ป้อมพระสุเมรุ
ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ภารกิจยังไม่ทันจะเสร็จดี ก็เริ่มจะแบ่งสมบัติกันแล้ว
ความเคลื่อนไหวของแกนนำรัฐบาล พรรคพลังประชารัฐ ที่ความวุ่นวายภายในพรรค “ยกแรก” น่าจะใกล้ปิดฉาก เมื่อปล่อยข่าวล็อควันเรียบร้อยว่า จะมีการประชุมใหญ่สามัญของพรรคเพื่อเลือกกรรมการบริหารพรรคชุดใหญ่ ในวันที่ 3 ก.ค.นี้
โดยมีชื่อ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและประธานยุทธศาสตร์พรรค เข้ามาเป็นหัวหน้าพรรค แทนที่ อุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่ปลุกปั้นพรรคมา
ขณะที่เก้าอี้ “แม่บ้าน” เลขาธิการพรรค ที่ถือเป็น “เบอร์ 2” ในทางการเมือง ยังดูไม่ลงตัว เนื่องจากมีแคนดิเดตท้าชิงหลายคน ที่เด่นๆ ก็คงรายของ “เสี่ยเมืองมะขามหวาน” สันติ พร้อมพัฒน์* รัฐมนตรีคลัง กับ “เสี่ยแฮ้งค์” อนุชา นาคาศัย ส.ส.ชัยนาท และประธานยุทธศาสตร์
ที่พยายามความที่เป็น “เบอร์ 2” ของพรรค เท่ากับการันตีเก้าอี้ “กระทรวงเกรดเอ” ไปในตัว
อย่างไรก็ดี การประชุมใหญ่ของพรรคยังต้องรอต้นเดือน ก.ค. อีกทั้งการปรับคณะรับมนตรี ทาง “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ก็ย้ำชัดว่าเป็นอำนาจของตัวเองแต่เพียงผู้เดียว
ก็ต้องจับตาดูว่า จะเป็นไปตามที่ “ขบวนการป่วน” วาดฝันไว้หรือไม่
หันมาดูฟากฝั่งสภาผู้แทนราษฎร ที่บรรดา “ขบวนการป่วน” เริ่มขยับจองบำเหน็จให้เห็นบ้าง เริ่มที่ สิระ เจนจาค ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ แห่งกลุ่มสามมิตร ที่ขยันป่วนเป็นข่าวได้แทบทุกวันจนเข้าตาผู้ใหญ่
สบช่องจากการเปลี่ยนแปลงจำนวน ส.ส.ฝ่ายค้าน และรัฐบาล ผลพวงจากการที่อดีตพรรคอนาคตใหม่ถูกยุบ และมี ส.ส.บางส่วนย้ายไปสังกัดพรรคฝ่ายรัฐบาล ส่งผลไปถึงโควตาตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการสามัญจำนวน 35 คณะ ที่เดิมอดีตพรรคอนาคตใหม่ได้เป็นประธาน 6 คณะ
เหลือเพียง 4 คณะเป็นมรดกมาถึงพรรคก้าวไกล ตามสัดส่วน ส.ส.ที่ลดลง
พอดิบพอดีกับที่ 2 ใน 11 อดีต ส.ส.อนาคตใหม่ที่ถูกตัดสิทธิก็เป็นประธานคณะกรรมาธิการสามัญอยู่ คือ “จารย์ป๊อก” ปิยบุตร แสงกนกกุล อดีตประธานคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน และ “เสธ.โหน่ง” พล.ท.พงศกร รอดชมภู อดีตประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ
และเมื่อคำนวณจากจำนวน ส.ส.ทั้งสภาฯ 487 คน ปรากฏว่า 2 ที่นั่งประธานกรรมาธิการฯ ที่ว่างลงตกเป็นของพรรคพลังประชารัฐ 1 คณะ และพรรคเศรษฐกิจใหม่ 1 คณะ
ในส่วนของพรรคพลังประชารัฐเลือกไปที่ คณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน แบบไม่ต้องคิดมาก เพราะถือเป็น “คณะหลัก” ที่อดีตอนาคตใหม่ ใช้เดินเกมตรวจสอบจนเป็นที่รำคาญใจของ “บิ๊กรัฐบาล” ในหลายเรื่อง
