xs
xsm
sm
md
lg

ใครว่าทรัมป์เผชิญ สัปดาห์ที่สาหัสมาก?

เผยแพร่:   โดย: อ.สุดาทิพย์ จารุจินดา อินทร



วันเสาร์ที่ 20 มิถุนายน ทั้งโลกโดยเฉพาะชาวอเมริกันได้ชมการถ่ายทอดสด การปราศรัยหาเสียงครั้งแรกของตัวแทนพรรครีพับลิกัน ที่จะลงสมัครแข่งในตำแหน่งปธน. ซึ่งก็คือ ปธน.ทรัมป์ ที่มั่นอกมั่นใจมากว่าจะได้กลับมาเป็นคำรบสอง จะเป็น Comeback Kid ตามประเพณีที่ผู้นำทำเนียบขาวมักได้เปรียบคู่แข่งในการหาเสียง และมักได้กลับมาในรอบสองอย่างไม่ยากนัก

แต่ภาพที่เห็นในสนามกีฬายักษ์ของเมือง Tulsa (ในรัฐโอกลาโฮมา) ทำเอาชาวรีพับลิกันโดยเฉพาะเหล่า ส.ว.และ ส.ส.ของพรรค เกิดอาการตกใจและไม่เชื่อสายตาตนเอง เพราะมีคนที่เป็นแฟนทรัมป์ได้เข้าไปฟังการหาเสียงแค่ 1/3 ของราคาคุย ที่ทรัมป์บอกว่า มีคนจองตั๋วเข้าชมเป็นล้าน จนสนามที่จุได้แค่ 19,000 ที่นั่งจะไม่พอรับกับผู้ชมที่จะหลั่งไหลกันเข้ามาร่วม และจะต้องถ่ายทอดออกมาที่บริเวณสนามข้างนอกด้วย

ที่นั่งด้านบนของสนามมีแต่เก้าอี้ว่างเปล่า ซึ่งตัวเลขที่หลายสื่อนับได้แค่ 6,200 คนที่นั่งอยู่เต็มชั้นล่าง

นั่นเพราะเกิดถูก “ดัดหลัง” จนทำให้ทรัมป์หน้าแตก และเก็บอาการไม่อยู่ จนภาพที่ทรัมป์บินกลับมาทำเนียบขาว-ขณะเดินลงมาจากเครื่องบินจากการหาเสียง Marine-1 เป็นอาการหมดสภาพที่มีสายเนกไทรุ่งริ่ง ท่าทางเหมือนโดนผีหลอกมานั่นเอง!

เสียงที่เล็ดลอดออกมา หลังทรัมป์จบการปราศรัย คือ อาการโกรธจัดของทรัมป์ และลูกสาวอิวองกา รวมทั้งลูกเขย จาเร็ด คุชเนอร์ ที่ต่อว่าผู้จัดการหาเสียงที่ไปหลงกลเหล่าคนที่แย่งกันจองตั๋ว เสร็จแล้วกลับหายจ้อยไม่มาร่วมฟังการปราศรัยดื้อๆ “เป็นการหลอกต้ม” ฝ่ายทรัมป์จนเปื่อย

ทรัมป์ได้โทษฝ่ายสื่อที่เป็นศัตรูจองล้างจองผลาญเขา โดยหาว่าสื่อประโคมข่าวชาวโอกลาโฮมาติดเชื้อโควิดเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ฝ่ายหาเสียงภาคสนามของทรัมป์ ที่ติดเชื้อเข้าไปถึง 6 ใน 8 คน รวมทั้งยังมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายรักษาความปลอดภัยของทรัมป์ก็ติดเชื้ออีก 2 คน ทำให้แฟนคลับของทรัมป์เปลี่ยนใจนาทีสุดท้ายไม่มาเข้าร่วมฟังการปราศรัยเพราะกลัวติดเชื้อ

ทรัมป์ได้โทษกลุ่มผู้ประท้วง Black Lives Matter ที่มาชุมนุมอยู่หน้าทางเข้าสนามหาเสียงของเขา ทั้งๆ ที่มีผู้ชุมนุมต้านทรัมป์มีจำนวนไม่มากนัก แต่ทรัมป์ก็โทษเลยว่า กลุ่มผู้ชุมนุมต่อต้านเขาเป็นพวกที่ชอบทำร้าย จนทำให้แฟนคลับของเขาเปลี่ยนใจกลัวจะถูกทำร้าย

