ข่าวปนคน คนปนข่าว
**เบื้องหลังเกมน้ำเน่า “ชัยวุฒิ” แกว่งปากขยี้ “สมคิด” เพราะมีลุงให้ท้าย รับงาน “วิรัช-สุชาติ” ที่กำลังอหังการได้ที่
กรณีสมาชิกพรรค พปชร.หลายคน โดยเฉพาะ "“ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์” ส.ส.บัญชีรายชื่อ และกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ ให้สัมภาษณ์ขับไล่ “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” รองนายกรัฐมนตรี ออกจากหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล สะท้อนว่า การเมืองภายในพรรค พปชร. ยังจมดิ่งอยู่กับการเล่นเกมการเมืองแบบ “น้ำเน่า” ขยะลอยฟ่อง งัด “วิชามาร” มาไล่บี้ไล่ขย่มอีกฝ่ายตลอดเวลา
ต่อมา “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ก็ออกมาแก้ต่างแก้ตัวแทนลูกพรรค เหมือนกางปีกป้องว่า “ชัยวุฒิ” พูดเป็นความคิดของคนๆ เดียว ที่กลัวตกงาน จากที่ “สมคิด” พูดถึงการยุบสภาของสิงคโปร์ แล้ว “ชัยวุฒิ” ไปเข้าใจว่าไทยจะยุบสภา แถมลุงยังมาโทษสื่อว่า เสี้ยมให้คนโกรธกัน
เอาจริงๆ ก็ไม่รู้ว่า “ลุงป้อม” ผู้ใหญ่ที่น่ารัก จะรู้หรือไม่ว่า อีกฟากของทำเนียบ นักข่าวก็สงสัยไปไล่ถาม “วิษณุ เครืองาม” รองนายกรัฐมนตรี สืบหาความจริง ก็ได้ความมาว่ากรณีที่ “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” รองนายกรัฐมนตรี ไปกล่าวในระหว่างการมอบนโยบายต่อสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เมื่อวันที่ 29 มิ.ย.ที่ผ่านมา ถึงการที่รัฐบาลสิงคโปร์ยุบสภา เพราะคาดว่าเศรษฐกิจจะย่ำแย่ เพื่อเลือกตั้งใหม่ให้ได้รัฐบาลมีประสิทธิภาพ ว่า “สมคิด” ได้เล่าในที่ประชุม ครม. เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. ที่ผ่านมาว่า ได้พูดอะไรกับสื่อมวลชน โดยยอมรับว่า พูดถึงกรณีของสิงคโปร์จริง แต่มีคนนำไปโยงว่า เป็นการพูดมีนัยอยากแนะนำกรณีของไทย ซึ่ง “สมคิด” ยืนยันว่าไม่ได้เกี่ยวกันเลย
ฟังจาก “วิษณุ” มาใล่ไทม์ไลน์อีกที งานนี้เห็นๆ กันว่า “ชัยวุฒิ” คือ คนที่จงใจเอาเรื่องสิงคโปร์มาโยงไทย เพื่อขยี้ “สมคิด” และคงไม่ใช่บังเอิญว่า เป็น “ความคิดของคนๆ เดียว” ตามที่ลุงป้อมว่าแน่ๆ เพราะว่า นอกจากชัยวุฒิแล้วก็มี “ลูกหาบ” สมาชิกก๊วนก๊กที่กำลังคึกจัด ก็มารับลูกชัยวุฒิเป็นทอดๆ กันหลายคน
แสดงว่าเป็น “กระบวนการ” และเจตนาชัดเจน !!