การให้ความสำคัญกับคณะกรรมาธิการนี้ของอดีตพรรคอนาคตใหม่ ดูได้จากการที่ส่ง 3 คีย์แมนของพรรค ทั้ง “ปิยุบตร”-“สาวช่อ” พรรณิการ์ วาณิช รวมถึง รังสิมันต์ โรม ที่ไม่ได้ถูกตัดสิทธิ์และเป็น ส.ส.ก้าวไกล อยู่ เข้ามาอยู่ในคณะเดียวกัน
เมื่อโควตามาอยู่ในมือพรรคพลังประชารัฐ ก็บังเอิญเหลือเกินว่า ในคณะกรรมาธิการนี้มี ส.ส.พลังประชารัฐร่วมอยู่ 4 คน คือ สิระ เจนจาคะ - ร.ต.อ.อรุณ สวัสดี - ศาสตรา ศรีปาน - อาดิลัน อาลีอิสเฮาะ
ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็น ส.ส.สมัยแรกทั้งสิ้น
ต้องไม่ลืมความสำคัญของการได้เป็น “ประธานกรรมาธิการ” ด้วยว่าแตกต่างจากกรรมาธิการปกติพอสมควร ทั้งในแง่เกียรติยศ หรือน้ำหนักในการลงมติ ตามปกติกว่าที่ ส.ส.คนหนึ่งจะได้เป็นประธาน ต้องเป็นที่ยอมรับพอสมควร สั่งสมประสบการณ์ ส.ส. 2-3 สมัย มีความโดดเด่นในการทำหน้าที่ในสภาฯ
อย่างพรรคเพื่อไทย หรือพรรคประชาธิปัตย์ แย่งชิงกันดุเดือดไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าตำแหน่งรัฐมนตรีซักเท่าไร ตบตีกันเกือบพรรคแตกมาหลายครั้งแล้วในอดีต
ว่ากันว่าตอนนี้ “สิระ” กำลังวิ่งล็อบบี้อย่างหนักเพื่อต้องการคว้าเก้าอี้ประธานเพื่อเป็นเกียรติภูมิให้กับตัวเอง แม้จะไม่ได้มีบทบาทโดดเด่นในแง่การกฎหมาย หรือยุติธรรมให้เห็นก็ตาม โดยเคลมผลงานกับ “ผู้ใหญ่” ว่าที่ผ่านมาทุ่มเทเสียสละให้กับพรรคมาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้าไปเป็น กรรมาธิการการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร ที่มี พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย เป็นประธานกรรมาธิการ และป่วนจนกรรมาธิการชุดนั้นแทบจะทำงานไม่ได้มาตลอดเกือบ 1 ปีที่ผ่านมา
อีกทั้งยังมีผลงานโบว์แดง ในการสร้างข่าวกดดันขับไล่ “อุตตม- สนธิรัตน์” ออกจากตำแหน่งหัวหน้าและเลขาธิการพรรคแทบทุกวันอีกด้วย
ตามกระแสข่าวระบุว่า “ผู้ใหญ่ในพรรค” ก็เห็นดีเห็นงามกดไฟเขียวให้ “สิระ” แต่งตัวจ่อเป็นประธานคณะกรรมาธิการป้ายแดงแล้วเสียด้วย
โดยไม่มีการพูดถึง “พฤติการณ์ขัดแย้ง” จากกรณีที่ไปลงพื้นที่ จ.ภูเก็ต แล้วไป “กร่าง” ใส่ตำรวจ สภ.กะรน โวยวายใหญ่โตว่า ไม่ยอมมาอารักขา จนฮือฮาไปทั่วสังคมออนไลน์ และประธานสภาผู้แทนราษฎรส่งความเห็นของ ส.ส. 57 คน ขอให้พิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 82 ว่าสมาชิกสภาพความเป็น ส.ส. ของ “สิระ” สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 101 (7) ประกอบมาตรา 185 (1) หรือไม่ เนื่องจากใช้สถานะหรือตำแหน่งการเป็นส.ส. กระทำการก้าวก่าย แทรกแซงเพื่อประโยชน์ของตนเองในการปฏิบัติราชการหรือการดำเนินงานในหน้าที่ประจำของข้าราชการ ไว้พิจารณาวินิจฉัย
เดิมศาลรัฐธรรมนูญมีนักอ่านคำวินิจฉัยในวันที่ 10 มิ.ย.ที่ผ่านมา แต่เลื่อนไปในวันที่ 1 ก.ค.นี้แทน
