คดี “บอส เรดบูล” ชนแล้วหนีจากที่เกิดเหตุ แล้วหนีคดีไปต่างประเทศ และอัยการสั่งไม่ฟ้อง เริ่มเข้าสู่มิติลึกลับ ซับซ้อน ซ่อนเงื่อน ปนกับความฉาวโฉ่ พฤติกรรมอัปยศของเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง ประเทศไทยสูญเสียความน่าเชื่อในกระบวนการยุติธรรม
ถ้าคดีนี้ยุติโดยไม่มีใครต้องรับโทษ ติดคุก คงจะเป็นสภาวะ “รัฐล้มเหลว” ในด้านการบังคับใช้กฎหมาย คำพูดที่ว่า “คุกมีไว้ขังคนจน” คงไม่มีใครกล้ายื่นหน้ามาโต้แย้งได้ เพราะพฤติกรรมฟ้องชัด และคดีนี้ไม่ธรรมดา มีเงินก้อนใหญ่เป็นเดิมพัน
เดิมพันสุดท้าย คือความน่าเชื่อถือของประเทศไทยในสายตาประชาคมโลก จะไม่มีใครเชื่อมั่นอีกต่อไปว่าถ้าเป็นคดีความแล้ว ใครจะรับประกันความยุติธรรม โดยเฉพาะในขั้นต้น และขั้นกลาง ซึ่งเป็นต้นเหตุของความอัปยศเต็มที่ในเรื่องนี้
การตัดสินใจเกือบนาทีสุดท้ายของลุงตู่ผู้นำรัฐบาล สั่งให้อายัดร่างของพยาน นายจารุชาติ มาดทอง ที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุจักรยานยนต์ชนเฉี่ยวกัน แบบน่าสงสัย เพื่อให้มีรายงานการชันสูตรพลิกศพอย่างละเอียด ทำให้สังคมมีความหวังคืนมาบ้าง
ตัวพยานรายนี้เสียชีวิตอย่างน่าสงสัย การให้ปากคำก่อนหน้านี้ก็น่าสงสัย คงมีคณะกรรมการของ สนช. ตำรวจ อัยการ ผู้เกี่ยวข้องเท่านั้นที่เชื่อ คนทั่วไปที่ได้รับรู้การให้ปากคำของนายจารุชาติ และนายทหารอากาศเกษียณอายุ หัวเราะไม่ออก
มีหลายคนรับรู้แล้วถามว่า “ประเทศไทยทำได้ถึงขั้นนี้แล้วหรือ” เมื่อเอาพยานที่อ้างว่าอยู่ในเหตุการณ์ 7 ปีก่อนมาให้ปากคำ แม้กระทั่งอดีตรัฐมนตรียุติธรรม อดีตตุลาการ คุณพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค บรรยายสรรพคุณว่าเป็น “พยานระลึกชาติได้”
และความเห็นของคุณพีระพันธุ์เป็นเหมือนคำพิพากษา ทั้งโต้แย้ง หักล้าง ข้ออ้างของตำรวจและอัยการ รวมทั้งคณะต่างๆ ที่อุปโลกน์ขึ้นมารับฟอกคดี ทั้งได้ให้ความกระจ่างในประเด็นข้อกฎหมาย ประจานความเน่าเฟะของระบบปัจจุบัน
ความลึกลับซับซ้อนไม่ธรรมดา เริ่มต้นตั้งแต่ครอบครัวของ “บอส” ได้รับคำแนะนำจากทนายและเครือข่ายผิดรูปแบบ แทนที่จะยอมรับ หาทางไกล่เกลี่ยยอมความ ดันสร้างสถานการณ์ให้วุ่นวาย เข้าทำนอง “เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย”
ตอนนี้เสียไปเท่าไหร่ ไม่มีคนนอกรู้ ที่เห็นชัดก็คือเงินบริจาคให้รัฐบาล 300 ล้านบาท มีใบเสร็จ นำไปหักภาษีได้ แต่อย่างอื่นๆ เช่นค่าจ้างทนายไปจัดการเรื่องต่างๆ ตอบแทนผู้ช่วยเหลือตามขั้นตอน จะมีกี่คน ยากที่จะประเมินได้แน่นอน
การกินอยู่ของ “บอส” กว่า 7 ปี ในต่างประเทศ ต้องมหาศาล เทียบกับเงิน 8 ล้านบาทที่ญาติของดาบวิเชียร เรียกร้อง มันต่างกันราวฟ้ากับดิน แถมยังต่อรองให้เหลือ 2 ล้าน สุดท้ายตกลงกันได้ตรง 3 ล้านบาท เหลือเชื่อสำหรับตระกูลมหาเศรษฐี
เหลือเชื่อตรงที่ว่าตีราคาชีวิตของดาบวิเชียร รวมกับอิสรภาพของ “บอส” เพียง แค่ 3 ล้านบาท ค่าน้ำมันเครื่องบินส่วนตัวที่บินร่อนหนีคดีไปมาก็น่าจะเกินนั้นแล้ว
สุดท้ายเมื่อเหตุลุกลามไปไกล ผู้เกี่ยวข้องรวมทั้งหัวหมอ นักค้าคดี ต่างร่ำรวยไปตามๆ กัน เรื่องนอกจากจบไม่ลงแล้ว ยังส่อเค้าว่าจะจบไม่สวย เพราะประชาชนคนรักความยุติธรรม ห่วงใยชื่อเสียง เกียรติภูมิของบ้านเมืองไม่ยอมให้จบแบบนั้น
ไม่ยอมให้พวก “บิ๊กมาเฟีย” และเครือข่ายอิทธิพลกว้างขวาง เป็นแกนพลังชั่วร้าย ใช้ความเหิมเกริมโอหัวลำพองอยู่เหนืออำนาจรัฐได้บงการ สั่งการรูปคดีให้มหาเศรษฐี ย่ำยีความถูกต้องดีงาม และความศักดิ์สิทธิ์ของระบบกฎหมายของแผ่นดิน
คดีนี้ไม่ใช่เพียงแต่ตำรวจอยู่ในสภาพต้องพึ่งอัยการตามโครงสร้างของอำนาจ รัฐบาลต้องตั้งคณะสอบสวนเพื่อหาตัวผู้กระทำความผิดและเครือข่ายทั้งหมดเพื่อรับโทษ ไม่ว่าจะเป็นตัวเล็กตัวน้อย จนถึงผู้สั่งคดีในขั้นตอนต่างๆ จนถึงขั้นจอมมาเฟีย!
