มาถึงวันที่ 8 ที่ 9 เข้าไปแล้ว... “ม็อบอเมริกา” ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเหี่ยวโคน เหี่ยวปลายเอาง่ายๆ ยังมาแรงแซงโค้ง ไม่น้อยหน้าไปกว่า “ม็อบโจชัว หว่อง” หรือ “ม็อบฮ่องกง” ที่เคยสร้าง “ภาพอันงดงามแห่งประชาธิปไตย” ให้กับคุณพี่จีนจนแทบขาดอากาศหายใจไปก่อนหน้านี้ แถมผู้นำอเมริกา อย่าง “ทรัมป์บ้า” ยังคงขยันที่จะสาดน้ำมัน สาดวัตถุไวไฟ เข้าใส่กองเพลิงซึ่งกำลังลุกโชติช่วงอย่างเป็นระบบและเป็นกิจการ ปิดฉากสัปดาห์นี้...เลยแทบไม่รู้ว่าจะไปหาเรื่อง “เบาๆ” มาผ่อนคลายบรรยากาศกันในแบบไหน อย่างไร เพราะข่าวคราวเรื่องการประท้วงการจลาจลในอเมริกา กลายเป็นตัวแย่งชิงพื้นที่ข่าวไปด้วยกันทั้งสิ้น...
แต่สิ่งหนึ่งที่จะ “เบา” หรือจะ “หนัก” ก็ยังมิอาจสรุปได้...เพราะยังไม่ค่อยมีใครหยิบยกมาพูดถึงกันมากมายสักเท่าไหร่นัก คือในระหว่างช่วงที่อเมริกันชนทั้งหลาย เกิดความฉุนฉิวกริ้วโกรธต่อภาพอันน่าทุเรศเวทนา หรือภาพที่ตำรวจผิวขาวใช้เข่ากดคอผู้ต้องหาชาวผิวสี ชนิดขาดใจตายต่อหน้าต่อตา หรือตายคาเข่าไปในท้ายที่สุด เลยต้องลุกฮือขึ้นมาแสดงความชิงชัง รังเกียจ แสดงการต่อต้านและปฏิเสธต่อการกระทำเหล่านี้ จนอาจลืมนึก ลืมคิด ถึงสิ่งที่น่ากลัว น่าสยดสยองพองขนไม่น้อยไปกว่ากัน นั่นก็คือ...การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส “COVID-19” ที่ทำให้ประเทศอเมริกากลายเป็น “จ้าวโรค” ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หรือเป็นประเทศที่คว้า “ตำแหน่งแชมป์” แห่งการติดเชื้อ การตาย เพราะเชื้อไวรัสตัวนี้ ทิ้งประเทศคู่แข่งทั้งหลายชนิดแทบไม่เห็นฝุ่น เห็นหาง คือมีผู้ติดเชื้อไปแล้วถึง 1,793,530 ราย ตายไปแล้วไม่ต่ำกว่า 104,542 ราย ตามสถิติของมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์เมื่อช่วงวัน-สองวันที่ผ่านมา...
การดาหน้าออกมาประท้วง ออกมาแสดงความรู้สึกเจ็บแค้นแน่นอก ของบรรดาอเมริกันชนทั้งหลาย ที่แพร่กระจายไปทั่วท้องถนนของเมืองต่างๆ ไม่น้อยไปกว่า 400 เมืองตลอด 50 มลรัฐ แม้แต่บางพื้นที่ที่ไม่ใช่รัฐอเมริกาโดยตรง อย่างเช่น เกาะกวม เกาะนอร์เทิร์น มาเรียนา ก็ยังเกิดการลุกฮือ เกิดแรงกระตุ้น แรงจูงใจ ที่จะเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในขบวนการ “Black Lives Matter Movement” หรือขบวนการประท้วงการเหยียดผิว โดยไม่คิดสนใจต่อคำสั่งเคอร์ฟิว หรือการห้ามออกนอกบ้านที่รัฐแต่ละรัฐพยายามงัดออกมาใช้เอาเลยแม้แต่น้อย รวมทั้งไม่ได้คิดจะปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโคโรนาไวรัส ที่ถือว่าสำคัญเอามากๆ เช่น การ “เว้นระยะห่างทางสังคม” หรือ “Social Distancing” เป็นต้น...
