ปิดฉากสัปดาห์นี้...คงไปหาเรื่อง “เบาๆ-สบายๆ” มาช่วยผ่อนคลายความขมึงตึงเครียด ความทรหวนปั่นป่วนคลั่งของโลกใบนี้กันไม่ได้อีกนั่นแหละทั่น เพราะวัน-สองวันมานี้ ก็เกิดเหตุระเบิดตูมๆ ตามๆ กลางกรุงเบรุต ประเทศเลบานอน หนักหน่วง รุนแรงระดับ “หลานๆ นิวเคลียร์” หรือว่ากันว่า...ระดับประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ของอานุภาพระเบิดปรมาณู ที่คุณพ่ออเมริกาท่านเคยนำไปถล่มเมืองฮิโรชิมา ประเทศญี่ปุ่น เมื่อช่วงยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 เอาเลยถึงขั้นนั้น...
เล่นเอาตัวเลขคนตายปาเข้าไปเป็นร้อยๆ บาดเจ็บนับเป็นพันๆ เกือบจะถึงครึ่งหมื่นเอาเลยก็ว่าได้ โดยที่สาเหตุ ต้นเหตุ มันจะมาจากอะไรนั้น คงต้องค่อยๆ ติดตาม เงี่ยหูฟังไปเป็นระยะๆ อย่าถึงกับต้องไปสรุปรวบรัด ตัดตอน อันอาจส่งผลให้ “หูแหก-ตาแหก” จนเกินเหตุ เพราะบรรดาผู้ที่อยู่ในข่ายต้องสงสัย ไม่ว่าขบวนการ “เฮซบอลเลาะห์” ในเลบานอน ไปจนถึงอิสราเอลที่น่าจะได้ประโยชน์จากความพินาศ ฉิบหาย คราวนี้อยู่บ้าง ต่างก็ได้ออกมา “ปฏิเสธ” ถึงความเกี่ยวข้อง พัวพัน อย่างเป็นที่ชัดเจนและอย่างจริงๆ จังๆพอสมควร รวมทั้งรัฐบาลเลบานอนเอง ก็ดูจะมุ่งไปที่ “อุบัติเหตุ” อันเนื่องมาจาก “วัตถุอันตราย” ซึ่งถูกเก็บดองไว้ในที่เกิดเหตุมานานเป็นปีๆ มากกว่าที่จะโมๆ เมๆ หันไปกล่าวหา กล่าวร้าย ใครต่อใครกันแทนที่...
มีแต่ผู้นำอเมริกา อย่าง “ทรัมป์บ้า” เท่านั้น...ที่หลุดกรอบ หลุดวงโคจร ออกมาปูดว่าอาจเป็นการโจมตี การวินาศกรรม อะไรต่อมิอะไรโดยไม่ได้มีหลักฐาน หรือเหตุผลใดๆมารองรับ อีกทั้งยังไม่ได้มีเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงใดๆ ของอเมริกา ที่คิดจะเออออ ห่อหมก ตามอาการนอตหลุด นอตหลวม ของผู้นำตัวเองเอาเลยแม้แต่น้อย และอย่างที่ว่าเอาไว้แล้วว่า...ใครก็ตามที่ดันไปเชื่อ “ทรัมป์บ้า” ย่อมมีสิทธิออกลูกเป็นลิงได้เสมอๆ ดังนั้น...อย่าถึงกับต้องไปแตกตื่น ตกใจ ไปตั้งข้อวิเคราะห์ ตั้งสมมติฐาน ให้ต้องมากเรื่อง-มากความ หรือต้องปวดเศียรเวียนเกล้าโดยใช่เหตุ เพราะโดย “ข้อเท็จจริง” ของโลกทุกวันนี้ มันก็ออกจะเป็นอะไรที่น่าปวดหัวเพียงพอแล้ว ปิดท้ายสัปดาห์นี้...เลยคงต้องขออนุญาตเชิญชวน ให้ลองไปหาอ่านข้อเขียน บทความ ชิ้นหนึ่ง ที่อาจน่าหูแหก-ตาแหก ซะยิ่งกว่าเรื่องระเบิดกลางกรุงเบรุต ไม่รู้กี่สิบ กี่ร้อยเท่า...
