ผู้จัดการรายวัน360-“บิ๊กตู่”เป็นประธานประชุม คนร. ไฟเขียวแผนฟื้นฟูกิจการ ขสมก. แนะยึดประโยชน์ประชาชน ลดภาระหนี้สิน “ศักดิ์สยาม”เผยรายละเอียดแผนฟื้นฟูฉบับปรับปรุงใหม่ รัฐรับล้างหนี้ 1.27 แสนล้าน เลิกซื้อรถ ปรับเป็นเช่า จ้างเอกชนวิ่ง 108 เส้นทาง 2,511 คัน ดึงรถร่วมวิ่ง 1,500 คัน 54 เส้นทาง เก็บค่าตั๋วเหมา 30 บาทต่อวัน ไม่จำกัดเที่ยว เตรียมเปิดประมูลก.ค.-ก.ย.นี้ ลั่นปี 72 เลิกขาดทุน คิวต่อไปเล็งเล็งฟื้นฟู รฟท.-บขส.
นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วานนี้ (8 มิ.ย.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ครั้งที่ 3/2563 ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล โดยได้มอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณารายละเอียด เพื่อให้สามารถเดินแผนฟื้นฟูให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และทำให้ ขสมก. สามารถฟื้นกลับมามีกำไรและเป็นองค์กรที่น่าภาคภูมิใจได้สำเร็จ ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาต่อไป
ทั้งนี้ นายกฯ ได้เน้นย้ำถึงแนวทางของรัฐบาลในการฟื้นฟูกิจการ ขสมก. โดยให้มองประชาชนเป็นหลัก และสามารถบริหารจัดการภาระหนี้สินได้โดยไม่กระทบหลักการงบประมาณ
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม กล่าวว่า คนร. ได้เห็นชอบแผนฟื้นฟูกิจการ ขสมก. ซึ่งมีรายละเอียดเปลี่ยนแปลงจากแผนฟื้นฟูเดิมที่ ครม. เคยมีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 25 มิ.ย.2562 เช่น การจัดหารถโดยสารปรับอากาศ จำนวน 2,511 คัน จากการซื้อและเช่า เป็นการจ้างวิ่งตามระยะทาง ปรับปรุงเส้นทางเดินรถไม่ให้ทับซ้อน เปลี่ยนค่าโดยสารจาก 15-20-25 บาทตามระยะทาง เป็น 30 บาทต่อวันไม่จำกัดเที่ยว เป็นต้น โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งพิจารณาแผนฟื้นฟูฯ และการบริหารจัดการหนี้อย่างละเอียด เพื่อเสนอ ครม. ภายในเดือนมิ.ย.2563 นี้
โดยการเสนอ ครม. จะเสนอใน 4 ประเด็น คือ ทบทวนมติ ครม. เดิม เพื่อให้ ขสมก. เช่ารถโดยสารไฟฟ้า (EV) จำนวน 2,511 คัน และจ้างเอกชนเดินรถบริการ (NGV) จำนวน 1,500 คัน ขอจัดสรรงบประมาณ ประจำปี 2565 สำหรับโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด จำนวน 5,301 คน วงเงิน 4,560 ล้านบาท ขอให้รับภาระหนี้สิน 127,786.1 ล้านบาท และขอเงินอุดหนุนค่าบริการเชิงสังคม (PSO) จำนวน 7 ปี วงเงิน 9,674 ล้านบาท
