ผู้จัดการรายวัน360- ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ใช้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีโดยมิชอบ หลังใช้อำนาจโอนย้าย "ถวิล เปลี่ยนศรี"ไปเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เพื่อเปิดทางให้ "เพรียวพันธ์ ดามาพงษ์" ขึ้นตำแหน่ง ผบ.ตร. ส่งสำนวนให้อัยการสูงสุดฟ้องศาลฎีกานักการเมือง
วานนี้ ( 1 ก.ค.) นายนิวัติไชย เกษมมงคล รองเลขาธิการ คณะกรรมการป.ป.ช. ในฐานะโฆษกสำนักงานป.ป.ช. แถลงว่า คณะกรรมการป.ป.ช. มีการชี้มูลความผิด น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ใช้อำนาจโอน นายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) ให้มาดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำโดยมิชอบ
โดยเมื่อปี 54 ขณะนั้น นายถวิล เปลี่ยนศรี ดำรงตำแหน่งเลขาสมช. เป็นหัวหน้าส่วนราชการระดับกรม ขึ้นตรงต่อนายกฯ มีอำนาจหน้าที่โดยตรงเกี่ยวกับกิจการความมั่นคงของประเทศ โดยเป็นที่ปรึกษา เสนอแนะนโยบาย มาตรการและแนวทางปฏิบัติด้านความมั่นคงต่อสภาความมั่นคงแห่งชาติ โดยเมื่อวันที่ 4 ก.ย.54 ซึ่งเป็นวันอาทิตย์ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ดำรงตำแหน่งนายกฯในขณะนั้น ได้โทรศัพท์สั่งการให้ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ดำเนินการทำเรื่องขอรับโอน นายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาสมช. มาเป็นที่ปรึกษานายกฯ ฝ่ายข้าราชการประจำ
จากนั้น สำนักเลขานายกฯ ได้มีบันทึกข้อความ ลงวันที่ 4 ก.ย.54 ถึงน.ส.กฤษณา สีหลักษณ์ ซึ่งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ในขณะนั้น เพื่อขอความยินยอมรับโอน นายถวิล มาดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกฯ ฝ่ายข้าราชการประจำ และได้มีบันทึกข้อความ ลงวันที่ 4 ก.ย.54 ถึงพล.ต.อ. โกวิท วัฒนะ รองนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ในฐานะรัฐมนตรีเจ้าสังกัดของสำนักงานสมช. เพื่อให้ความเห็นชอบและยินยอมการโอน นายถวิล มาดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกฯฝ่ายข้าราชการประจำ ทั้งน.ส.กฤษณา สีหลักษณ์ และพล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ ต่างให้ความเห็นชอบ และยินยอมการโอนดังกล่าว และสำนักเลขาธิการนายกฯ ได้นำเรื่องดังกล่าวเสนอต่อครม. พิจารณาอนุมัติ
กรณีดังกล่าว สำนักเลขาธิการนายกฯ ได้ตรวจพบว่า วันที่ 4 ก.ย.54 เป็นวันอาทิตย์ ซึ่งเป็นวันหยุดราชการ จึงได้มีการแก้ไขบันทึกข้อความทั้งสองฉบับดังกล่าว เป็นวันที่ 5 ก.ย.54 เป็นการแก้ก่อนนำเสนอให้ครม.พิจารณา
จากนั้น วันที่ 6ก.ย. น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้อนุมัติให้นำเสนอครม. เป็นวาระจร และในวันเดียวกัน ครม.ได้มีการประชุม และลงมติรับทราบให้โอน นายถวิล มาดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษานายกฯ ฝ่ายข้าราชการประจำ ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ จากนั้นน.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็ได้มีคำสั่งให้ นายถวิล มาปฏิบัติราชการ ที่สำนักนายกฯ ในตำแหน่งดังกล่าวทันที ซึ่งการแต่งตั้งโยกย้ายดำเนินการอย่างเร่งรีบ รวบรัด แล้วเสร็จภายใน 4 วัน
จากนั้นวันที่ 4 ต.ค.54 ครม.ได้มีมติอนุมัติแต่งตั้ง พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ให้ดำรงตำแหน่ง เลขาสมช. และในวันที่ 19 ต.ค.54 น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในฐานะประธานกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติได้เสนอชื่อ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ รอง ผบ.ตร. ที่จะเกษียณอายุราชการ วันที่ 30 ก.ย.55 และเป็นเครือญาติของตนเองให้ดำรงตำแหน่งผบ.ตร. แทนตำแหน่งที่ว่างลงต่อที่ประชุมก.ต.ช. ในการประชุมครั้งที่ 5/2554 เมื่อวันที่ 19 ต.ค.54 ซึ่งที่ประชุมก.ต.ช. มีมติเห็นชอบ
