"ฝั่งขวาเจ้าพระยา"
"โชกุน"
ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศเป็นศูนย์ติดต่อกันเป็นวันที่ 45 แล้ว (จนถึงวันที่ 9 ก.ค.) คงมีแต่ผู้ติดเชื้อนำเข้าคือ เดินทางจากต่างประเทศ ที่อยู่ในสถานกักตัวของรัฐ วันหนึ่งไม่เกิน 10 ราย หลายๆ วันไม่ถึง 5 บางวันก็ไม่มี ส่วนผู้เสียชีวิตหยุดอยู่ที่ 58 คน จำนวนผู้ที่ยังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลเหลือเพียง 59 คน
มาตรผ่อนปรนที่เริ่มผ่อนปรนระยะที่ 1 มาตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม มาจนถึงระยะที่ 5 เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม ที่อนุญาตให้กิจการที่มีความเสี่ยงสูงที่สุด เปิดบริการได้ จนถึงตอนนี้ ไม่ปรากฏว่า ทำให้เกิดการระบาดครั้งใหม่
ดังนั้น ถือว่า การระบาดของไวรัสโควิดในประเทศไทย ที่เริ่มตั้งแต่ปลายเดือนมกราคม ที่มีโชเฟอร์แท็กซี่เป็นคนไทยรายแรกที่ติดเชื้อในประเทศ ผ่านมา 5 เดือนเศษ ได้ยุติลงแล้ว โดยสามารถควบคุมการระบาดได้สำเร็จ มีผู้ติดเชื้อ และผู้เสียชีวิตในอัตราที่ต่ำมาก
ในขณะที่การระบาดในต่างประเทศกลับเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในซีกโลกตะวันตก คือ สหรัฐอเมริกา และบราซิล ตัวเลขล่าสุดวันที่ 9 กรกฎาคม ผู้ติดเชื้อใหม่ทั่วโลก เพิ่มขึ้นวันละ 2 แสนคน ยอดผู้ติดเชื้อสะสมทั่วโลกทะลุ 12 ล้านรายแล้ว ในประเทศอาเซียน อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นวันละมากกว่า 1 พันราย
บางประเทศ หลังจากผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ เกิดการระบาดระลอกใหม่ แต่อยู่ในวงจำกัด สามารถควบคุมได้ คือ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ล่าสุดคือ ออสเตรเลียที่ต้องประกาศล็อกดาวน์ เมืองเมลเบิร์น เมืองใหญ่อันดับสองอีกครั้งหนึ่ง ตั้งแต่วันที่ 9 กรกฎาคม ไปจนถึงปลายเดือนสิงหาคมนาน 6 สัปดาห์ หลังจากมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นวันละกว่า 100 คน และมีการประกาศปิดพรมแดนระหว่างรัฐวิคตอเรีย ซึ่งเมืองเมลเบิร์นตั้งอยู่กับรัฐนิวคาสเซิลที่อยู่ติดกัน อย่างไม่มีกำหนด
เพราะฉะนั้น แม้การระบาดในไทยรอบแรกจะยุติลงแล้ว แต่การระบาดในต่างประเทศยังรุนแรงอยู่ สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย จึงยังคงคำสั่งปิดน่านฟ้าต่อไป อนุญาตให้เฉพาะผู้ที่ได้รับอนุญาตเป็นการเฉพาะ 7 กลุ่ม สามารถบินเข้ามาในประเทศไทยได้ ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมา
การระบาดรอบที่ 2 ในประเทศไทย ในความเห็นของบุคลการทางการแพทย์หลายคนเกิดขึ้นอย่างแน่นอนจนกว่าจะมีวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ซึ่งคงไม่เร็วนัก แต่เมื่อเกิดแล้ว จะรุนแรงแค่ไหน ไม่มีใครรู้
