ผู้จัดการสัปดาห์ - ในอารมณ์ที่สังคมกำลังเกรี้ยวกราด ที่ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. ปล่อยให้ทหารอียิปต์ ที่ติดเชื้อโควิด-19 มาเดินเพ่นพ่านที่จ.ระยอง กับเด็กในคณะทูตซูดาน ที่ติดโควิด-19 แต่ไปพักอาศัยอยู่ในคอนโดมิเนียมใจกลางกรุง
เกิดปมสองมาตรฐาน ทีกับคนไทยกำชับให้ “การ์ดอย่าตก”แต่กับ “วีไอพี”พินอบพิเทาราวกับอภิสิทธิ์ชน จนทำให้ประเทศไทยต้องตกอยู่ในสภาวะแพนิกอีกครั้ง
เพียงแต่ว่า แพนิกรอบนี้ มันมีอารมณ์โมโหมาผสมปนเป นั่นเพราะ 50 วันก่อนหน้านี้ ประเทศไทยเป็นชาติที่ใครๆก็อิจฉา เพราะปลอดโควิด-19 มาหลายวันติดต่อ ทั่วโลกแซ่ซ้องกับมาตรการซีลประเทศที่ทำได้อย่างดีเยี่ยม
แต่พอรัฐบาลปลดล็อก ให้คนบางกลุ่มสามารถเข้าประเทศได้แล้วดันพาเชื้อโรคเข้ามา มันจึงทำให้อารมณ์ของคนที่กำลังเพิ่งจะเริงร่าได้ไม่กี่วันหลังการผ่อนคลายในระยะที่ 5 หรือเกือบจะเต็มรูปแบบ พลิกตลบอีกรอบ
แล้วยิ่งเป็น “แขกวีไอพี”ที่ ศบค. เป็นคนปลดล็อกพาเชื้อโรคเข้ามา แถมยังไม่ปฏิบัติตามมาตรการของไทย เรื่องนี้ทุกคนไม่ว่าจะเป็นฝ่ายต้าน ฝ่ายเชียร์ หรือคนกลางๆ พร้อมใจกันสาดอารมณ์ใส่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
เพราะในจังหวะที่ทุกคนให้ความร่วมมือกับศบค.ในเรื่องมาตรการป้องกัน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับมาจากน้ำมือของรัฐบาลเอง จึงไม่แปลกที่ “บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะออกมาขอโทษประชาชน พร้อมกับแสดงความรับผิดชอบ
ถือเป็นท่าทีที่ถูกต้อง เพราะกระแสน้ำกำลังไหลเชี่ยวไม่ควรเอาเรือมาขวาง หรือปัดความรับผิดชอบไปให้ฝ่ายไหน แต่ต้องเป็นระดับ “หัว”อย่าง พล.อ.ประยุทธ์ ที่ต้องออกมาพูดเรื่องนี้เอง
หากโบ้ยไปให้ผู้ใต้บังคับบัญชา ยิ่งทำให้ดูเหมือนว่ารัฐบาลเอาตัวรอด แต่การที่พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะ ผอ.ศบค. พูดเองถือว่ายังพอซื้อใจเจ้าหน้าที่ระดับล่างให้พอมีแรงทำงานต่อ ไม่ใช่กระโถนที่รองมือรองเท้า ซึ่งหากไปให้ระดับตัวเล็กๆเซ่นความรับผิดชอบเอง อาจจะเจอคลื่นใต้น้ำลูกใหญ่ หรือการไม่ให้ความร่วมมือกับศบค.อย่างที่ผ่านมา
และต้องไม่ลืมว่า ก่อนหน้านี้คนในประเทศไม่เห็นด้วยเลยที่รัฐบาลจะให้คนต่างประเทศเข้ามาไม่ว่าจะกลุ่มไหน เนื่องจากรู้สึกว่าประเทศปลอดภัย สะอาด ไม่ต้องการกลับไปอยู่บนความเสี่ยง แต่รัฐบาลพยายามชี้แจงมาตลอดว่าต้องการกลับมาขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
ซึ่งคุ้มหรือไม่ ปรากฏการณ์ที่ระยองคงให้คำตอบได้เป็นอย่างดี