ว่ากันว่า การปล่อย ส.ส.น้ำเน่าออกมาโชว์ออฟ เรียกราคา “ปั่นหุ้นตัวเอง” แบบนี้ต้องมี “ผู้ใหญ่” สั่งการหรือ หรี่ตา อยู่แล้ว ?... ต้องไม่ลืมว่า “ชัยวุฒิ” ตอนหลังก่อนที่ “ลุงป้อม” จะก้าวขึ้นเป็นหัวหน้าพรรค เขาก็เดินยืดอก บอกใครต่อใครอย่างไม่เคอะเขินว่า คือคนที่ลุงป้อมรักเป็น “หลานรัก” อีกคนในกลุ่มก๊วนทีมลุงป้อม ก่อการยึดพรรคพลังประชารัฐ
และต้องไม่ลืมว่า “ชัยวุฒิ” และ พวก ส.ส.น้ำเน่า ที่ลำพองผยองเดชอีกหลายคนในตอนนี้ ล้วนเป็นคนในสังกัดเดินตาม “วิรัช รัตนเศรษฐ” และ “เฮ้ง” สุชาติ ชมกลิ่น ที่ว่ากันว่า ชั่วโมงนี้อหังการได้ที่
ส่วนตัวแล้ว “ชัยวุฒิ” ก็ไม่ใช่ ส.ส.กากๆ เพิ่งสร้างชื่อ ที่ยอมเป็นลิ่วล้อ “วิรัช-สุชาติ” ก็คงจะขอ “วอนนาบี” บ้างเผื่อผลงานเป็นที่ถูกอกถูกใจ บรรดาแกนนำ จับพลัดจับผลู ได้ขึ้นลิฟต์ คั่วตำแหน่งในรัฐบาลกะเขาบ้าง หากกดดันให้ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ปรับ ครม.
“ชัยวุฒิ” เดิมเป็น ส.ส.สิงห์บุรี สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ ปี 2544 ก่อนจะย้ายมาสังกัดพรรคชาติไทย และได้เป็น ส.ส.สิงห์บุรี ปี 2550 ก่อนจะถูกตัดสิทธิทางการเมือง เป็นเวลา 5 ปี เนื่องจากเป็นกรรมการบริหารพรรคชาติไทย ซึ่งถูกยุบในคดียุบพรรคการเมือง พ.ศ. 2551 จากนั้น ชัยวุฒิ จึงกลับเข้าสู่ถนนการเมืองอีกครั้ง ในฐานะกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ
ที่เป็น “ลิ่วล้อ” ออกมาไล่สมคิดแทนลูกพี่ ก็ว่ากันว่า สถานการณ์การเมืองโดยเฉพาะการปรับ ครม.ของลุงตู่ ยังนิ่งมาก มิหนำซ้ำ ลุงตู่ ยังออกมาชื่นชมทีมเศรษฐกิจของสมคิด ทั้ง “อุตตม สาวนายน” รมว.คลัง และ “สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์” รมว.พลังงาน จากกลุ่มสี่กุมาร ว่า ทำงานได้ดี ก็เลยออกอาการหงุดหงิด อกจะแตกตาย
ยิ่งสมคิดและกลุ่มสี่กุมาร เงียบ เอาผลงานเป็นตัวนำ ออกมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจออกมารัวๆ ก้มหน้าก้มตาทำงานไม่สนใจเกมการเมืองในพรรคเลยถูกแว้งกัด เพื่อล่อพวก 4 คนออกมาตอบโต้
ฟังว่าเล่นแบบนี้ เด็กอนุบาลยังอ่านออก ใจร้อนอยากจะขึ้นลิฟต์ ครม.กันเร็วๆ แต่ยิ่งเดินยิ่งจมดิ่ง ที่เขาว่าเป็นกลุ่มที่มุ่งแต่จะ “แย่งชามข้าว” มุ่่งหวังแต่แสวงหาน้ำเลี้ยง จากงบฟื้นฟูโควิด 400,000 ล้าน ไม่ลืมหูลืมตาว่าสังคมเขาสมเพชเวทนาตัวเองแค่ไหน
ดิ้นกันพราดๆ ก็ระวังไว้บ้างว่าจะพลาดทั้งกระดานด้วยเช่นกัน !!