นายศักดิ์สยามกล่าวว่า ปัจจุบันสภาพรถ ขสมก. เก่า และชำรุด ใช้งานมากว่า 20 ปี อีก 3 ปี อะไหล่จะเลิกผลิต มีปัญหาค่าเหมาซ่อมสูง และค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร ทำให้มีผลประกอบการขาดทุนสะสมตั้งแต่ปี 2519 และถึงวันที่ 31 มี.ค.2562 มีหนี้สินรวม 123,824.9 ล้านบาท หรือขาดทุนประมาณ 360 ล้านบาทต่อเดือน (ดอกเบี้ยจ่าย 233 ล้านบาท) โดยแบ่งเป็นหนี้จากการออกพันธบัตร จำนวน 64,339.1 ล้านบาท และหนี้เงินกู้ อีก 63,446.9 ล้านบาท ซึ่งจะมีกำหนดครบชำระทยอยแต่ละปี และตามแผนฟื้นฟู ขสมก.เป็นรัฐวิสาหกิจ กระทรวงการคลังจะเข้ามาดูแลรับภาระหนี้
สำหรับแผนการปรับปรุงเส้นทางเดินรถจาก 269 เส้นทาง เป็น 162 เส้นทาง (ขสมก. 108 เส้นทาง รถร่วมเอกชน 54 เส้นทาง) เพื่อไม่ให้ทับซ้อน โดย ขสมก. จะจัดหารถ EV จำนวน 2,511 คัน ในรูปแบบการจ้างวิ่งจ่ายค่าเช่าตามระยะทาง เอกชนต้องรับภาระค่าเชื้อเพลิง ค่าซ่อมบำรุงทั้งหมด โดยเลือกรายที่เสนอค่าจ้างวิ่งต่ำสุด ซึ่งจากการศึกษาของทีดีอาร์ไอ และสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจร.) การเดินรถเฉลี่ยจะอยู่ที่ 240 กม.ต่อคันต่อวัน ดังนั้น ต้นทุนหลังจากนี้ จะอยู่ที่ราคาประมูลของเอกชนเท่าไร นำมาคูณกับจำนวนรถที่เช่า ซึ่งคาดว่าจะมีต้นทุนค่าจ้างวิ่งประมาณ 4,000 ล้านบาทต่อปี ขณะที่ปัจจุบัน ขสมก. มีต้นทุนการบริการกว่า 50 บาทต่อกม. ดังนั้น เอกชนต้องเสนอราคาที่ต่ำกว่านี้แน่นอน
ส่วนรถร่วมเอกชนมี 54 เส้นทางนั้น จะเป็นรถ NGV จำนวน 1,500 คัน ซึ่ง ขสมก. จะจ้างให้เอกชนมาร่วมเดินรถ โดยจ่ายค่าเช่าวิ่งตามกิโลเมตร เพื่อให้โครงสร้างค่าโดยสารเหมือน ขสมก. ที่ 30 บาทต่อวัน ไม่จำกัดเที่ยว หากไม่จ้างเอกชนวิ่ง ประชาชนจะต้องจ่ายค่าโดยสารเส้นทางของรถร่วมเอกชน ที่ 15-20-25 บาท
ทั้งนี้ หลังครม.อนุมัติ ขสมก.จะเร่งออกทีโออาร์เปิดประมูลรถ 2,511 คันในเดือนก.ค.–ก.ย.2563 ลงนามสัญญาปลายก.ย.2563 เริ่มรับมอบรถคันแรก ในมี.ค.2564 ส่งมอบเดือนละ 400 คัน ครบใน 7 เดือน (ก.ย.2564) กำหนดระยะเวลาสัญญาเช่าวิ่ง 7 ปี แบ่งออกเป็น 3 สัญญา จากก่อนหน้านี้ จะให้เป็นสัญญาเดียว แต่เกรงว่าจะเกิดการผูกขาด ส่วนรถร่วมเอกชนที่จะเข้ามารับจ้างวิ่ง 54 เส้นทาง จำนวน 1,500 คัน เริ่มส่งมอบเดือนพ.ค.2564 เดือนละ 300 คันครบในก.ย.2564
“แผนฟื้นฟูใหม่ จะลดค่าครองชีพประชาชน ใช้ 30 บาทต่อวัน นั่งไม่จำกัดเที่ยวและเส้นทาง ผู้สูงอายุจ่าย 15 บาท ลด 50% บัตรรายเที่ยว 15 บาท บัตรรายเดือน เช่น นักเรียน นักศึกษา 630 บาทต่อเดือน หรือ 21 บาทต่อวัน บุคคลทั่วไป 720 บาทต่อเดือน หรือ 24 บาทต่อวัน ซึ่งก่อนเกิดโควิด-19 มีผู้ใช้บริการรถเมล์ประมาณ 2 ล้านคนต่อวัน หากอนาคตมีปริมาณผู้โดยสารเพิ่ม จะเพิ่มจำนวนรถที่เช่าจ้างวิ่งรถได้ง่าย”
