ขณะที่คนทั้งโลกยังต้องเฝ้าระวังการระบาดของโควิด-19 ซึ่งยังสร้างปัญหาในหลายภูมิภาค และเห็นได้ชัดว่าหลายประเทศซึ่งประกาศผ่อนคลายมาตรการควบคุม ป้องกัน ต้องเผชิญกับการติดเชื้อ ดังจะเห็นได้
ในจีน เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และล่าสุด เยอรมนี
ในเยอรมนี มีพนักงานโรงฆ่าสัตว์ติดเชื้อกว่า 1,500 คน ในเมืองกูเตอร์สโลห์ ต้องปิดเมืองซึ่งมีคนอาศัยกว่า 3 แสนราย ต้องใช้ทหารเข้าช่วยในการตรวจหาเชื้อจากคนที่อยู่ในข่ายความเสี่ยง และยังมีความเป็นไปได้ที่จะต้องปิดล็อกพื้นที่กว้างกว่าเมืองนี้
แม้กระนั้น ประชาคมโลกได้เห็นและรับรู้อาการถือดี อวดเก่ง ไม่ใส่ใจต่อความเสี่ยงในบรรดาผู้นำประเทศ อย่างน้อย 3 รายซึ่งมีผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตมาก 3 อันดับแรกของโลก ช่วงที่ผ่านมา ได้พยายามไม่ยอมรับว่าโควิด-19 จะสร้างวิกฤตร้ายแรงทุกด้าน
นั่นคือ โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ฌาอีร์ โบลโซนารู ของบราซิล และบอริส จอห์นสัน ของอังกฤษ ทั้ง 3 คนมีพฤติกรรมไม่ต่างกัน ทำเป็นเก่ง ไม่กลัวการติดเชื้อ ไม่ยอมสวมหน้ากากอนามัยเมื่อไปปรากฏตัวในฝูงชน เสียงท้วงติงจากหลายฝ่ายก็ถูกเมินเฉย
เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีต่อประชาชน ซึ่งเห็นได้ชัดว่าคนผิวขาวส่วนใหญ่ที่ไปร่วมฟังทรัมป์หาเสียงที่เมืองทัลซา โอคลาโฮมา ส่วนใหญ่ไม่ยอมสวมหน้ากาก แม้จะนั่งชิดติดกันในสนามกีฬา และเจ้าหน้าที่ของทรัมป์ถูกพบว่าติดเชื้อมากถึง 8 ราย
ทรัมป์ยังหน้าแหก อารมณ์ยังขุ่นมัว เพราะคนไปร่วมฟังการปราศรัยมีเพียง 7 พันกว่าคน ในสนามมีความจุ 2 หมื่นคน เดิมคาดว่าจะมีคนมาเป็นล้าน จากตัวเลขการจอง
สหรัฐฯ เป็นอันดับหนึ่งในจำนวนคนติดเชื้อกว่า 2.3 ล้านคน เสียชีวิตแล้วกว่า 1.22 แสนคน และทรัมป์ยังปลดล็อกมาตรการต่างๆ ทั้งใช้คำพูดทีเล่นทีจริงเกี่ยวกับมาตรการตรวจหาเชื้อ ความล้มเหลวในการรับสถานการณ์ทำให้ทรัมป์ สิ้นความน่าเชื่อถือ
แต่ทรัมป์ก็ยังปากแข็ง ไม่ยอมรับความผิดพลาด โทษคนอื่นๆ หรือเหตุอื่น และสร้างเรื่องอื่นๆ มาเบี่ยงเบน กลบความล้มเหลวของตัวเอง ล่าสุด ออกคำสั่งห้ามคนต่างชาติที่มีฝีมือเข้าประเทศเพื่อทำงาน อ้างว่าต้องรักษางานไว้ให้คนอเมริกัน
คำสั่งดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อแรงงานหลายแสนคน โดยเฉพาะในภาคธุรกิจของสื่ออิเล็กทรอนิกส์ สร้างความไม่พอใจ ให้กูเกิล ทวิตเตอร์ เฟซบุ๊ก และอเมซอน ภาคธุรกิจคาดว่าจะส่งหนังสือแสดงความไม่เห็นด้วย เพราะจะทำให้ขาดแคลนแรงงานด้านนี้
ทรัมป์ยังไม่มีหนทางใดที่จะแก้ปัญหาโควิด-19 เพราะไม่ใส่ใจคำเตือนของบรรดาผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งต่างเข้าหน้าทรัมป์ไม่ติด เพราะไปให้ข้อมูลที่ทำให้ทรัมป์ไม่ชอบใจ ผู้เชี่ยวชาญเช่น ดร.แอนโธนี เฟาซี และโรเบิร์ต เรดฟิลด์ ของหน่วยซีดีซี ปิดปากเงียบ
ทั้งคู่เพิ่งไปให้ปากคำกับคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนวันอังคาร ร่วมกับหัวหน้าหน่วยงานอื่นๆ ซึ่งมีส่วนรับมือกับการระบาดของโควิด-19 โดยแสดงความกังวลว่าจะมีการระบาดรอบใหม่เพราะเห็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้นมากในหลายมลรัฐ ขณะที่ยังไร้วัคซีน
