ซูเปอร์โพลชี้ ปชช. ร้อยละ 63.3 เป็นห่วงว่ารัฐบาลจะปรับครม. เอานักการเมืองเข้ามาหาผลประโยชน์เงินกู้ และถอนทุนคืน ที่สำคัญร้อยละ 85.1 ระบุข่าวการปรับครม. ทำให้ปชช.สงสัยในความไม่ชอบธรรมของรัฐบาล เผยฐานสนับสนุนรัฐบาลดิ่งฮวบ
นายนพดล กรรณิกา ผอ.นักวิจัยซูเปอร์โพล เผยผลสำรวจภาคสนาม เรื่อง ปรับคณะรัฐมนตรี เพื่อใคร กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ จำนวน 1,871 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 1 - 5 มิ.ย. ที่ผ่านมา
เมื่อถามถึงผลประเมินคนดีในคณะรัฐมนตรีชุดปัจจุบัน พบว่าร้อยละ 48.5 ระบุ มีคนดีอยู่บ้าง ในขณะที่ร้อยละ 37.3 ระบุ ไม่มีเลย แต่ร้อยละ 14.2 ระบุ มีคนดีอยู่มาก
ที่น่าเป็นห่วงคือ ความเห็นต่อรัฐบาลในข่าวการปรับครม. ปรับเพื่อใคร พบว่า ส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 63.3 มองว่า รัฐบาลจะปรับครม.เอานักการเมืองเข้ามาหาผลประโยชน์เงินกู้ และถอนทุนคืน ใช้เลือกตั้งต่อไป ในขณะที่ ร้อยละ 34.1 มองว่ารัฐบาลจะปรับเอาคนดีเข้ามาทำงาน แก้ความเดือดร้อนและปกป้องเงินกู้ผลประโยชน์ประชาชน
อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 85.1 ระบุ ข่าวการปรับครม. จะก่อให้เกิดความเคลือบแคลงสงสัยในหมู่ประชาชน ต่อความไม่ชอบธรรมของรัฐบาล แสวงหาผลประโยชน์จากเงินกู้ เข้ากระเป๋านักการเมือง ในขณะที่ร้อยละ14.9 ระบุ ไม่ใช่ที่น่าพิจารณาคือ ส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 66.8 ระบุ นายกรัฐมนตรีลอยตัวเหนือปัญหา ทำตัวเป็นพระเอกตลอดกาล ในขณะที่ร้อยละ 33.2 ระบุ นายกรัฐมนตรี ตื่นตัวแก้ปัญหา น้ำผึ้งหยดเดียว ปกป้อง รักษาคนดี
นอกจากนี้ ผลสำรวจยังพบแนวโน้มจุดยืนการเมืองของประชาชน ตั้งแต่เดือนต.ค.62 จนถึงล่าสุด หลังกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ ลาออก เมื่อเสร็จสิ้นการอภิปราย พ.ร.ก.กู้เงิน ผ่านสภาฯ โดยฐานสนับสนุนรัฐบาลลดฮวบ ดิ่งลงอีก จากร้อยละ 39.1 ในช่วงอภิปรายพ.ร.ก.กู้เงิน เหลือเพียง ร้อยละ 20.4 ในช่วงหลังการอภิปราย พ.ร.ก.กู้เงินผ่านสภาฯ และกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐลาออก
ผอ.ซูเปอร์โพล กล่าวว่า น้ำผึ้งหยดเดียว กำลังจะทำให้บ้านเมืองระส่ำระสาย สถานการณ์บ้านเมืองที่กำลังแย่อยู่แล้ว ยิ่งจะวิกฤต ตกต่ำลงไปอีก ทั้งๆ ที่ผู้หลักผู้ใหญ่ก็เคยมีประสบการณ์ความเลวร้ายของ บ้านเมืองมากมาย แต่กลับลอยตัวเหนือปัญหาแบบนี้ จะสั่งสอนอบรมลูกหลานเด็กและเยาวชนให้รักชาติบ้านเมืองได้อย่างไร ผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมืองหายไปไหนกันหมด ปล่อยให้สถานการณ์เละเทะแบบนี้ต่อไป อารมณ์คับแค้นใจ และความเคลือบแคลงสงสัยของประชาชนต่อความชอบธรรมของรัฐบาล จะกลายเป็นชนวนที่ติดเพลิงแห่งความขัดแย้งรุนแรงบานปลายได้ง่าย นายกรัฐมนตรี ควรรีบแสดงความเป็นผู้นำ ทำให้ คนดีได้ปกครองบ้านเมือง ไม่ต้องรอดูกระแสจนนาทีสุดท้าย เดี๋ยวจะสายเกินไป
นิด้าโพลชี้1ปี"นายกฯลุงตู่" ทำงานดีขึ้น