นายศักดิ์สยามกล่าวว่า เป้าหมายแผนฟื้นฟู จะทำให้ ขสมก. มีผลดำเนินงาน EBITDA เป็นบวก ในปี 2572 หรือไม่ขาดทุนอีกต่อไป โดยจะมีการปรับลดพนักงานต่อรถ 1 คน จาก 4.65 คน เหลือ 2.75 คน และจะมีการเกษียณอายุก่อนกำหนด จำนวน 5,301 คน ใช้เงิน 4,560 ล้านบาท จะไม่มีการรับพนักงานเพิ่มแทนผู้เกษียณ ซึ่งพบว่าคนขับรถที่เป็นพนักงาน ขสมก. จะเกษียณหมดในปี 2603 หลังจากนั้น คนขับรถจะเป็นของเอกชนที่นำรถมารับจ้างวิ่งทั้งหมด
นอกจากนี้ จะขอรับเงินสนับสนุน (PSO) เป็นเวลา 7 ปี (65-71) จำนวน 9,674 ล้านบาท โดย PSO ปีแรกประมาณ 2,000 กว่าล้านบาท และมีแผนหารายได้เพิ่มจากการพัฒนาพื้นที่เชิงธุรกิจ โดยให้เอกชนร่วมทุน ที่อู่บางเขน เนื้อที่ 11 ไร่เศษ อู่มีนบุรี กว่า 10 ไร่
นายศักดิ์สยามกล่าวว่า รัฐวิสาหกิจสังกัดกระทรวงคมนาคมที่ต้องฟื้นฟูก่อนหน้านี้ คือ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งได้เข้าสู่กระบวนการศาลล้มละลายและพ้นจากสังกัดกระทรวงคมนาคมไปแล้ว ส่วน ขสมก. ยังไม่ถึงขั้นที่ต้องไปศาลล้มละลาย เพราะได้มีการปรับปรุงการบริหาร เพื่อลดค่าใช้จ่ายและต้นทุนเรื่องซ่อมบำรุง โดยให้เอกชนมารับจ้างวิ่งและบริหารต้นทุน โดย ขสมก. เก็บค่าโดยสาร จ่ายเป็นค่าจ้างวิ่งตามระยะทาง และเป็นผู้กำกับการบริการเพื่อให้มีคุณภาพ
อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้ จะมีการเร่งฟื้นฟูการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และบริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) ซึ่งมีปัญหาหนี้สินสะสมและขาดทุนต่อไป
นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วานนี้ (8 มิ.ย.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ครั้งที่ 3/2563 ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล โดยได้มอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณารายละเอียด เพื่อให้สามารถเดินแผนฟื้นฟูให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และทำให้ ขสมก. สามารถฟื้นกลับมามีกำไรและเป็นองค์กรที่น่าภาคภูมิใจได้สำเร็จ ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาต่อไป
ทั้งนี้ นายกฯ ได้เน้นย้ำถึงแนวทางของรัฐบาลในการฟื้นฟูกิจการ ขสมก. โดยให้มองประชาชนเป็นหลัก และสามารถบริหารจัดการภาระหนี้สินได้โดยไม่กระทบหลักการงบประมาณ