แม้มันจะไม่ได้ทำให้สถานการณ์ดูดีขึ้น แต่ก็ไม่ทำให้อารมณ์ของประชาชนเดือดพล่านมากไปกว่านี้ อย่างน้อยก็รักษาบรรดากองเชียร์ที่อาจจะใจเย็นลงมาบ้าง จากการยืดอกสามศอกออกมารับผิด
แต่แค่คำว่าขอโทษไม่เพียงพอแน่ เพราะหาก 2 เคสที่เกิดขึ้น กลายมาเป็นซูเปอร์สเปรดเดอร์ หรือทำให้เกิดการระบาดระลอกใหม่ มันจะรุนแรงถึงขั้นทำรัฐบาลอยู่ไม่ได้
ความดีความชอบ เสียงชื่นชมจากคนในประเทศตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมาจะถูกลืมเลือนไปทันทีจากกรณีนี้ เพราะมันไม่ใช่แค่จะกลับไปล็อกดาวน์เหมือนเดิม แต่เศรษฐกิจจะพังพินาศหากมีการระบาดในระลอกสอง
เอาแค่ที่ จ.ระยอง ตอนนี้บรรดาธุรกิจโรงแรมที่เพิ่งจะกลับมาเปิด ถูกยกเลิกการจองไป 90% จากกรณีดังกล่าว ทุกคนต่างอยู่ในสภาวะกุมขมับ
เช่นเดียวกับคน ในจ.ระยอง ที่ไม่พอใจรัฐบาลรุนแรงที่ปล่อยให้ทหารอียิปต์เข้ามาในจังหวัด จนทำให้พวกเขาต้องสูญเสียโอกาส รายได้ ทั้งที่เพิ่งคลายล็อกในระยะที่ 5 ได้ไม่กี่วัน
จ.ระยองต้องกลายเป็นสถานที่อันตราย เพราะการให้สิทธิคนเหล่านี้เข้าประเทศโดยไม่มีมาตรการที่รัดกุม ซึ่งผลกระทบที่เกิดขึ้นแทบไม่คุ้มเลย
ถือเป็นโจทย์ใหญ่ของรัฐบาลอย่างแท้จริง สิ่งแรกในตอนนี้คือต้องภาวนาไม่ให้มีผู้ติดเชื้อจากกรณีดังกล่าว และสิ่งที่สองคือ ต้องหามาตรการเข้าไปช่วยคนใน จ.ระยอง ต่อให้ไม่มีใครติดเชื้อจากเหตุการณ์ครั้งนี้ก็ตาม
เพราะอย่างน้อยๆ 14 วันหลังจากนี้ จ.ระยอง จะกลายเป็นพื้นที่รกร้างทางเศรษฐกิจอีกครั้ง จากความไม่มั่นใจของนักท่องเที่ยวที่จะเข้าไป ซึ่งมันไม่ได้มีแค่ธุรกิจท่องเที่ยวเพียงอย่างเดียว แต่มีองคาพยพมากมายที่ได้รับผลกระทบ
มาตรการเยียวยาต้องเกิดขึ้นอย่างทั่วถึงสำหรับประชากรในจ.ระยอง และบุคคลที่ต้องกักตัวหรือสูญเสียโอกาสจากกรณีทหารอียิปต์ ที่หลุดรอดเข้าไปจนพื้นที่ระยองแทบจะโกลาหล
รัฐบาลจะปล่อยนิ่งไม่ได้ หนำซ้ำต้องรีบดับอารมณ์คนระยองให้เร็วที่สุด ก่อนที่มันจะขยายใหญ่จนไม่สามารถควบคุมได้และให้เวลาลบเลือนเรื่องที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ไป
และหากมองในมุมบวก 2 กรณีที่เกิดขึ้น ถือเป็นวิกฤตในโอกาส เพื่อกระตุกรัฐบาลให้ได้คิดกับโปรเจกต์ปลดล็อกให้ต่างประเทศเข้ามาในไทยได้ เพื่อหวังกระตุ้นเศรษฐกิจ
ถ้าไม่มีกรณีทหารอียิปต์ และเด็กในคณะทูตซูดาน รัฐบาลและศบค.คงไม่รู้ว่า มันมีช่องโหว่มากมายที่จะทำให้กลับมาเสี่ยง
ยังโชคดีที่ว่ากรณีนี้รู้ตัวเร็ว และกระทรวงสาธารณสุขเข้าไปอย่างรวดเร็ว หากเป็นการปลดล็อกให้หลากหลายประเทศที่ยังระบาดอยู่เข้ามา ความเสียหายมันอาจรุนแรงกว่านี้หลายเท่า
รัฐบาล และศบค.คงได้เห็นแล้วว่าการปลดล็อกเร็วเกินไปอาจยิ่งตอกย้ำสถานการณ์ และผลบุญที่ทำไว้ในหลายเดือนไม่ช่วยอะไรเลย