ขณะที่"นิด้าโพล"เผยผลสำรวจเรื่อง"1 ปี นายกประยุทธ์ ภายใต้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง" ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 1-2 มิ.ย.63 จากประชาชนทุกภูมิภาคทั่วประเทศ จำนวน 1,250 ตัวอย่าง
จากการดำรงตำแหน่งครบ 1 ปี ของนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ภายใต้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง พบว่าร้อยละ 15.92 ระบุว่า ทำงานในตำแหน่งนายกฯได้ดีมาก เพราะมุ่งมั่นในการพัฒนาประเทศ พูดจริงทำจริง ซื่อสัตย์สุจริต กล้าตัดสินใจ ร้อยละ 35.60 ระบุว่า ทำงานได้ค่อนข้างดี เพราะบริหารจัดการโรคโควิด-19 ได้ค่อนข้างดี แก้ปัญหาความไม่สงบได้ ดูแลจัดการบ้านเมืองได้ดี ร้อยละ 27.44 ระบุว่า ทำงานได้ไม่ค่อยดี เพราะการทำงานยังมีจุดบกพร่อง ยังแก้ไขไม่ตรงจุด การตัดสินใจล่าช้า แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้ไม่ดี มีเพียง ร้อยละ 20.48 ระบุว่า ทำงานได้ไม่ดีเลย
เมื่อเปรียบเทียบกับผลการสำรวจ 6 เดือน นายกฯประยุทธ์ เดือนธ.ค.62 พบว่าผู้ที่ระบุว่า ทำงานได้ไม่ดีเลย มีสัดส่วนลดลง ซึ่งในขณะที่ผู้ที่ระบุว่า ทำงานได้ดีมาก ทำได้ค่อนข้างดี มีสัดส่วนเพิ่มขึ้น
ส่วนลักษณะการทำงานในรอบ 1 ปี ของนายกฯ ประยุทธ์ ในด้านต่างๆ พบว่า
ด้านอุดมการณ์ในการทำงาน ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 54.72 ระบุว่า มีอุดมการณ์ และความตั้งใจทำงานเพื่อชาติและประชาชน ขณะที่ ร้อยละ 40.72 ระบุว่า ไม่มีอุดมการณ์ คิดแต่จะทำงานเพื่อรักษาอำนาจของตนเองและพรรคพวก
เมื่อเปรียบเทียบกับผลการสำรวจ 6 เดือนก่อน คือเดือนธ.ค.62 พบว่า ผู้ที่ระบุว่าไม่มีอุดมการณ์ มีสัดส่วนลดลง ในขณะที่ผู้ที่ระบุว่า มีอุดมการณ์ มีสัดส่วนเพิ่มขึ้น
ด้านความกล้าตัดสินใจ ร้อยละ 52.24 ระบุว่า มีความกล้าตัดสินใจในประเด็นทางการเมือง และการบริหารที่สำคัญ ขณะที่ ร้อยละ 43.84 ระบุว่า ไม่มีความกล้าตัดสินใจ
เมื่อเปรียบเทียบกับผลการสำรวจ 6 เดือนก่อน คือเมื่อ ธ.ค.62 พบว่า ผู้ที่ระบุว่าไม่มีความกล้าตัดสินใจ มีสัดส่วนลดลง ซึ่งในขณะที่ผู้ที่ระบุว่า มีความกล้าตัดสินใจ มีสัดส่วนเพิ่มขึ้น
ด้านประสิทธิภาพในการทำงานแก้ไขปัญหาของประเทศ พบว่า ส่วนใหญ่ ร้อยละ 49.76 ระบุว่า มีประสิทธิภาพในการทำงานแก้ไขปัญหาของประเทศ ขณะที่ร้อยละ 46.40 ระบุว่า ไม่มีประสิทธิภาพ
เมื่อเปรียบเทียบกับผลการสำรวจ 6 เดือนก่อน เมื่อเดือนธ.ค. 62 พบว่า ผู้ที่ระบุว่าไม่มีประสิทธิภาพในการทำงาน มีสัดส่วนลดลง ซึ่งในขณะที่ผู้ที่ระบุว่า มีประสิทธิภาพในการทำงาน มีสัดส่วนเพิ่มขึ้น
ด้านความโปร่งใส ตรวจสอบได้ พบว่า ส่วนใหญ่ ร้อยละ 45.76 ระบุว่า การทำงานไม่มีความโปร่งใส ตรวจสอบไม่ได้ ขณะที่ ร้อยละ 40.48 ระบุว่า การทำงานมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และร้อยละ 13.76 ไม่ทราบ/ไม่สนใจ/ไม่ตอบ
เมื่อเปรียบเทียบกับผลการสำรวจ 6 เดือนก่อน เมื่อเดือนธ.ค.62 พบว่า ผู้ที่ระบุว่า การทำงานไม่มีความโปร่งใส ตรวจสอบไม่ได้ มีสัดส่วนลดลง ในขณะที่ผู้ที่ระบุว่า การทำงานมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ มีสัดส่วนเพิ่มขึ้น