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม กล่าวว่า คนร. ได้เห็นชอบแผนฟื้นฟูกิจการ ขสมก. ซึ่งมีรายละเอียดเปลี่ยนแปลงจากแผนฟื้นฟูเดิมที่ ครม. เคยมีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 25 มิ.ย.2562 เช่น การจัดหารถโดยสารปรับอากาศ จำนวน 2,511 คัน จากการซื้อและเช่า เป็นการจ้างวิ่งตามระยะทาง ปรับปรุงเส้นทางเดินรถไม่ให้ทับซ้อน เปลี่ยนค่าโดยสารจาก 15-20-25 บาทตามระยะทาง เป็น 30 บาทต่อวันไม่จำกัดเที่ยว เป็นต้น โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งพิจารณาแผนฟื้นฟูฯ และการบริหารจัดการหนี้อย่างละเอียด เพื่อเสนอ ครม. ภายในเดือนมิ.ย.2563 นี้
โดยการเสนอ ครม. จะเสนอใน 4 ประเด็น คือ ทบทวนมติ ครม. เดิม เพื่อให้ ขสมก. เช่ารถโดยสารไฟฟ้า (EV) จำนวน 2,511 คัน และจ้างเอกชนเดินรถบริการ (NGV) จำนวน 1,500 คัน ขอจัดสรรงบประมาณ ประจำปี 2565 สำหรับโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด จำนวน 5,301 คน วงเงิน 4,560 ล้านบาท ขอให้รับภาระหนี้สิน 127,786.1 ล้านบาท และขอเงินอุดหนุนค่าบริการเชิงสังคม (PSO) จำนวน 7 ปี วงเงิน 9,674 ล้านบาท
นายศักดิ์สยามกล่าวว่า ปัจจุบันสภาพรถ ขสมก. เก่า และชำรุด ใช้งานมากว่า 20 ปี อีก 3 ปี อะไหล่จะเลิกผลิต มีปัญหาค่าเหมาซ่อมสูง และค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร ทำให้มีผลประกอบการขาดทุนสะสมตั้งแต่ปี 2519 และถึงวันที่ 31 มี.ค.2562 มีหนี้สินรวม 123,824.9 ล้านบาท หรือขาดทุนประมาณ 360 ล้านบาทต่อเดือน (ดอกเบี้ยจ่าย 233 ล้านบาท) โดยแบ่งเป็นหนี้จากการออกพันธบัตร จำนวน 64,339.1 ล้านบาท และหนี้เงินกู้ อีก 63,446.9 ล้านบาท ซึ่งจะมีกำหนดครบชำระทยอยแต่ละปี และตามแผนฟื้นฟู ขสมก.เป็นรัฐวิสาหกิจ กระทรวงการคลังจะเข้ามาดูแลรับภาระหนี้
สำหรับแผนการปรับปรุงเส้นทางเดินรถจาก 269 เส้นทาง เป็น 162 เส้นทาง (ขสมก. 108 เส้นทาง รถร่วมเอกชน 54 เส้นทาง) เพื่อไม่ให้ทับซ้อน โดย ขสมก. จะจัดหารถ EV จำนวน 2,511 คัน ในรูปแบบการจ้างวิ่งจ่ายค่าเช่าตามระยะทาง เอกชนต้องรับภาระค่าเชื้อเพลิง ค่าซ่อมบำรุงทั้งหมด โดยเลือกรายที่เสนอค่าจ้างวิ่งต่ำสุด ซึ่งจากการศึกษาของทีดีอาร์ไอ และสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจร.) การเดินรถเฉลี่ยจะอยู่ที่ 240 กม.ต่อคันต่อวัน ดังนั้น ต้นทุนหลังจากนี้ จะอยู่ที่ราคาประมูลของเอกชนเท่าไร นำมาคูณกับจำนวนรถที่เช่า ซึ่งคาดว่าจะมีต้นทุนค่าจ้างวิ่งประมาณ 4,000 ล้านบาทต่อปี ขณะที่ปัจจุบัน ขสมก. มีต้นทุนการบริการกว่า 50 บาทต่อกม. ดังนั้น เอกชนต้องเสนอราคาที่ต่ำกว่านี้แน่นอน
ส่วนรถร่วมเอกชนมี 54 เส้นทางนั้น จะเป็นรถ NGV จำนวน 1,500 คัน ซึ่ง ขสมก. จะจ้างให้เอกชนมาร่วมเดินรถ โดยจ่ายค่าเช่าวิ่งตามกิโลเมตร เพื่อให้โครงสร้างค่าโดยสารเหมือน ขสมก. ที่ 30 บาทต่อวัน ไม่จำกัดเที่ยว หากไม่จ้างเอกชนวิ่ง ประชาชนจะต้องจ่ายค่าโดยสารเส้นทางของรถร่วมเอกชน ที่ 15-20-25 บาท