** กรรมตามทัน “ยิ่งลักษณ์” แม้จะใช้เวลาเกือบ 10 ปี เมื่อ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดอาญา กรณีโอนย้าย “ถวิล เปลี่ยนศรี” เลขา สมช. ไปเข้ากรุที่ทำเนียบ เพื่อเปิดทางให้ “เพรียวพันธ์” พี่ชาย “คุณหญิงอ้อ” ขึ้นตำแหน่ง ผบ.ตร. ก่อนเกษียณ
ยังจำกันได้ไหม ในช่วงที่ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” เป็นนายกรัฐมนตรี ได้มีการโอนย้าย “ถวิล เปลี่ยนศรี” เลขา สมช. ไปเข้ากรุที่ทำเนียบ โดยไม่มีความผิด หรือมีเหตุบกพร่องต่อหน้าที่ แล้วโยก “พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี” ให้มานั่งเลขา สมช.แทน เพื่อเปิดทางสะดวกให้ “พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์” พี่ชายแท้ๆ ของ “คุณหญิงอ้อ” พจมาน ณ ป้อมเพชร ได้เถลิงตำแหน่ง ผบ.ตร. เพื่อเป็นเกียรติเป็นศรีแก่วงศ์ตระกูล
เหตุเกิดเมื่อปี 54 ซึ่งขณะนั้น “ถวิล เปลี่ยนศรี” นั่งตำแหน่งเลขา สมช. ซึ่งเป็นหัวหน้าส่วนราชการระดับกรม ขึ้นตรงต่อนายกฯ มีอำนาจหน้าที่โดยตรงเกี่ยวกับกิจการด้านความมั่นคงของประเทศ... จู่ๆ “ยิ่งลักษณ์” ก็ได้โทรศัพท์สั่งการให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ทำเรื่องขอรับโอน “ถวิล เปลี่ยนศรี” มาเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ ที่ทำเนียบรัฐบาล ทั้งๆ ที่วันนั้นเป็นวันอาทิตย์ (4 ก.ย. 54) และในวันเดียวกันนั้น ทางสำนักเลขานายกฯ ก็ได้มีบันทึกข้อความ ถึง น.ส.กฤษณา สีหลักษณ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ในขณะนั้น เพื่อขอความยินยอมรับโอน “ถวิล” มาดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกฯ
จากนั้น ก็ได้มีบันทึกข้อความ ลงวันที่ 4 ก.ย. 54 ถึง “พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ” รองนายกฯ ในขณะนั้น ในฐานะรัฐมนตรีเจ้าสังกัดของสำนักงาน สมช. เพื่อให้ความเห็นชอบ และยินยอมให้โอน “ถวิล” ไปเป็นที่ปรึกษานายกฯ ... ทั้ง “น.ส.กฤษณา และ พล.ต.อ.โกวิท” ต่างก็ให้ความเห็นชอบ ลงนามกันในวันนั้น และเตรียมให้ สำนักเลขาธิการนายกฯ ได้นำเรื่องเสนอต่อ ครม.พิจารณาอนุมัติ
เป็นการเร่งรัด สั่งการ ดำเนินการกันในวันอาทิตย์ ทั้งที่เป็นวันหยุด...ช่างไม่ต่างกับกรณี “ทักษิณ ชินวัตร” เมื่อครั้งเป็นนายกฯได้สั่งการให้ วันที่ 31 ธ.ค. 46 เป็นวันทำงาน และให้ไปหยุดวันที่ 2 ม.ค. 47 แทน...เพื่อให้การโอนที่ดินรัชดาฯ ที่ “คุณหญิงพจมาน ชินวัตร” ซื้อไว้ ให้เสร็จสิ้นเรียบร้อย เพราะหากการโอนกรรมสิทธิ์เสร็จไม่ทัน 31 ธ.ค. 46 ผู้ซื้อจะเสียค่าธรรมเนียมการโอนเพิ่มอีกหลายล้านบาท ตามกฎหมายใหม่ที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ม.ค. 47
แต่การโอนย้าย “ถวิล” นั้น ทางสำนักเลขาธิการนายกฯ ได้ตรวจพบว่า วันที่ 4 ก.ย. 54 เป็นวันอาทิตย์ ซึ่งเป็นวันหยุดราชการ จึงมีการแก้ไขบันทึกข้อความทั้งสองฉบับดังกล่าว เป็นวันที่ 5 ก.ย. 54 ก่อนนำเสนอให้ ครม.พิจารณา
จากนั้น วันที่ 6 ก.ย. “ยิ่งลักษณ์” ก็สั่งการให้นำเสนอ ครม.เป็นวาระจร และในวันเดียวกันนั้น ครม. ลงมติรับทราบ ให้โอน “ถวิล” ไปเป็นที่ปรึกษานายกฯ ตามที่สำนักเลขาธิการนายกฯ เสนอ พร้อมสั่งให้ “ถวิล” ไปปฏิบัติราชการ ที่สำนักนายกฯ ในตำแหน่งดังกล่าวทันที ...เป็นการโยกย้ายอย่างรวบรัดเสร็จภายใน 4 วัน
ต่อมา วันที่ 4 ต.ค. 54 ครม. ก็ได้มีมติอนุมัติแต่งตั้ง “พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี” รอง ผบ.ตร. ที่อาวุโสสูงสุดในขณะนั้น ให้ไปดำรงตำแหน่ง เลขา สมช. จากนั้น วันที่ 19 ต.ค. 54 “ยิ่งลักษณ์” ในฐานะประธานกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ ก็ได้เสนอชื่อ “พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์” รอง ผบ.ตร. พี่ชายของ “คุณหญิงอ้อ” ที่จะเกษียณอายุราชการวันที่ 30 ก.ย. 55 ขึ้นเป็น ผบ.ตร. แทนตำแหน่งที่ว่าง ต่อที่ประชุม ก.ต.ช. แบะที่ประชุมก็มีมติเห็นชอบในวันเดียวกันนั้นเอง
เรื่องนี้ “ถวิล เปลี่ยนศรี” ได้นำเรื่องไปร้องเรียนต่อศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญ และ ป.ป.ช. ว่าถูก “ยิ่งลักษณ์” ใช้อำนาจสั่งการโยกย้ายโดยมิชอบ...