อย่างไรก็ตาม การระบาดรอบที่ 2 หากเกิดขึ้นจริง เชื่อว่า ระบบสาธารณสุขของไทยเอาอยู่ เพราะมีประสบการณ์มาแล้ว และอุปกรณ์เครื่องมือป้องกัน ยารักษา หน้ากากอนามัย ตอนนี้เรามีสำรองไว้พร้อมรับมือแล้ว
นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เคยแถลงไว้เมื่อวันที่ 29 มิถุนายนว่า ตอนนี้เรามีเตียงสำหรับรองรับผู้ติดเชื้อถึง 2 หมื่นกว่าเตียงทั่วประเทศ แยกเป็นเตียงไอซียู 571 เตียง ห้องแยกสำหรับอาการหนัก 11,206 เตียง เตียงทั่วไป 10,349 เตียง หากมีการระบาดรอบ 2 จะสามารถรองรับผู้ป่วยได้วันละ 50-500 คน
นอกจากนั้น อุปกรณ์ป้องกันที่เคยขาดแคลน ตอนนี้มีอยู่เพียงพอแล้วคือ หน้ากาก N 95 จำนวน 1.12 ล้านชิ้น ชุดป้องกันพีพีอี 5.11 แสนชุด มีเครื่องช่วยหายใจ 1 หมื่นเครื่อง และมียาฟาวิพิราเวียร์ ที่ใช้รักษาผู้ป่วยหนัก ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจกว่า 3 แสนเม็ด
หากการระบาดรอบ 2 เกิดขึ้นจริง ประเทศไทยมีความพร้อมที่จะรับมืออย่างเต็มที่ และเชื่อว่า จะสามารถควบคุมการระบาดไม่ให้ลุกลามขยายวงกว้าง และยืดเยื้อแบบรอบแรกได้
อย่างไรก็ตาม ขออย่าให้มีการระบาดรอบ 2 เป็นดีที่สุด เพราะระบบสาธารณสุข บุคลากร เครื่องมือ ยา พร้อมรับมือ แต่ประชาชนที่ทำมาหากิน พ่อค้าแม่ขาย ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไม่พร้อมเลย ธุรกิจต่างๆ แม้จะเปิดดำเนินการได้เกือบหมดแล้ว แต่ต้องเผชิญกับสถานการณ์ใหม่ที่ไม่เหมือนเดิม กำลังซื้อเดิมก่อนหน้าโควิดยังไม่กลับมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจท่องเที่ยวทั้งระบบ ที่ต้องพึ่งพักท่องเที่ยวต่างชาติ และนักท่องเที่ยวจีน ยังไม่เห็นแสงสว่างแม้เพียงริบหรี่ที่ปลายอุโมงค์เลย
สำหรับประชาชนที่ต้องถูกเลิกจ้าง ลดชั่วโมงทำงาน พักงาน เงินเยียวยา 5 พันบาท เงินประกันสังคม ที่รัฐบาลจ่ายให้เพื่อช่วยประคองชีวิตหมดไปแล้ว และไม่น่าจะมีเงินเยียวยางวดใหม่ เพราะงบประมาณที่เตรียมไว้หมดแล้ว
ดังนั้น หากเกิดการระบาดรอบใหม่อีก เศรษฐกิจที่เพิ่งจะเริ่มกลับมาเปิด แต่ยังจุดไม่ติด จะต้องหนักหนาสาหัสกว่าเดิม ระบาดรอบแรกจบแล้ว เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นมีระบาดรอบใหม่อีก อะไรจะเกิดขึ้นลองหลับตานึกดู
เพราะฉะนั้น แม้ในทางการแพทย์จะเชื่อกันว่า การระบาดรอบ 2 จะเกิดขึ้นแน่ จะรุนแรงมากหรือน้อยเท่านั้น แต่สำหรับเศรษฐกิจ ธุรกิจ และประชาชนไม่มีกำลังที่จะรับมือกับการระบาดรอบ 2 แล้ว จึงเป็นหน้าที่ของทุกๆ คนที่จะต้องช่วยกันยกการ์ดไว้สูงๆ ให้รัดกุม อย่าให้ไวรัสโควิด-19 กลับมาอีก