ผู้นำบราซิล นายฌาอีร์ โบลโซนารู ถูกมองว่าเป็น ทรัมป์แห่งละตินอเมริกา ก็มีพฤติกรรมไม่ต่างกัน ไม่สวมหน้ากากอนามัยเมื่อไปปรากฏตัวต่อสาธารณะ ออกแนวห้าว ไม่ฟังใคร และไม่เชื่อหลักวิทยาศาสตร์ ทำให้ตัวเลขติดเชื้อและตายมาเป็นอันดับ 2
คนบราซิลติดเชื้อกว่า 1.12 ล้านคน เสียชีวิตมากกว่า 5 หมื่นคน เป็นอันดับ 2 รองจากสหรัฐฯ เหยื่อส่วนใหญ่เป็นชนเผ่าในป่าลุ่มน้ำอเมซอน เข้าไม่ถึงระบบการรักษา และในชุมชนแออัดจำนวนมากในเมืองใหญ่ เช่น ริโอ เดอ จาเนโร บราซิเลีย และเซา เปาโล
การระบาดในบราซิลเพิ่งจะมีตัวเลขเพิ่มในอัตราสูงเดือนนี้เอง และเพื่อนบ้าน เช่น เปรู ชิลี โคลอมเบีย ก็มีตัวเลขคนติดเชื้อมากเช่นกัน เป็นแหล่งใหญ่ในย่านละตินอเมริกา
นายโบลโซนารู ทำตัวอวดเก่ง จนถูกศาลสั่งให้สวมหน้ากากอนามัยวันอังคาร ยังต้องรอดูว่าผู้นำลอกแบบทรัมป์จะกล้าฝืนคำสั่งศาลหรือไม่ และยังต้องดูว่าการติดเชื้อและเสียชีวิตรายวันของคนบราซิลจะลดลงหรือไม่ ถ้าผู้นำยังไม่มีมาตรการที่ได้ผล
อีกรายที่ออกแนวทรัมป์คือบอริส จอห์นสัน นายกฯ อังกฤษ ซึ่งมักไม่สวมหน้ากาก และล่าช้าในการปรับมาตรการตั้งรับโควิด-19 มีตัวเลขคนเสียชีวิตกว่า 5 หมื่นรายเช่นกัน และแต่ละวันการติดเชื้อและเสียชีวิตยังอยู่ในอัตราสูงกว่าประเทศอื่นๆ ในทวีปยุโรป
ก่อนหน้านี้ จอห์นสัน อ้างว่าต้องให้ประชาชนรับเชื้อและสร้างภูมิต้านทานเอง มาตรการควบคุมก็ไม่เข้มข้น จนกระทั่งการติดเชื้อและจำนวนคนตายมาก จนล้นโรงพยาบาลและสถานที่เก็บศพ ส่วนใหญ่เป็นคนผิวสีอื่นๆ เป็นชนกลุ่มน้อยที่เสียชีวิต
บางช่วงต้องใช้อาคารที่จอดรถเป็นสถานที่พักศพชั่วคราวสำหรับผู้เสียชีวิตซึ่งเป็นมุสลิม รอการนำไปฝัง กว่าจะออกมาตรการเข้ม การระบาดก็เป็นวงกว้าง แต่จอห์นสัน ก็เหมือนทรัมป์ ต้องการคลายมาตรการเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ ทั้งๆ ที่การระบาดยังไม่ลดลง
วันที่ 4 เดือนหน้า จอห์นสันจะให้หลายกิจการ เช่น บาร์ ร้านอาหาร ร้านเสริมสวย และร้านบริการอื่นๆ เปิดตามปกติ ยังเหลือกลุ่มเสี่ยงซึ่งต้องยังรอดูสถานการณ์ต่อไป
มีคนตั้งข้อสังเกตว่า ถ้าผู้นำทั้งทรัมป์ โบลโซนารู และจอห์นสัน ได้ประกาศมาตรการคุมเข้มเร็วกว่าที่เป็นอยู่ จำนวนคนติดเชื้อและตายคงไม่มากเท่านี้ แต่ทั้ง 3 คนมีความเหมือนกันคือไม่ฟังใคร ไม่เชื่อหลักวิทยาศาสตร์ ถือดี ไม่รับผิดชอบความเสียหาย
ทรัมป์ยังถูกผู้สื่อข่าวตั้งข้อสังเกตว่าเห็นชีวิตคนอเมริกันไม่มีความหมายหรืออย่างไร ถึงเอามาเป็นเรื่องโจ๊กในช่วงการปราศรัยหาเสียง การแถลงข่าว และน่าจะมีพื้นฐานของความคิดจากความรู้สึกเหยียดผิว เหยียดเชื้อชาติ แนวคิดขวาจัดแบบไม่ปิดบัง
ผู้เชี่ยวชาญที่ให้ปากคำต่อคณะกรรมาธิการให้รอดูว่าอีก 2 สัปดาห์จากนี้ไป ตัวเลขจะเพิ่มมากหรือไม่ จากการชุมนุมในพื้นที่ต่างๆ รวมทั้งในโอคลาโฮมาด้วย และต้องดูว่าในพื้นที่อื่นๆ ในหลายทวีปซึ่งส่อเค้าว่าการระบาดรอบสองเป็นไปได้สูงมาก