นั่นก็คือบทความเรื่อง “Another Hiroshima is coming unless we stop it now” หรือฮิโรชิมาครั้งใหม่กำลังจะมาถึง นอกเสียจากเราทั้งหลายจะหยุดยั้งมันซะเดี๋ยวนี้!!! อะไรประมาณนั้น อันเป็นข้อเขียน บทความ ที่นักคิด นักเขียน นักหนังสือพิมพ์ รวมทั้งนักสร้างหนังสารคดีชาวออสเตรเลีย ที่มาปักหลักอยู่ในประเทศอังกฤษตั้งแต่ปี ค.ศ. 1962 ชื่อว่า “นายจอห์น พิลเกอร์” (John Pilger) ได้เขียนเอาไว้เมื่อช่วงวันที่ 5 สิงหาคม ที่ผ่านมานี่เอง โดยสำนักข่าวหลายสำนัก ไม่ว่า “MintPress News” หรือสำนักข่าว “Russia Today” ได้นำมาเผยแพร่ ให้เป็นที่รับรู้ รับทราบ เพื่อให้เกิด “สติ-เตือนใจ” ยิ่งขึ้นไปอีก เพราะโดยตัวของ “นายจอห์น พิลเกอร์” รายนี้...เรียกได้ว่าถือเป็นนักต่อต้านสงคราม ต่อต้านลัทธิจักรวรรดินิยม ลัทธิล่าอาณานิคมมาโดยตลอด นอกจากเคยเป็นนักข่าวสงคราม ยังหันมาสร้างหนังสารคดี ชนิดได้รับการยกย่อง ได้รับรางวัลจากองค์กร สถาบัน อย่าง “Royal Television Society” และ “British Academy Award” มาถึง 2 ครั้ง 2 คราด้วยกัน...
คือข้อเขียน บทความ ของ “นายจอห์น พิลเกอร์” เรื่องนี้...ไม่ได้มุ่งที่จะไปค้นหาหลักฐาน วัตถุพยาน หรือร่องรอยการวางระเบิด การก่อวินาศกรรมใดๆ แบบต้องหนักไปทางคิดเอง-เออเอง หรือโมๆ เมๆ จนอาจ “ออกลูกเป็นลิง” เพราะดันไปเชื่อ “ทรัมป์บ้า” อะไรทำนองนั้น แต่มุ่งที่จะไปวิเคราะห์ เจาะลึก ถึง “อารมณ์-ความรู้สึก” ของบรรดา “คนขาว” หรือของชาว “แองโกล-อเมริกัน” ทั้งหลาย ที่กระจัดกระจายอยู่ในอังกฤษ อเมริกา ไปจนถึงออสเตรเลียโน่นเลย ฯลฯ ผู้มักรู้สึกว่าตัวเองเป็นชนเผ่า หรือชนชาติ ที่สูงส่ง วิเศษวิเสโสกว่าใครต่อใครมาโดยตลอด และด้วย “อารมณ์-ความรู้สึก” ทำนองนี้นี่แหละ ที่เคยนำมาซึ่งการทิ้งระเบิดปรมาณู อันน่าเกลียด น่ากลัว น่าสยดสยอง ถล่มเมืองฮิโรชิมาและนางาซากิ ในประเทศญี่ปุ่น เมื่อครั้งอดีต และอาจนำมาซึ่ง การอุบัติขึ้นมาของ “ฮิโรชิมาครั้งใหม่” ภายในอนาคตอันใกล้ โดยเปลี่ยนเป้าหมายมาอยู่ที่เมืองจีน หรือประเทศจีน กันแทนที่!!!
โดยตัวของ “นายจอห์น พิลเกอร์” เอง...ได้อ้างว่าเคยเดินทางไปยังเมืองฮิโรชิมา ประเทศญี่ปุ่น เมื่อกว่า 50 ปีที่แล้ว หรือเมื่อช่วงปี ค.ศ. 1967 รวมทั้งยังเคยเดินทางไปยังหมู่เกาะมาร์แชล อันเคยเป็นสถานที่ทดลองระเบิดปรมาณูของคุณพ่ออเมริกา ในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 1946-1958 จนพอที่จะได้รับรู้ รับทราบถึงร่องรอยแห่งความฉิบหายวายวอด ซึ่งยังคงตกค้างอยู่ในสถานที่ดังกล่าว ไม่ว่าต่อมวลมนุษย์ หรือสภาพแวดล้อม อันทำให้เกิดความรังเกียจ ชิงชัง ต่ออาวุธมหาประลัยเหล่านี้ ชนิดไม่ต่างอะไรไปจาก “น้าหงา คาราวาน” ที่เคยถึงกับโหยหวน ครวญคราง ออกมาเป็นบทเพลง ว่า “อะตอมมิคบอมบ์...ทั้งหลาย ตายเสียเถิด ไล่มันกระเจิง เปิงเปิด...ไปให้พ้น!!!” อะไรประมาณนั้น...