นายนพดล กรรณิกา ผอ.นักวิจัยซูเปอร์โพล เผยผลสำรวจภาคสนาม เรื่อง ปรับคณะรัฐมนตรี เพื่อใคร กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ จำนวน 1,871 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 1 - 5 มิ.ย. ที่ผ่านมา
เมื่อถามถึงผลประเมินคนดีในคณะรัฐมนตรีชุดปัจจุบัน พบว่าร้อยละ 48.5 ระบุ มีคนดีอยู่บ้าง ในขณะที่ร้อยละ 37.3 ระบุ ไม่มีเลย แต่ร้อยละ 14.2 ระบุ มีคนดีอยู่มาก
ที่น่าเป็นห่วงคือ ความเห็นต่อรัฐบาลในข่าวการปรับครม. ปรับเพื่อใคร พบว่า ส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 63.3 มองว่า รัฐบาลจะปรับครม.เอานักการเมืองเข้ามาหาผลประโยชน์เงินกู้ และถอนทุนคืน ใช้เลือกตั้งต่อไป ในขณะที่ ร้อยละ 34.1 มองว่ารัฐบาลจะปรับเอาคนดีเข้ามาทำงาน แก้ความเดือดร้อนและปกป้องเงินกู้ผลประโยชน์ประชาชน
อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 85.1 ระบุ ข่าวการปรับครม. จะก่อให้เกิดความเคลือบแคลงสงสัยในหมู่ประชาชน ต่อความไม่ชอบธรรมของรัฐบาล แสวงหาผลประโยชน์จากเงินกู้ เข้ากระเป๋านักการเมือง ในขณะที่ร้อยละ14.9 ระบุ ไม่ใช่ที่น่าพิจารณาคือ ส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 66.8 ระบุ นายกรัฐมนตรีลอยตัวเหนือปัญหา ทำตัวเป็นพระเอกตลอดกาล ในขณะที่ร้อยละ 33.2 ระบุ นายกรัฐมนตรี ตื่นตัวแก้ปัญหา น้ำผึ้งหยดเดียว ปกป้อง รักษาคนดี
นอกจากนี้ ผลสำรวจยังพบแนวโน้มจุดยืนการเมืองของประชาชน ตั้งแต่เดือนต.ค.62 จนถึงล่าสุด หลังกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ ลาออก เมื่อเสร็จสิ้นการอภิปราย พ.ร.ก.กู้เงิน ผ่านสภาฯ โดยฐานสนับสนุนรัฐบาลลดฮวบ ดิ่งลงอีก จากร้อยละ 39.1 ในช่วงอภิปรายพ.ร.ก.กู้เงิน เหลือเพียง ร้อยละ 20.4 ในช่วงหลังการอภิปราย พ.ร.ก.กู้เงินผ่านสภาฯ และกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐลาออก
ผอ.ซูเปอร์โพล กล่าวว่า น้ำผึ้งหยดเดียว กำลังจะทำให้บ้านเมืองระส่ำระสาย สถานการณ์บ้านเมืองที่กำลังแย่อยู่แล้ว ยิ่งจะวิกฤต ตกต่ำลงไปอีก ทั้งๆ ที่ผู้หลักผู้ใหญ่ก็เคยมีประสบการณ์ความเลวร้ายของ บ้านเมืองมากมาย แต่กลับลอยตัวเหนือปัญหาแบบนี้ จะสั่งสอนอบรมลูกหลานเด็กและเยาวชนให้รักชาติบ้านเมืองได้อย่างไร ผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมืองหายไปไหนกันหมด ปล่อยให้สถานการณ์เละเทะแบบนี้ต่อไป อารมณ์คับแค้นใจ และความเคลือบแคลงสงสัยของประชาชนต่อความชอบธรรมของรัฐบาล จะกลายเป็นชนวนที่ติดเพลิงแห่งความขัดแย้งรุนแรงบานปลายได้ง่าย นายกรัฐมนตรี ควรรีบแสดงความเป็นผู้นำ ทำให้ คนดีได้ปกครองบ้านเมือง ไม่ต้องรอดูกระแสจนนาทีสุดท้าย เดี๋ยวจะสายเกินไป
นิด้าโพลชี้1ปี"นายกฯลุงตู่" ทำงานดีขึ้น
ขณะที่"นิด้าโพล"เผยผลสำรวจเรื่อง"1 ปี นายกประยุทธ์ ภายใต้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง" ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 1-2 มิ.ย.63 จากประชาชนทุกภูมิภาคทั่วประเทศ จำนวน 1,250 ตัวอย่าง