ในกรณีนี้ศาลปค.ได้มีคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ ที่ อ.992/2556 คดีหมายเลขแดง ที่ อ. 33/2557 ลงวันที่ 20 ก.พ.57 ว่า การแต่งตั้งโยกย้ายนายถวิล จากตำแหน่งเลขาสมช. ให้มาดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกฯ ฝ่ายข้าราชการประจำเป็นการลดบทบาทและอำนาจหน้าที่ลง โดยไม่แสดงเหตุผลที่ชอบด้วยกฎหมาย และไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า นายถวิล ปฏิบัติหน้าที่โดยไม่มีประสิทธิภาพ มีข้อบกพร่องหรือไม่สนองนโยบายของรัฐบาล ซึ่งถือได้ว่ามีเหตุผลสมควรที่ผู้บังคับบัญชาสามารถสั่งโอนได้ตามความเหมาะสม จึงถือได้ว่าเป็นการใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย อีกทั้งศาลรธน. ได้มีคำวินิจฉัยที่ 9/2557 เมื่อวันที่ 7 พ.ค.57 ว่าการกระทำของน.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นการกระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายเอื้อประโยชน์ให้พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ซึ่งเป็นเครือญาติ มาดำรงตำแหน่งผบ.ตร. การกระทำทั้งหมดมิได้เป็นไปเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ และประชาชน แสดงให้เห็นถึงการมีผลประโยชน์ทับซ้อน และมีวาระซ่อนเร้น ถือได้ว่าเป็นการกระทำโดยทุจริต เป็นเหตุให้นายถวิล ได้รับความเสียหาย เอื้อประโยชน์แก่ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ให้ขึ้นมาดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร.
คณะกรรมการป.ป.ช. จึงเห็นว่าการกระทำของน.ส.ยิ่งลักษณ์ มีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ โดยทุจริตตาม พ.ร.ป.ว่าด้วย ป.ป.ช. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554 มาตรา 123/1 ประกอบพ.ร.ป.ว่าด้วย ป.ป.ช. พ.ศ. 2561 มาตรา 192
ส่วนผู้ถูกกล่าวหาอื่นเห็นว่าข้อกล่าวหาไม่มีมูล ให้ข้อกล่าวหาตกไป พร้อมให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวนเอกสาร พยานหลักฐาน และความเห็น พร้อมสำเนาอิเล็กทรอนิกส์ ไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินการฟ้องคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตามพ.ร.ป.ว่าด้วย ป.ป.ช. พ.ศ. 2561 มาตรา 76
วานนี้ ( 1 ก.ค.) นายนิวัติไชย เกษมมงคล รองเลขาธิการ คณะกรรมการป.ป.ช. ในฐานะโฆษกสำนักงานป.ป.ช. แถลงว่า คณะกรรมการป.ป.ช. มีการชี้มูลความผิด น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ใช้อำนาจโอน นายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) ให้มาดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำโดยมิชอบ
โดยเมื่อปี 54 ขณะนั้น นายถวิล เปลี่ยนศรี ดำรงตำแหน่งเลขาสมช. เป็นหัวหน้าส่วนราชการระดับกรม ขึ้นตรงต่อนายกฯ มีอำนาจหน้าที่โดยตรงเกี่ยวกับกิจการความมั่นคงของประเทศ โดยเป็นที่ปรึกษา เสนอแนะนโยบาย มาตรการและแนวทางปฏิบัติด้านความมั่นคงต่อสภาความมั่นคงแห่งชาติ โดยเมื่อวันที่ 4 ก.ย.54 ซึ่งเป็นวันอาทิตย์ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ดำรงตำแหน่งนายกฯในขณะนั้น ได้โทรศัพท์สั่งการให้ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ดำเนินการทำเรื่องขอรับโอน นายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาสมช. มาเป็นที่ปรึกษานายกฯ ฝ่ายข้าราชการประจำ
จากนั้น สำนักเลขานายกฯ ได้มีบันทึกข้อความ ลงวันที่ 4 ก.ย.54 ถึงน.ส.กฤษณา สีหลักษณ์ ซึ่งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ในขณะนั้น เพื่อขอความยินยอมรับโอน นายถวิล มาดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกฯ ฝ่ายข้าราชการประจำ และได้มีบันทึกข้อความ ลงวันที่ 4 ก.ย.54 ถึงพล.ต.อ. โกวิท วัฒนะ รองนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ในฐานะรัฐมนตรีเจ้าสังกัดของสำนักงานสมช. เพื่อให้ความเห็นชอบและยินยอมการโอน นายถวิล มาดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกฯฝ่ายข้าราชการประจำ ทั้งน.ส.กฤษณา สีหลักษณ์ และพล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ ต่างให้ความเห็นชอบ และยินยอมการโอนดังกล่าว และสำนักเลขาธิการนายกฯ ได้นำเรื่องดังกล่าวเสนอต่อครม. พิจารณาอนุมัติ