แต่การจะไล่ “อะตอมมิคบอมบ์” ให้พ้นจากอนาคตของมวลมนุษยชาตินั้น...สิ่งที่คนขาวอย่าง “นายจอห์น พิลเกอร์” ค่อนข้างให้ความสำคัญเอามากๆ ก็คือการหาทางขจัดกวาดล้าง “อารมณ์-ความรู้สึก” ที่กำลังอุบัติขึ้นมาในหมู่คนขาว หรือชาว “แองโกล-อเมริกัน” ทั้งหลาย นั่นคือความรู้สึกถึงสิ่งที่เรียกขานกันในนาม “ภัยเหลือง” หรือ “Yellow Peril” ที่ถูกสรรค์สร้างขึ้นมาอย่างเป็นระบบและเป็นกระบวนการ โดยมีประเทศจีนเป็นเป้าหมาย แทนที่ประเทศญี่ปุ่นอย่างเมื่อครั้งอดีต อันเป็นสิ่งที่เคยมีมาก่อนหน้าที่ “ทรัมป์บ้า” จะขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีอเมริกันซะอีก หรือมีมาตั้งแต่ยุค “รัฐบาลโอบามา” โน่นเลย นับตั้งแต่รัฐบาลอเมริกันได้หันมา “ปักหมุดในเอเชีย” (Pivot to Asia) สร้างฐานทัพเรือขึ้นใหม่ในออสเตรเลีย กระจายฐานทัพจำนวน 400 แห่งไว้เพื่อ “ปิดล้อม” คุณพี่จีนกันโดยเฉพาะ ไปจนถึงกับเคยมีข่าวว่ารัฐมนตรีต่างประเทศอเมริกา อย่าง “ฮิลลารี คลินตัน” คิดจะเปลี่ยนชื่อ “มหาสมุทรแปซิฟิก” ให้กลายเป็น “ทะเลอเมริกา” เอาเลยถึงขั้นนั้น รวมไปถึงการเพิ่มงบประมาณให้กับการสรรค์สร้าง “หัวรบนิวเคลียร์” เพิ่มเติมมากที่สุด นับจากรัฐบาลอเมริกันหลังยุคสงครามเย็นเป็นต้นมา ฯลฯ...
บรรดา “อารมณ์-ความรู้สึก” ทำนองนี้นี่เอง...ได้ถูกทำให้ฝังรากลึกลงไปในความคิด จิตใจของชาวแองโกล-อเมริกันทั้งหลาย ไม่ว่าในอเมริกา อังกฤษ ออสเตรเลีย ฯลฯ จนถึงกับอุปมา-อุปไมย วาดจินตนาการ การ “แพร่กระจาย” อิทธิพลของจีน ในประเทศออสเตรเลีย โดยหนังสือพิมพ์ชื่อดัง อย่าง “Sydney Morning Herald” ว่าไม่ต่างอะไรไปจากหนู แมลงวัน ยุง หรือนกกระจอกอะไรประมาณนั้น เช่นเดียวกับบรรดาชาวอเมริกันและชาวอังกฤษ ที่ยังคงเชื่อๆ อยู่ในทุกวันนี้ว่าชาวจีนนับเป็นร้อยล้านพันล้าน คือผู้ที่กดขี่ ผู้ที่ปราศจากเสรีภาพ ตกอยู่ในความยากจน ข้นแค้น แม้ว่าองค์กรระดับโลกอย่างสหประชาชาติ จะให้ความยอมรับถึงการแก้ปัญหาความยากจนของรัฐบาลคอมมิวนิสต์จีน ที่สามารถทำให้ผู้คนนับร้อยๆ ล้าน ผ่านเส้นมาตรฐานความยากจนมาแล้วก็ตาม แต่ “จินตนาการ” เหล่านี้ก็ยังคงถูกทำให้ฝังลึกในความรู้สึกของอเมริกันชน ของผู้ดีอังกฤษ และผู้ช่วยนายอำเภอชาวออสเตรเลีย อย่างแทบไม่มีวันเปลี่ยนแปลงได้เลย...
ด้วย “อารมณ์-ความรู้สึก” เหล่านี้นี่เอง...ที่ทำให้ความพยาม “ปิดล้อมจีน” ด้วยการหาทางปิดกั้นช่องแคบมะละกา อันเห็นได้จาก “การซ้อมรบ” ภายใต้ชื่อรหัส “ASB” (Air-Sea Battle Concept for China) นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2015 เป็นต้นมา ทำให้ประเทศจีนเลยต้องหันไปประดิษฐ์คิดค้นโครงการ “Belt and Road Initiative” เพื่อไม่ให้ถูกตัดขาดจากการเข้าถึงพลังงานและทรัพยากรในตะวันออกลางและแอฟริกา แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ “อารมณ์-ความรู้สึก” เหล่านี้จางหายไปจากชาวแองโกล-อเมริกันเอาเลยแม้แต่น้อย แต่กลับถูกกระตุ้น เร่งเร้า ให้หนักหน่วงรุนแรงยิ่งขึ้นไปอีก จนทำให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงในเมืองจีน ต้องเอ่ยปากกับ “นายจอห์น พิลเกอร์” เอาไว้ประมาณว่า... “เราไม่ใช่ศัตรูของคุณ แต่ถ้าคุณคิดว่าเราเป็น เราก็จำเป็นต้องเตรียมพร้อมโดยไม่อาจเสียเวลาใดๆ ได้อีก” และนั่นเอง...ที่ทำให้นักต่อต้านจักรวรรดินิยม และลัทธิอาณานิคมรายนี้ ค่อนข้างเชื่อว่า “อุบัติเหตุนิวเคลียร์” หรือ “ฮิโรชิมาครั้งใหม่” อาจกำลังอุบัติขึ้นมาในอีกไม่นาน-ไม่ช้า ตราบใดที่ “อารมณ์-ความรู้สึก” ดังกล่าว ยังไม่ได้ถูกขจัดกวาดล้างออกไปจากบรรดาพวกคนขาวทั้งหลาย...