จากการดำรงตำแหน่งครบ 1 ปี ของนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ภายใต้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง พบว่าร้อยละ 15.92 ระบุว่า ทำงานในตำแหน่งนายกฯได้ดีมาก เพราะมุ่งมั่นในการพัฒนาประเทศ พูดจริงทำจริง ซื่อสัตย์สุจริต กล้าตัดสินใจ ร้อยละ 35.60 ระบุว่า ทำงานได้ค่อนข้างดี เพราะบริหารจัดการโรคโควิด-19 ได้ค่อนข้างดี แก้ปัญหาความไม่สงบได้ ดูแลจัดการบ้านเมืองได้ดี ร้อยละ 27.44 ระบุว่า ทำงานได้ไม่ค่อยดี เพราะการทำงานยังมีจุดบกพร่อง ยังแก้ไขไม่ตรงจุด การตัดสินใจล่าช้า แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้ไม่ดี มีเพียง ร้อยละ 20.48 ระบุว่า ทำงานได้ไม่ดีเลย
เมื่อเปรียบเทียบกับผลการสำรวจ 6 เดือน นายกฯประยุทธ์ เดือนธ.ค.62 พบว่าผู้ที่ระบุว่า ทำงานได้ไม่ดีเลย มีสัดส่วนลดลง ซึ่งในขณะที่ผู้ที่ระบุว่า ทำงานได้ดีมาก ทำได้ค่อนข้างดี มีสัดส่วนเพิ่มขึ้น
ส่วนลักษณะการทำงานในรอบ 1 ปี ของนายกฯ ประยุทธ์ ในด้านต่างๆ พบว่า
ด้านอุดมการณ์ในการทำงาน ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 54.72 ระบุว่า มีอุดมการณ์ และความตั้งใจทำงานเพื่อชาติและประชาชน ขณะที่ ร้อยละ 40.72 ระบุว่า ไม่มีอุดมการณ์ คิดแต่จะทำงานเพื่อรักษาอำนาจของตนเองและพรรคพวก
เมื่อเปรียบเทียบกับผลการสำรวจ 6 เดือนก่อน คือเดือนธ.ค.62 พบว่า ผู้ที่ระบุว่าไม่มีอุดมการณ์ มีสัดส่วนลดลง ในขณะที่ผู้ที่ระบุว่า มีอุดมการณ์ มีสัดส่วนเพิ่มขึ้น
ด้านความกล้าตัดสินใจ ร้อยละ 52.24 ระบุว่า มีความกล้าตัดสินใจในประเด็นทางการเมือง และการบริหารที่สำคัญ ขณะที่ ร้อยละ 43.84 ระบุว่า ไม่มีความกล้าตัดสินใจ
เมื่อเปรียบเทียบกับผลการสำรวจ 6 เดือนก่อน คือเมื่อ ธ.ค.62 พบว่า ผู้ที่ระบุว่าไม่มีความกล้าตัดสินใจ มีสัดส่วนลดลง ซึ่งในขณะที่ผู้ที่ระบุว่า มีความกล้าตัดสินใจ มีสัดส่วนเพิ่มขึ้น
ด้านประสิทธิภาพในการทำงานแก้ไขปัญหาของประเทศ พบว่า ส่วนใหญ่ ร้อยละ 49.76 ระบุว่า มีประสิทธิภาพในการทำงานแก้ไขปัญหาของประเทศ ขณะที่ร้อยละ 46.40 ระบุว่า ไม่มีประสิทธิภาพ
เมื่อเปรียบเทียบกับผลการสำรวจ 6 เดือนก่อน เมื่อเดือนธ.ค. 62 พบว่า ผู้ที่ระบุว่าไม่มีประสิทธิภาพในการทำงาน มีสัดส่วนลดลง ซึ่งในขณะที่ผู้ที่ระบุว่า มีประสิทธิภาพในการทำงาน มีสัดส่วนเพิ่มขึ้น
ด้านความโปร่งใส ตรวจสอบได้ พบว่า ส่วนใหญ่ ร้อยละ 45.76 ระบุว่า การทำงานไม่มีความโปร่งใส ตรวจสอบไม่ได้ ขณะที่ ร้อยละ 40.48 ระบุว่า การทำงานมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และร้อยละ 13.76 ไม่ทราบ/ไม่สนใจ/ไม่ตอบ
เมื่อเปรียบเทียบกับผลการสำรวจ 6 เดือนก่อน เมื่อเดือนธ.ค.62 พบว่า ผู้ที่ระบุว่า การทำงานไม่มีความโปร่งใส ตรวจสอบไม่ได้ มีสัดส่วนลดลง ในขณะที่ผู้ที่ระบุว่า การทำงานมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ มีสัดส่วนเพิ่มขึ้น