายวัน360-"พุทธิพงษ์"ร่อนหนังสือบี้เฟซบุ๊กลบเพจ 1,129 รายการ ผิดกฎหมาย ขีดเส้นตาย 15 วัน ไม่ดำเนินการเจอเล่นงานคดีอาญา ปรับ 2 แสนบาท พร้อมปรับรายวันอีกวันละ 5 พันบาท เผยประชาชนตอบรับเพจ "อาสาจับตาออนไลน์" แค่สัปดาห์เดียว แห่แจ้งเบาะแสเว็บผิดกฎหมายรวม 1,050 รายการ ยื่นศาลขอปิดกั้นแล้ว 181 รายการ ย้ำหลังได้รับการร้องเรียน ต้องตรวจสอบ รวบรวมหลักฐานให้เสร็จใน 48 ชั่วโมง ก่อนส่งศาลมีคำสั่ง
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เปิดเผยถึงผลการเปิดเพจเฟซบุ๊ก "อาสาจับตาออนไลน์” ว่า นับแต่กระทรวงฯ มีการเปิดเพจดังกล่าวเมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการแจ้งเบาะแส โดยเพียงสัปดาห์แรก ก็มีผู้ส่งข้อมูลแจ้งเบาะแสสื่อสังคมออนไลน์ เว็บผิดกฎหมายเข้ามาจำนวน 1,050 รายการ แยกเป็นการแจ้งเรื่องเดียวกัน 559 รายการ ซึ่งหลังผ่านกระบวนการตรวจสอบ และรวบรวมพยานหลักฐานมีประมาณ 317 รายการที่เห็นว่าเข้าข่ายผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ 2560 โดยได้มีการยื่นศาลขอปิดกั้น จำนวน 181 รายการ และศาลมีคำสั่งแล้วทั้ง 7 รายการ
ส่วนที่อยู่ระหว่างดำเนินการอีก 174 รายการ แบ่งเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มหลอกลวงถูกฉ้อโกง 35 รายการ ซึ่งได้ให้คำปรึกษาประชาชนในการเข้าแจ้งความแล้ว กลุ่มพนันออนไลน์ 25 รายการ มีการประสานให้ตำรวจดำเนินการแล้ว กลุ่มข่าวปลอม 1 รายการ ได้ประสานศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมทำการตรวจสอบ และกลุ่มที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อกฎหมายจำนวน 101 รายการ
“ผมได้ให้นโยบายกับฝ่ายปฏิบัติว่าหลังรับเรื่องร้องเรียนแล้ว จะต้องมีการตรวจสอบและรวบรวมหลักฐานต่างๆ ให้แล้วเสร็จภายใน 48 ชั่วโมง และส่งให้ศาลอนุมัติคำสั่ง เพื่อทางตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และตำรวจที่เกี่ยวข้องจะได้ไปจับกุมผู้กระทำผิดได้โดยเร็ว รวมทั้งส่งต่อไปยังแพลตฟอร์มต่างประเทศ และผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตในประเทศไทยทำการปิดเว็บ หรือลบเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม โดยที่ผ่านมา เฉพาะครึ่งปีแรกของปี 2563 ได้รับแจ้ง 8,715 เว็บ และส่งศาลเพื่อออกคำสั่งไปแล้วทั้งสิ้น 7,164 เว็บ”นายพุทธิพงษ์กล่าว
นายพุทธิพงษ์กล่าวว่า ที่ผ่านมา เมื่อส่งคำสั่งศาลให้ปิดหรือลบออกไปยังแพลตฟอร์มต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเฟซบุ๊ก ยูทูป กูเกิล หรืออื่นๆ ถ้าเขาไม่ดำเนินการ ก็ปล่อยไว้อย่างนั้น แต่วันนี้จะบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ถ้าภายใน 15 วัน ที่เราส่งคำสั่งศาลไปให้แพลตฟอร์มต่างประเทศ หรือผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตในประเทศไทย แล้วไม่ดำเนินการตามคำสั่งศาลไทยที่ให้ปิดหรือลบออก ก็จะดำเนินการตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 27 ดำเนินคดีตามกฎหมาย ตำรวจจะรับไปดำเนินคดีอาญาทันที กับอีกทาง คือ ได้ตั้งคณะกรรมการเพื่อเปรียบเทียบปรับตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ อำนาจในการปรับต่อครั้งต่อชิ้นโดยรวมไม่เกิน 200,000 บาท และสามารถปรับต่อชิ้นรายวันได้อีกไม่เกิน 5,000 บาท
“ทุกๆ รายการที่ส่งคำสั่งศาลไป ถ้าภายใน 15 วัน ไม่มีใครลบหรือทำตามคำสั่งศาล เราก็จะเข้าสู่กระบวนการเหล่านี้ทันที ซึ่งวันนี้เราได้รวบรวมช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา คือ ตั้งแต่เม.ย.-มิ.ย.2563 ที่เพจเฟซบุ๊กจำนวน 1,129 ชิ้น ยังไม่มีการลบตามคำสั่งศาลไทย และผมได้ลงนามส่งจดหมายแจ้งไปแพลตฟอร์มเฟซบุ๊กว่าเขายังไม่ได้ดำเนินการตามคำสั่งศาลไทย เป็นการให้โอกาสเขาอีกที ถ้า 15 วัน นับจากนี้เขายังไม่ดำเนินการลบ เราก็จะดำเนินการตามกฎหมายทั้งคดีอาญา และโทษปรับ ซึ่งเชื่อว่าการปรับเปลี่ยนรูปแบบกดดันและบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด จะลดปัญหาเว็บเพจที่ไม่เหมาะสมได้"