จริงๆ คือ ทรัมป์ได้เกริ่นบอกผู้ที่จะมาฟังเขาปราศรัยว่า ไม่ต้องสวมหน้ากากอนามัย เพราะเชื้อโรคโควิดกำลัง Dying Out คือ มันกำลังจะหมดสิ้นไป เพราะรัฐบาลของเขาให้การสนับสนุนให้ตรวจมากๆ และเขายังโอ้อวดด้วยว่า เขาทำได้ดีกว่าทุกๆ ประเทศในการตรวจเชื้อ จึงไม่ต้องกลัวติดโรค

แต่ 1 วันก่อนการปราศรัยก็เกิดแรงกดดันจากเหล่าแพทย์ระบาดวิทยา ที่ออกมาเสนอตัวเลขว่า คนติดเชื้อและตายที่สหรัฐฯ กำลังจะเพิ่มสูงมากขึ้นจากการ Re-Opening กลับมาฟื้นธุรกิจเป็นปกติทั่วสหรัฐฯ

ฝ่ายจัดงานหาเสียงจึงมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ด้วยการเตรียมแจกหน้ากากอนามัยที่หน้างาน...แต่เอาเข้าจริงๆ คนที่เข้าไปในสนามหาเสียง แทบไม่มีใครแยแสที่จะสวมหน้ากากที่แจกหน้างานเลย

การปราศรัยหาเสียงครั้งแรกนี้ ไม่เพียงมีเนื้อหาที่กล่าวหาโรคโควิดว่า เป็นโรคที่จีนเป็นคนเริ่ม โดยจงใจใช้คำว่า Kung-Flu...แล้วยังมีการโจมตีเดโมแครตว่า เป็นฝ่ายต้องการยุบยกเลิกกองตำรวจปัจจุบัน ซึ่งทรัมป์บอกว่า ตำรวจทำถูกต้องแล้วเพื่อรักษากฎหมายไม่ใช่ทำรุนแรงเกินเหตุแบบที่ถูกกล่าวหาต่อผู้ชุมนุมทั่วประเทศ

มีการทำโพลหลายสำนัก ซึ่งความนิยมของทรัมป์เมื่อเทียบกับโจ ไบเดน ปรากฏว่าทรัมป์มีคะแนนตกลงมามาก แม้แต่โพลของสถานี Fox ก็ตาม ที่ไบเดนนำห่างถึง 15%...สูงกว่าสมัยที่ฮิลลารีมีคะแนนนำทรัมป์ในปี 2016 (แค่ 2-3% เท่านั้น)...รวมทั้งใน Battleground States ที่โจ ไบเดน ก็ยังนำทรัมป์แทบทุกรัฐ

และเมื่อต้นอาทิตย์ ทรัมป์ก็โดนไปหลายดอก ทั้งจากรมต.กลาโหม Mark Esper ที่ออกมาพูดว่าไม่เห็นด้วยที่จะใช้กองทัพแห่งชาติ มาปราบปรามการชุมนุมอย่างสงบตามรัฐธรรมนูญ เป็นการบอกอย่างเต็มที่ว่าไม่เห็นด้วยกับนโยบายของทรัมป์ และตัวรมต. Esper เองก็ถูกกดดันจากเหล่าแม่ทัพทั้งหลายให้ลาออก ที่ได้ร่วมเดินไปกับทรัมป์ ผ่านการใช้กำลังทหารรักษาดินแดนที่ทั้งยิงกระสุนยาง (ที่ถือว่ารุนแรง) และยิงแก๊สน้ำตาชนิดรุนแรงเข้าใส่ผู้ชุมนุมประท้วงอย่างสงบปราศจากอาวุธ เพียงเพื่อขับไล่ผู้ชุมนุมหน้าทำเนียบขาว เป็นการเปิดทางให้ทรัมป์และคณะได้เดินเท้าจากทำเนียบขาวไปยืนถ่ายรูปถือไบเบิลหน้าโบสถ์ St. John

รมต.กลาโหมถึงกับกล่าวขอโทษที่เขาเดินร่วมไปกับคณะของท่านปธน. เพราะเขาไม่รู้ล่วงหน้าว่าจะไปถ่ายรูปที่หน้าโบสถ์ และไม่รู้ว่ามีการใช้กำลังเกินเหตุกับผู้ประท้วงอย่างสงบ

