xs
xsm
sm
md
lg

ว่าด้วยความร้ายกาจของ “สงครามเย็นยุคใหม่”

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท


Finian Cunningham นักเขียนชาวอังกฤษ
เปิดฉากสัปดาห์นี้...ไปว่ากันถึง “ภาพรวม” ของฉากสถานการณ์ความเป็นไปในระดับโลกน่าจะเหมาะกว่า เพราะบรรดาข่าวคราวรายละเอียดต่างๆ นานา มันออกจะมีอยู่เยอะแยะมากมาย จุกๆ จิกๆ ชนิดแทบจาระไนไม่หมด ไม่ว่าเรื่องการแลกหมัดกันไป-กันมา ด้วยการสั่งปิดสถานกงสุลระหว่างคุณพ่ออเมริกากับคุณพี่จีน การยั่วยวนกวนส้นตีน ด้วยการใช้เครื่องบินรบ “F-15” ของอเมริกา บินขึ้นไปกดดันเครื่องบินโดยสารสายการบิน “Mahan Air” ของอิหร่าน ชนิดเล่นเอาพลเรือนผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ หัวร้างข้างแตก เอวเคล็ดเอวยอกไปเป็นแถบๆ หลังจากเคยยั่วยวนกวนส้นตีนคุณพี่จีนในทะเลจีนใต้ มาก่อนหน้านั้นไม่นาน...

คือเรียกว่า...คุณพ่ออเมริกาช่วงนี้ นอกจากจะเล่นบท “ดาวร้าย” มาโดยตลอดแล้ว ท่านยังพยายามหันมาเล่นบท “ดาวยั่ว” อย่างชนิดเป็นระบบและเป็นกิจการ หรือถึงแม้ยังไม่มีจังหวะและโอกาส ในการเปิดฉาก “สงครามร้อน” กับใครต่อใครก็แล้วแต่ เพื่อที่จะอาศัย “จุดแข็ง” ของตัวเอง ใช้ศักยภาพและแสนยานุภาพทางทหาร เป็นทางออก ทางรอด เหมือนอย่างเท่าที่เคยเป็นมา แต่การหันมาเปิดฉาก “สงครามเย็นยุคใหม่” อย่างจริงๆ จังๆ อย่างเป็นระบบและกิจการ ก็ดูจะทำให้ “ภาพโดยรวม” ของฉากสถานความเป็นไปในระดับโลก ยิ่งเป็นอะไรที่น่าห่วง น่ากังวล หรือยิ่งเลวร้ายหนักหนาสาหัสยิ่งขึ้นเรื่อยๆ อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้...

เพราะสิ่งที่เรียกว่า “สงครามเย็นยุคใหม่” นั้น...เอาไป-เอามาแล้ว มันออกจะผิดแผกแตกต่างไปจากครั้ง “สงครามเย็นยุคเก่า” เมื่อหลายต่อหลายทศวรรษที่แล้ว แบบชนิดคนละเรื่อง-คนละม้วน หรืออย่างที่ “Finian Cunningham” นักคิด นักเขียน และคอลัมนิสต์ “The Mirror” ของอังกฤษ เขาได้พยายามอรรถาธิบายไว้ในข้อเขียน บทความชิ้นล่าสุด เรื่อง “US’ Cold war with China in global economy puts allies in crossfire & will cause SEVERE damage” เมื่อไม่กี่วันมานี้ ประมาณว่าครั้ง “สงครามเย็นยุคเก่า” นั้น ระบบเศรษฐกิจ หรือ “ตลาด” มันยังถูกแยกออกเป็น 2 ส่วน 2 ค่าย อย่างค่อนข้างชัดเจน ใครก็ตามหรือประเทศใดก็ตาม ที่ไม่ได้คิดจะ “เลือกข้าง” อยู่กับ “โลกเสรี” ที่นำโดยคุณพ่ออเมริกา ก็มีแต่ต้องถูกตัดขาดออกจาก “ตลาดเสรี” อย่างชนิดไม่มีโอกาสเงยหน้าอ้าปาก หรือไม่อาจเข้ามาเกี่ยวข้อง พัวพันกับระบบเศรษฐกิจทุนนิยมเสรีได้โดยเด็ดขาด!!!