ต่อมาศาลปกครอง ได้มีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 20 ก.พ. 57 ว่า การแต่งตั้งโยกย้าย “ถวิล” จากตำแหน่งเลขา สมช. ไปเป็นที่ปรึกษานายกฯ ฝ่ายข้าราชการประจำ เป็นการลดบทบาท และอำนาจหน้าที่ลง โดยไม่แสดงเหตุผลที่ชอบด้วยกฎหมาย และไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า “ถวิล” ปฏิบัติหน้าที่โดยไม่มีประสิทธิภาพ มีข้อบกพร่อง หรือไม่สนองนโยบายของรัฐบาล ที่ถือได้ว่ามีเหตุผลสมควรที่ผู้บังคับบัญชาสามารถสั่งโอนได้ตามความเหมาะสม จึงถือว่าเป็นการใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และให้เพิกถอนประกาศสำนักนายกฯ ที่ให้ “ถวิล” พ้นจากตำแหน่งเลขา สมช. ไปดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกฯ โดยให้มีผลย้อนหลัง ตั้งแต่วันที่มีการประกาศโอนย้าย เพื่อแก้ไขเยียวยาความเดือดร้อนเสียหาย โดยให้นายกฯ ดำเนินการตามกฎหมายให้ “ถวิล” กลับไปดำรงตำแหน่งเลขา สมช. ภายใน 45 วัน นับตั้งแต่วันที่มีคำพิพากษา
จากนั้นอีกไม่กี่เดือน ศาลรัฐธรรมนูญ ก็ได้มีคำวินิจฉัย เมื่อวันที่ 7 พ.ค. 57 ว่าการกระทำของ “ยิ่งลักษณ์” ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เอื้อประโยชน์ให้ “พล.ต.อ.เพรียวพันธ์” ซึ่งเป็นเครือญาติ มาดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร. โดยมิได้เป็นไปเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ และประชาชน แสดงให้เห็นถึงการมีผลประโยชน์ทับซ้อน มีวาระซ่อนเร้น ถือได้ว่าเป็นการกระทำโดยทุจริต เป็นเหตุให้ “ถวิล” ได้รับความเสียหาย ขณะเดียวกัน ก็เอื้อประโยชน์แก่ “พล.ต.อ.เพรียวพันธ์” ให้ขึ้นมาดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร.
ล่าสุด เมื่อวานนี้ (1 ก.ค. 63) คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลว่า “ยิ่งลักษณ์” มีความผิดทางอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ พ.ร.ป.ว่าด้วย ป.ป.ช. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554 มาตรา 123/1 ประกอบ พ.ร.ป.ว่าด้วย ป.ป.ช. พ.ศ. 2561 มาตรา 192 พร้อมให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวนเอกสาร พยานหลักฐาน และความเห็นไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินการฟ้องคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่อไป
ถึงวันนี้ แม้ “ถวิล” จะไม่ได้รับการเยียวยาที่คุ้มค่ากับความเสียหายที่เกิดขึ้น แต่อย่างน้อยก็ได้รับความยุติธรรม ได้กู้เกียรติยศ ศักดิ์ศรีของข้าราชการที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริตคืนมา ไม่ได้ถูกโยกย้ายเพราะบกพร่อง หรือมีความผิดต่อหน้าที่... แต่เป็นเพราะถูกคนในตระกูลชินวัตร รังแก !!