ไม่เท่านั้นยังมีข้อเท็จจริงด้วยว่า “สิระ” มีชื่อเป็นผู้กระทำผิดตั้งแต่ทำร้ายร่างกาย, หมิ่นประมาท, ฉ้อโกง หรือแม้แต่คดีที่มีความผิดตาม พ.ร.บ.เช็ค, และคดีขับรถประมาท อีกกว่า 20 คดี
หากพรรคพลังประชารัฐตัดสินใจส่ง “สิระ” ขึ้นเป็นประธานคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน จริง และเจ้าตัวยังคงสร้างวีรกรรมแบบเดิม ก็น่ากลัวเหลือเกินว่า ผลร้ายจะตกกลับมาที่พรรคอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ในทำนองใกล้เคียงกัน ธีรัจชัย พันธุมาศ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร ก็ออกมา “ดักคอ” ฝ่ายรัฐบาล ที่กำลังแทรกแซงการตั้งกรรมาธิการเพิ่มเติม แทน จุลพันธ์ โนนศรีชัย อดีต ส.ส.พรรคก้าวไกล ที่ย้ายไปสังกัดพรรคชาติไทยพัฒนา
ท่ามกลางกระแสข่าวว่า พรรคพลังประชารัฐเตรียมส่งเบอร์ใหญ่อย่าง “เฮียยักษ์” วิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และประธานคณะกรรมการประสานงาน (วิป) พรรคร่วมรัฐบาล อีกหนึ่งโต้โผใหญ่ในขบวนการป่วนพรรคพลังประชารัฐ เข้าไปร่วมเป็นกรรมาธิการคณะนี้
ที่ “ธีรัจชัย” ต้องรีบออกมาดักคอ ไม่เพียงแต่กังวลในเรื่องสัดส่วนกรรมาธิการของฝ่ายค้านที่จะเสียเปรียบฝ่ายรัฐบาลจนทำหน้าที่ไม่ได้ และย่อมกระทบกลไกการทำงานของกรรมาธิการในการตรวจสอบรัฐบาล ที่ “ตามธรรมเนียม” ต้องให้เสียงของฝ่ายค้านมากกว่า เพื่อประสิทธิภาพในการตรวจสอบแล้ว
ยังห่วงถึงภาพลักษณ์ของ “กรรมาธิการปราบโกง” ด้วย เนื่องจาก “วิรัช” ถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปราบการทุริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดกรณีการทุจริตสนามฟุตซอล ที่ขณะนี้อยู่ในระหว่างรออัยการสั่งฟ้อง เรียกว่าไม่เหมาะสมกับกรรมาธิการชุดนี้อย่างแรง
อีกทั้งน่าสังเกตว่า ส.ส.รุ่นใหญ่อย่าง “วิรัช” ที่โดยมากแล้วไม่ค่อยให้น้ำหนักกับการทำหน้าที่ในกรรมาธิการเท่าไร กลับเจาะจงจะเข้ามาร่วม “กรรมาธิการปราบโกง” ในขณะที่ตัวเองมีคดีติดตัว ครั้นจะเข้ามาผนึกกำลังป่วนกวนใจ “เสรีพิศุทธ์” ก็ดูจะเป็นเหตุผลที่บางเบาเกินไป เพราะแค่ สิระ, ไพบูลย์ นิติตะวัน และขาดไม่ได้ “เอ๋ โพธาราม” ปารีณา ไกรคุปต์ ก็ทำเอา “กรรมาธิการปราบโกง” ดันงานไม่ออกแล้ว
น่ากลัวจะเป็นไปตามเสียงลือเสียงเล่าอ้างถึง “ส่วนแบ่ง” จากเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ 4 แสนล้านบาท ที่มีการแบ่งสรรให้ ส.ส.ซีกรัฐบาลคนละ 80 ล้านบาท ในรูปแบบโครงการลงพื้นที่
ว่ากันว่าในส่วนของ “คนโตในวิปรัฐบาล” รับเป็น “หน้าเสื่อ” แจกจ่าย ให้กับ ส.ส.ในพรรคตัวเอง ในแบบที่ “ใครไม่ใช่พวก” ก็อด
กลัวว่าทำไปทำมาแล้วเรื่องแดงขึ้นมา ถูกชงเข้า “กรรมาธิการปราบโกง” จะได้บล็อกกันทันหรือเปล่า.