ทั้งนี้ หลังครม.อนุมัติ ขสมก.จะเร่งออกทีโออาร์เปิดประมูลรถ 2,511 คันในเดือนก.ค.–ก.ย.2563 ลงนามสัญญาปลายก.ย.2563 เริ่มรับมอบรถคันแรก ในมี.ค.2564 ส่งมอบเดือนละ 400 คัน ครบใน 7 เดือน (ก.ย.2564) กำหนดระยะเวลาสัญญาเช่าวิ่ง 7 ปี แบ่งออกเป็น 3 สัญญา จากก่อนหน้านี้ จะให้เป็นสัญญาเดียว แต่เกรงว่าจะเกิดการผูกขาด ส่วนรถร่วมเอกชนที่จะเข้ามารับจ้างวิ่ง 54 เส้นทาง จำนวน 1,500 คัน เริ่มส่งมอบเดือนพ.ค.2564 เดือนละ 300 คันครบในก.ย.2564
“แผนฟื้นฟูใหม่ จะลดค่าครองชีพประชาชน ใช้ 30 บาทต่อวัน นั่งไม่จำกัดเที่ยวและเส้นทาง ผู้สูงอายุจ่าย 15 บาท ลด 50% บัตรรายเที่ยว 15 บาท บัตรรายเดือน เช่น นักเรียน นักศึกษา 630 บาทต่อเดือน หรือ 21 บาทต่อวัน บุคคลทั่วไป 720 บาทต่อเดือน หรือ 24 บาทต่อวัน ซึ่งก่อนเกิดโควิด-19 มีผู้ใช้บริการรถเมล์ประมาณ 2 ล้านคนต่อวัน หากอนาคตมีปริมาณผู้โดยสารเพิ่ม จะเพิ่มจำนวนรถที่เช่าจ้างวิ่งรถได้ง่าย”
นายศักดิ์สยามกล่าวว่า เป้าหมายแผนฟื้นฟู จะทำให้ ขสมก. มีผลดำเนินงาน EBITDA เป็นบวก ในปี 2572 หรือไม่ขาดทุนอีกต่อไป โดยจะมีการปรับลดพนักงานต่อรถ 1 คน จาก 4.65 คน เหลือ 2.75 คน และจะมีการเกษียณอายุก่อนกำหนด จำนวน 5,301 คน ใช้เงิน 4,560 ล้านบาท จะไม่มีการรับพนักงานเพิ่มแทนผู้เกษียณ ซึ่งพบว่าคนขับรถที่เป็นพนักงาน ขสมก. จะเกษียณหมดในปี 2603 หลังจากนั้น คนขับรถจะเป็นของเอกชนที่นำรถมารับจ้างวิ่งทั้งหมด
นอกจากนี้ จะขอรับเงินสนับสนุน (PSO) เป็นเวลา 7 ปี (65-71) จำนวน 9,674 ล้านบาท โดย PSO ปีแรกประมาณ 2,000 กว่าล้านบาท และมีแผนหารายได้เพิ่มจากการพัฒนาพื้นที่เชิงธุรกิจ โดยให้เอกชนร่วมทุน ที่อู่บางเขน เนื้อที่ 11 ไร่เศษ อู่มีนบุรี กว่า 10 ไร่
นายศักดิ์สยามกล่าวว่า รัฐวิสาหกิจสังกัดกระทรวงคมนาคมที่ต้องฟื้นฟูก่อนหน้านี้ คือ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งได้เข้าสู่กระบวนการศาลล้มละลายและพ้นจากสังกัดกระทรวงคมนาคมไปแล้ว ส่วน ขสมก. ยังไม่ถึงขั้นที่ต้องไปศาลล้มละลาย เพราะได้มีการปรับปรุงการบริหาร เพื่อลดค่าใช้จ่ายและต้นทุนเรื่องซ่อมบำรุง โดยให้เอกชนมารับจ้างวิ่งและบริหารต้นทุน โดย ขสมก. เก็บค่าโดยสาร จ่ายเป็นค่าจ้างวิ่งตามระยะทาง และเป็นผู้กำกับการบริการเพื่อให้มีคุณภาพ
อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้ จะมีการเร่งฟื้นฟูการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และบริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) ซึ่งมีปัญหาหนี้สินสะสมและขาดทุนต่อไป