แต่สำหรับ “สงครามเย็นยุคใหม่” นั้น...การที่ “ทุนนิยมเผด็จการ” อย่างคุณพี่จีน ท่านได้เข้าเกี่ยวข้องพัวพันอยู่กับ “ตลาดเสรี” กับระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม ชนิดตัดไม่ได้-ขายไม่ขาดใดๆ อีกต่อไปแล้ว แม้แต่ตัวคุณพ่ออเมริกาเอง ยังต้องพัวพัน หรือกระทั่งพึ่งพาต่อการค้า-การขายกับจีน จนกลายเป็น “คู่ค้า” ที่ใหญ่ที่สุดของอเมริกา ถึงพยายามเปิดฉาก “สงครามการค้า” กับจีนมาตลอด 3-4 ปีที่ผ่านมา แต่ทุกวันนี้...อเมริกายังคงต้องเสียเปรียบดุลการค้าให้กับจีนไม่ต่ำกว่า 345,000 ล้านดอลลาร์ หรือกระทั่งกระทรวงกลาโหมอเมริกา ยังคงต้องพึ่งพาการสั่งซื้อ “แร่หายาก” (Rare Earth) จากจีน เอามาผลิตอาวุธเทคโนโลยีแต่ละประเภทอย่างชนิดมิได้ขาด...

ดังนั้น...ความพยายามเปิดฉาก “สงครามเย็นยุคใหม่” หรือความพยายามกดดัน บีบบังคับ ให้ใครต่อใครต้อง “เลือกข้าง” ให้หันไปต่อต้าน คัดค้าน หรือ “ตัดขาด” การค้า-การขายกับจีน มันจึงกลายเป็นความพยายามที่จะทำร้ายและทำลาย ระบบเศรษฐกิจของบรรดาประเทศนั้นๆ ในแต่ละประเทศ รวมทั้งกลายเป็นตัวทำร้ายและทำลายระบบเศรษฐกิจของโลกทั้งโลก ให้ต้องฉิบหายวายตลิ่ง ตามไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้ หรือกลายเป็นการ “ตัดจมูกของตัวเองทิ้ง เพื่อทำร้ายใบหน้าของตัวคุณเอง” (Cutting off ties with China is like cutting your nose off to spite your face) หรือเป็นการทำร้ายตัวเองเพื่อหวังล้างแค้นผู้อื่น อะไรประมาณนั้น...

ซึ่งโดยเหตุ โดยผล โดยข้อมูล ข้อเท็จจริง...ก็ดูจะเป็นไปตามที่ “นายFinian Cunningham” แกว่าเอาไว้จริงๆ เพราะบรรดาประเทศที่ทำท่าว่าคิดตัดสินใจ “เลือกข้าง” อย่างค่อนข้างชัดเจนแล้ว ต่างกำลังออกอาการจมูกแหว่ง จมูกโหว่ไปด้วยกันแทบทั้งสิ้น ไม่ว่า “สุนัขพูเดิล” อย่างอังกฤษ ที่หันมา “กลับลำ” แบบ 360 องศา ห้ามซื้อและจำหน่ายและถอดถอนอุปกรณ์เทคโนโลยี บริษัท “หัวเว่ย” ออกจากระบบ 5G หลังจากเคยเปิดไฟเขียวสว่างโร่มาก่อนหน้านั้นเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ด้วยการกระทำเช่นนี้ ไม่เพียงแต่ส่งผลให้ความพยายามพัฒนาโครงสร้างระบบเทเลคอมของอังกฤษ อาจต้องยืดยาด ยืดเยื้อ กลับไปอยู่ “หลังเขา” เอาง่ายๆ ยังเป็นการทำลายเม็ดเงินลงทุนจากบริษัทธุรกิจจีน ที่เคยไหลเข้าสู่อังกฤษเป็นสายๆ ให้ต้องไหลไปสู่ประเทศยุโรปกลุ่มอื่นๆ หรือยิ่งทำให้ความพยายามแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป หรือ “Brexit” ยิ่งมีแนวโน้มที่จะก่อให้เกิดผลลบ ยิ่งขึ้นไปอีก โดยเฉพาะถ้าเงินสกุล “หยวน” ของจีน หันไปจับคู่กับเงิน “ยูโร” ย่อมอาจส่งผลให้เงิน “ปอนด์” ตกจากหอคอย่นได้ไม่ยากซ์ซ์ซ์...