กรณีดังกล่าว สำนักเลขาธิการนายกฯ ได้ตรวจพบว่า วันที่ 4 ก.ย.54 เป็นวันอาทิตย์ ซึ่งเป็นวันหยุดราชการ จึงได้มีการแก้ไขบันทึกข้อความทั้งสองฉบับดังกล่าว เป็นวันที่ 5 ก.ย.54 เป็นการแก้ก่อนนำเสนอให้ครม.พิจารณา
จากนั้น วันที่ 6ก.ย. น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้อนุมัติให้นำเสนอครม. เป็นวาระจร และในวันเดียวกัน ครม.ได้มีการประชุม และลงมติรับทราบให้โอน นายถวิล มาดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษานายกฯ ฝ่ายข้าราชการประจำ ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ จากนั้นน.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็ได้มีคำสั่งให้ นายถวิล มาปฏิบัติราชการ ที่สำนักนายกฯ ในตำแหน่งดังกล่าวทันที ซึ่งการแต่งตั้งโยกย้ายดำเนินการอย่างเร่งรีบ รวบรัด แล้วเสร็จภายใน 4 วัน
จากนั้นวันที่ 4 ต.ค.54 ครม.ได้มีมติอนุมัติแต่งตั้ง พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ให้ดำรงตำแหน่ง เลขาสมช. และในวันที่ 19 ต.ค.54 น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในฐานะประธานกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติได้เสนอชื่อ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ รอง ผบ.ตร. ที่จะเกษียณอายุราชการ วันที่ 30 ก.ย.55 และเป็นเครือญาติของตนเองให้ดำรงตำแหน่งผบ.ตร. แทนตำแหน่งที่ว่างลงต่อที่ประชุมก.ต.ช. ในการประชุมครั้งที่ 5/2554 เมื่อวันที่ 19 ต.ค.54 ซึ่งที่ประชุมก.ต.ช. มีมติเห็นชอบ
ในกรณีนี้ศาลปค.ได้มีคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ ที่ อ.992/2556 คดีหมายเลขแดง ที่ อ. 33/2557 ลงวันที่ 20 ก.พ.57 ว่า การแต่งตั้งโยกย้ายนายถวิล จากตำแหน่งเลขาสมช. ให้มาดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกฯ ฝ่ายข้าราชการประจำเป็นการลดบทบาทและอำนาจหน้าที่ลง โดยไม่แสดงเหตุผลที่ชอบด้วยกฎหมาย และไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า นายถวิล ปฏิบัติหน้าที่โดยไม่มีประสิทธิภาพ มีข้อบกพร่องหรือไม่สนองนโยบายของรัฐบาล ซึ่งถือได้ว่ามีเหตุผลสมควรที่ผู้บังคับบัญชาสามารถสั่งโอนได้ตามความเหมาะสม จึงถือได้ว่าเป็นการใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย อีกทั้งศาลรธน. ได้มีคำวินิจฉัยที่ 9/2557 เมื่อวันที่ 7 พ.ค.57 ว่าการกระทำของน.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นการกระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายเอื้อประโยชน์ให้พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ซึ่งเป็นเครือญาติ มาดำรงตำแหน่งผบ.ตร. การกระทำทั้งหมดมิได้เป็นไปเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ และประชาชน แสดงให้เห็นถึงการมีผลประโยชน์ทับซ้อน และมีวาระซ่อนเร้น ถือได้ว่าเป็นการกระทำโดยทุจริต เป็นเหตุให้นายถวิล ได้รับความเสียหาย เอื้อประโยชน์แก่ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ให้ขึ้นมาดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร.
คณะกรรมการป.ป.ช. จึงเห็นว่าการกระทำของน.ส.ยิ่งลักษณ์ มีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ โดยทุจริตตาม พ.ร.ป.ว่าด้วย ป.ป.ช. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554 มาตรา 123/1 ประกอบพ.ร.ป.ว่าด้วย ป.ป.ช. พ.ศ. 2561 มาตรา 192
ส่วนผู้ถูกกล่าวหาอื่นเห็นว่าข้อกล่าวหาไม่มีมูล ให้ข้อกล่าวหาตกไป พร้อมให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวนเอกสาร พยานหลักฐาน และความเห็น พร้อมสำเนาอิเล็กทรอนิกส์ ไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินการฟ้องคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตามพ.ร.ป.ว่าด้วย ป.ป.ช. พ.ศ. 2561 มาตรา 76