นั่นจะเป็นการหวังมากเกินไป เพราะจอมมาเฟียซึ่งเป็น Deep State เป็นอำนาจอิทธิพลมืดทับซ้อนอำนาจรัฐบาล ซึ่งคนในสังคมสื่อก็รู้ว่าเป็นใครนั้น อยู่ไกลเกินกว่ารัฐบาลจะจัดการได้ เพราะมีตัวแทรกอยู่ในกลไกรัฐบาลแทบทุกระดับ
ถ้าจะสรุปให้ชัด ก็คือ มีรองอัยการสูงสุดสั่งไม่ฟ้อง ส่งเรื่องกลับไปให้ตำรวจ ตำรวจก็ไม่แย้ง มีทั้งประเด็นข้อกฎหมายในขั้นตอน ซึ่งต้องไปว่ากันต่อไป แต่คนทั่วไปไม่เชื่อว่าลำพังแค่รองอัยการสูงสุดจะกล้าตัดสินใจสั่งไม่ฟ้องเอง ถ้าไม่มีใครสั่ง
ถ้าตัวอัยการสูงสุดไม่รับรู้เรื่องนี้ ตั้งแต่คดีลูกโอ๊ค และมาถึงคดีนี้ ต้องถามว่าทำไม และไม่รู้สึกอะไรบ้างหรือว่ารองอัยการทำอย่างนั้น ภายใต้อำนาจของใคร ถ้าทำโดยพลการ ก็ไม่น่าจะเป็นผลทางกฎหมายได้ ถ้าทำโดยอัยการมอบอำนาจล่ะ...
อัยการสูงสุดจะเลี่ยงการรับผิดชอบไม่ได้ ถ้ามีการสอบสวนตามขั้นตอนเป็นไปอย่างยุติธรรม มีมาตรฐานความโปร่งใส สุจริตพิสูจน์ได้ว่าได้มอบอำนาจให้รองอัยการ สูงสุดกระทำใน 2-3 คดีที่ความฉาวโฉ่ ประชาชนสงสัย ข้องใจทั้งแผ่นดิน
ถ้าการสอบสวนเกิดขึ้นอย่างเต็มที่ ทุกคนต้องให้ปากคำภายใต้การซักฟอก คงจะมีคนติดร่างแหไม่น้อย น่าเสียดายที่โครงสร้างกระบวนการของประเทศนี้คงไม่มีวันจะชำระสะสางเงื่อนงำให้กระจ่าง เมื่อมีอำนาจมาเฟีย Deep State ครอบงำอยู่
ลุงตู่ผู้นำรัฐบาลคงไม่ทำมากถึงขั้นนั้น ตราบใดที่ระบอบเพื่อนพ้องน้องพี่และเครือข่ายกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ การคงอยู่ของคณะรัฐบาล เป็นเรื่องสำคัญกว่าความน่าเชื่อถือ เกียรติภูมิของประเทศ เว้นแต่ว่าจะมีปัจจัยพิเศษทำให้ต้องไปตามทางนั้น
ถ้าจะเริ่มต้น ต้องเอาหัวหน้าตำรวจและอัยการมาซักฟอกตอบคำถามให้กระจ่างว่าตัวเองรับรู้ เกี่ยวข้องเรื่องคดีนี้แค่ไหน ทั้งการตัดสินใจสั่งไม่ฟ้องคดีด้วย
ลุงตู่กล้าตั้งคุณพีระพันธุ์เป็นหัวหน้าคณะสอบสวน มีอำนาจเต็มหรือไม่ ถ้าทำได้ จะถือว่าเป็นการเริ่มต้นกระบวนการสะสางคดี ที่อาจสร้างความน่าเชื่อถือบ้าง!