หรือประเทศ “ผู้ช่วยนายอำเภอ” อย่างออสเตรเลีย...ก็ไม่ต่างอะไรไปจากกัน การตัดสินใจ “เลือกข้าง” หันไปผูกแข้ง ผูกขาตัวเองกับคุณพ่ออเมริกา หันไปดึงอินตะระเดียมาร่วม “ปิดล้อม” ประเทศจีนอย่างเป็นระบบ ขณะที่ “คู่ค้า” อันดับหนึ่งของออสเตรเลีย ก็คือคุณพี่จีนนั่นเอง มีมูลค่าการค้าสูงเป็นอันดับหนึ่งมากกว่าญี่ปุ่น และอเมริกา ที่รองๆ ลงมา สิ่งเหล่านี้...กำลังก่อให้เกิดการทำร้าย ทำลายผู้คนในบ้านเมืองตัวเอง ชนิดเจ็บปวด รวดร้าวทรมานกันไปไม่น้อย โดยเฉพาะบรรดาเกษตรกรทั้งหลาย ที่เคยผลิตข้าวบาร์เลย์ปีละเกือบสิบๆ ล้านตัน แต่ด้วยเหตุเพราะการเลือกข้าง เลือกฝ่าย ตามแบบฉบับ “สงครามเย็นยุคใหม่” นั่นเอง เลยทำให้คุณพี่จีนท่านตัดสินใจยกเลิกการนำข้าวบาร์เลย์ จากออสเตรเลียถึง 80 เปอร์เซ็นต์ รวมทั้งเนื้อหมู ไปจนการท่องเที่ยว ฯลฯ อันส่งผลให้เศรษฐกิจออสเตรเลีย เริ่มแห้ง เริ่มกรอบเป็นข้าวเกรียบ ไปแล้วในทุกวันนี้...

เช่นเดียวกับคุณปู่อินตะระเดียนั่นแหละ...จากปริมาณการค้าระหว่างจีน-อินเดีย ที่เคยพุ่งขึ้นไประดับหมื่นๆ ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 80,000 ล้านดอลลาร์เป็นอย่างน้อย แม้จะมีความ “ได้เปรียบ-เสียเปรียบ” กันอยู่มั่ง แต่ก็อยู่ในวิสัยที่จะค่อยๆ เจรจา ประนีประนอมผ่อนคลายสิ่งต่างๆ ลงไปได้แบบเดียวกับการลงมือ ลงตีน เล็กๆ น้อยๆแถวๆ บริเวณชายแดนจีนและอินเดียนั่นเอง แต่การหันมาแสดงท่าที “เลือกข้างอเมริกา” ค่อนข้างชัดเจนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ กลับดูจะไม่ได้ช่วยให้เศรษฐกิจอินเดียมีโอกาสเงยหน้าอ้าปากขึ้นมาได้เลยแม้แต่น้อย เพราะปริมาณการค้าระหว่างประเทศที่มีจำนวน “ผู้ติดเชื้อ” โควิดเป็นอันดับหนึ่งอย่างอเมริกากับประเทศที่มีจำนวน “ผู้ติดเชื้อ” เป็นอันดับสามอย่างอินเดีย กลับแสดงให้เห็นถึงอาการ “หัวทิ่มดิน” ไปด้วยกันทั้งคู่ หรือตัวเลขการค้าระหว่างประเทศทั้งสอง ลดลงถึง 60 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับช่วงระยะเดียวกันของปีที่แล้ว...

แต่ที่หนักหนาสาหัสยิ่งไปกว่านั้นก็คือ...ความพยายามบีบบังคับให้ใครต่อใครหันไป “เลือกข้าง” ด้วยการเปิดฉาก “สงครามเย็นยุคใหม่” อย่างระบบและเป็นกิจการนั่นเอง หลังการปิดสถานกงสุลจีนในเมืองฮุสตัส รัฐเท็กซัส ที่ยังไงๆ ย่อมต้องตามมาด้วยการแก้แค้น เอาคืนของคุณพี่จีนในลักษณะไม่ต่างไปจากกัน ก็จึงส่งผลให้ “ตลาดหุ้นทั่วโลก” พังระเนนระนาดไปตั้งแต่เมื่อช่วงวันศุกร์ (24 ก.ค.) ที่ผ่านมา ไม่ว่าตลาดหุ้นยุโรป เอเชีย ออสเตรเลีย อินเดีย เกาหลีใต้ ไปจนถึงญี่ปุ่น ฯลฯ ต่างตกจากหอคอย่นกันไปเป็นแถบๆ หรือทำให้เศรษฐกิจของโลกทั้งโลก ต่างฉิบหายวายตลิ่ง ตามไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้ ดังนั้น...ความพยายามเปิดฉาก “สงครามเย็นยุคใหม่” ของคุณพ่ออเมริกา จึงแทบไม่ต่างอะไรไปจากการทำร้ายและทำลายโลกทั้งโลกกันในทีละส่วน นั่นเอง...


กำลังโหลดความคิดเห็น