ท่านผบ.สส. Mark Milley ก็ออกมากล่าวขอโทษที่ได้ร่วมเดินไปในคณะที่ได้ใช้กำลังรุนแรงกับผู้ชุมนุมอย่างสงบ ท่านบอกว่า ไม่รู้มาก่อนว่าคณะของท่านปธน. จะเดินไปเพียงถ่ายรูป...ซึ่ง ผบ.สส.ถูกกดดันว่าควรลาออก เมื่อมีภาพปรากฏไปรับใช้ทางการเมือง (ที่ทรัมป์ไปยืนถ่ายรูป เพื่อประกาศนโยบายปราบปรามผู้ชุมนุมอย่างแข็งกร้าว)

ยังมีอดีตแม่ทัพ David Petraeus แห่งกองทัพนาโต และอีกหลายๆ คนที่เคยเป็นบิ๊กๆ ของกองทัพที่ออกมาตำหนิทรัมป์ที่จะใช้กองทัพมาปราบประชาชนที่ประท้วงอย่างสงบ...

ยังเป็นอาทิตย์ที่ศาลสูงสุดได้มีคำพิพากษา 2 เรื่องที่ถือว่าเป็นความพ่ายแพ้ของทรัมป์ คือ เรื่องที่คนข้ามเพศได้รับการประกันสิทธิตามรัฐธรรมนูญ ที่จะไม่ถูกกีดกันหรือไม่ได้รับความเท่าเทียบกันในที่ทำงาน...และที่ทรัมป์ต้องการยุติโครงการที่ (โอบามาได้เริ่มไว้) ให้สิทธิแก่เด็กๆ ที่เดินทางติดตามพ่อแม่เข้ามาแอบทำงานในสหรัฐฯ ซึ่งโอบามาให้ผ่อนผันที่จะเรียนหนังสือ และทำงานได้อย่างถูกต้อง ปรากฏว่าศาลบอกว่า วิธีการของทรัมป์ไม่ถูกต้อง...จนทรัมป์ออกมาบ่นว่า ศาลดูจะอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเขา (ทั้งๆ ที่มีผู้พิพากษาที่เขาเสนอเข้าไปถึง 2 คนด้วยซ้ำ!)

และยังมีหนังสือเปิดโปงจากจอห์น โบลตัน อีกด้วย

พอผลโพลออกมาถล่มทรัมป์ และคนมาฟังปราศรัยน้อยมาก เขาก็คิดแก้เกมด้วยการปลดอัยการสมาพันธรัฐ ประจำเขตใต้ของนิวยอร์ก ที่เขาตั้งเข้าไปนั่นแหละ แต่เป็นอัยการที่ทำงานอย่างตรงไปตรงมา...ได้เดินหน้าตั้งข้อหาแรงๆ แก่เหล่าสมุนของทรัมป์ ตั้งแต่นายพล Michael Flynn, หัวหน้าอันธพาลการเมือง Roger Stone และทนายส่วนตัวของทรัมป์ซึ่งเป็นอดีตนายกเทศมนตรีเมือง NYC คือ Giuliani... จนทรัมป์ไม่พอใจอัยการคนนี้ถึงสั่งปลดฟ้าผ่า เพื่อกลบเรื่องอื่นๆ ที่เขากำลังตั้งรับอยู่

เขาสั่งรมต.ยุติธรรม Bill Barr ให้เดินเครื่องเต็มสูบ เพื่อให้ “เป่าคดี” ของบุคคลที่เป็นสมุนของเขาให้พ้นคดีให้หมด ซึ่งขณะนี้กำลังอื้อฉาวมาก นับเป็นการใช้อำนาจแทรกแซงคดีต่างๆ เพื่อให้เหล่าสมุนของเขาได้ออกมาจากคุก หรือพ้นคดีเพราะสมุนเหล่านี้อาจ “เปิดปาก” มากยิ่งขึ้น จนเป็นอันตรายต่อเขาในการหาเสียงนั่นเอง

แม้จะเสียแต้มไปมากในอาทิตย์ที่แสนสาหัสของทรัมป์ แต่เขาก็หาวิธีตอกกลับและกลบเรื่องเสียแต้ม ด้วยเรื่องครึกโครมอันใหม่ที่ทำให้เบนความสนใจได้เป็นอย่างดี

Rudy Giuliani อดีตนายกเทศมนตรี NYC และทนายความส่วนตัวของโดนัลด์ ทรัมป์
กำลังโหลดความคิดเห็น