นอกจากนี้ ในส่วนของการจัดการเว็บพนันออนไลน์ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ได้ประสานกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยเอาข้อมูลที่เรามีและที่ได้รับแจ้งและมีการลงพื้นที่ของเจ้าหน้าที่ พบว่า ได้มีการจับกุมไปแล้ว 20 กว่าราย มีวงเงินประมาณ 1 พันกว่าล้านบาท ซึ่งจะมีการเดินหน้าทำต่อไป
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เปิดเผยถึงผลการเปิดเพจเฟซบุ๊ก "อาสาจับตาออนไลน์” ว่า นับแต่กระทรวงฯ มีการเปิดเพจดังกล่าวเมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการแจ้งเบาะแส โดยเพียงสัปดาห์แรก ก็มีผู้ส่งข้อมูลแจ้งเบาะแสสื่อสังคมออนไลน์ เว็บผิดกฎหมายเข้ามาจำนวน 1,050 รายการ แยกเป็นการแจ้งเรื่องเดียวกัน 559 รายการ ซึ่งหลังผ่านกระบวนการตรวจสอบ และรวบรวมพยานหลักฐานมีประมาณ 317 รายการที่เห็นว่าเข้าข่ายผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ 2560 โดยได้มีการยื่นศาลขอปิดกั้น จำนวน 181 รายการ และศาลมีคำสั่งแล้วทั้ง 7 รายการ
ส่วนที่อยู่ระหว่างดำเนินการอีก 174 รายการ แบ่งเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มหลอกลวงถูกฉ้อโกง 35 รายการ ซึ่งได้ให้คำปรึกษาประชาชนในการเข้าแจ้งความแล้ว กลุ่มพนันออนไลน์ 25 รายการ มีการประสานให้ตำรวจดำเนินการแล้ว กลุ่มข่าวปลอม 1 รายการ ได้ประสานศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมทำการตรวจสอบ และกลุ่มที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อกฎหมายจำนวน 101 รายการ
“ผมได้ให้นโยบายกับฝ่ายปฏิบัติว่าหลังรับเรื่องร้องเรียนแล้ว จะต้องมีการตรวจสอบและรวบรวมหลักฐานต่างๆ ให้แล้วเสร็จภายใน 48 ชั่วโมง และส่งให้ศาลอนุมัติคำสั่ง เพื่อทางตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และตำรวจที่เกี่ยวข้องจะได้ไปจับกุมผู้กระทำผิดได้โดยเร็ว รวมทั้งส่งต่อไปยังแพลตฟอร์มต่างประเทศ และผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตในประเทศไทยทำการปิดเว็บ หรือลบเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม โดยที่ผ่านมา เฉพาะครึ่งปีแรกของปี 2563 ได้รับแจ้ง 8,715 เว็บ และส่งศาลเพื่อออกคำสั่งไปแล้วทั้งสิ้น 7,164 เว็บ”นายพุทธิพงษ์กล่าว
นายพุทธิพงษ์กล่าวว่า ที่ผ่านมา เมื่อส่งคำสั่งศาลให้ปิดหรือลบออกไปยังแพลตฟอร์มต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเฟซบุ๊ก ยูทูป กูเกิล หรืออื่นๆ ถ้าเขาไม่ดำเนินการ ก็ปล่อยไว้อย่างนั้น แต่วันนี้จะบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ถ้าภายใน 15 วัน ที่เราส่งคำสั่งศาลไปให้แพลตฟอร์มต่างประเทศ หรือผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตในประเทศไทย แล้วไม่ดำเนินการตามคำสั่งศาลไทยที่ให้ปิดหรือลบออก ก็จะดำเนินการตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 27 ดำเนินคดีตามกฎหมาย ตำรวจจะรับไปดำเนินคดีอาญาทันที กับอีกทาง คือ ได้ตั้งคณะกรรมการเพื่อเปรียบเทียบปรับตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ อำนาจในการปรับต่อครั้งต่อชิ้นโดยรวมไม่เกิน 200,000 บาท และสามารถปรับต่อชิ้นรายวันได้อีกไม่เกิน 5,000 บาท
“ทุกๆ รายการที่ส่งคำสั่งศาลไป ถ้าภายใน 15 วัน ไม่มีใครลบหรือทำตามคำสั่งศาล เราก็จะเข้าสู่กระบวนการเหล่านี้ทันที ซึ่งวันนี้เราได้รวบรวมช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา คือ ตั้งแต่เม.ย.-มิ.ย.2563 ที่เพจเฟซบุ๊กจำนวน 1,129 ชิ้น ยังไม่มีการลบตามคำสั่งศาลไทย และผมได้ลงนามส่งจดหมายแจ้งไปแพลตฟอร์มเฟซบุ๊กว่าเขายังไม่ได้ดำเนินการตามคำสั่งศาลไทย เป็นการให้โอกาสเขาอีกที ถ้า 15 วัน นับจากนี้เขายังไม่ดำเนินการลบ เราก็จะดำเนินการตามกฎหมายทั้งคดีอาญา และโทษปรับ ซึ่งเชื่อว่าการปรับเปลี่ยนรูปแบบกดดันและบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด จะลดปัญหาเว็บเพจที่ไม่เหมาะสมได้"
นอกจากนี้ ในส่วนของการจัดการเว็บพนันออนไลน์ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ได้ประสานกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยเอาข้อมูลที่เรามีและที่ได้รับแจ้งและมีการลงพื้นที่ของเจ้าหน้าที่ พบว่า ได้มีการจับกุมไปแล้ว 20 กว่าราย มีวงเงินประมาณ 1 พันกว่าล้านบาท ซึ่งจะมีการเดินหน้าทำต่อไป