คือทำไงได้!!!...ในเมื่อคนเขากำลังโกรธกริ้วฉิวฉุน กำลังตกอยู่ในอารมณ์คับแค้น หงุดหงิด ไม่พอใจต่อสิ่งที่มนุษย์กระทำต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันที่เพียงแค่สีผิว เผ่าพันธุ์ ผิดแผกแตกต่างไปจากกันเท่านั้น อย่างน่าเกลียด น่าทุเรศเอามากๆ เขาก็เลยอาจลืมนึก ลืมคิด ถึงสิ่งที่พร้อมเล่นงานมวลมนุษย์ทุกผู้ ทุกนาม ไม่ว่าผิวขาว ผิวเหลือง ผิวดำ ไม่ว่าชาติไหน ภาษาไหนอย่างเสมอหน้าไปด้วยกันทั้งหมด นั่นคือท่านเชื้อไวรัส “COVID-19” นั่นเอง แม้ว่าหลายต่อหลายราย ยังพอนึกได้ คิดได้ คือยังพยายาม “สวมหน้ากากอนามัย” ขณะดาหน้าออกมาประท้วง ออกมาลงถนน แต่ก็นั่นแหละ...ระหว่างที่ต้องเจอกับกระสุนยาง กับแก๊สน้ำตา ฯลฯ หรือระหว่างที่ต้องกระชากหน้ากากเพื่อเปล่งเสียงตะโกนแห่งความคับแค้นกันให้ถนัดๆ โอกาสที่ละอองเรณูของเชื้อ “COVID-19” ที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในบรรดาผู้คนอีกไม่รู้กี่ล้านต่อกี่ล้าน ซึ่งยังไม่ได้มีฐานะเป็นผู้ติดเชื้อตามตัวเลขสถิติ มันจะฟุ้งกระจาย จะ “Super Spread” หนักซะยิ่งกว่าการเชียร์มวยในสนามมวยลุมพินี หรือราชดำเนินบ้านเรา หรือจะผ่านการสัมผัสแบบชนิดไหล่ต่อไหล่ ขณะผนึกกำลังไปตามท้องถนนแต่ละสาย หรือไม่ อย่างไร และระดับไหน ก็ยังมิอาจสรุปได้...
แต่ที่แน่ๆ ก็คือ...ตามทัศนะมุมมองของผู้เชี่ยวชาญ อย่างผู้อำนวยการภาคยุโรปองค์การอนามัยโลก หรือ “WHO” อย่าง “นายHans Kluge” ที่อดไม่ได้ต้องตัดสินใจออกมา “ฟันธง” ไว้เมื่อช่วงวันพุธ (3 มิ.ย.) ที่ผ่านมาว่า แนวโน้มความเป็นไปในการแพร่ระบาดของเชื้อโรคอย่าง “COVID-19” ในระยะต่อไปนั้น ยังไงๆ...ก็น่าจะหนีไม่พ้นไปจาก “การระบาดระลอก 2” อย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้ และกระบวนการแพร่ระบาดในช่วงระยะที่ว่า ย่อมนำมาซึ่ง “หายนะและการทำลายล้าง” ที่หนักหน่วงและรุนแรงเอามากๆ ส่วนจะหนักขนาดไหน?...แค่หันไปดูตัวเลข ความสูญเสียด้านเงินๆ-ทองๆ ของประเทศ “จ้าวโรค” อย่างคุณพ่ออเมริกาซึ่งติดเชื้อกันไปแล้วเป็นล้านๆ ตายไปแล้วเป็นแสนๆ แม้ยังไม่ต้องออกมา “Super Spread” กับขบวนการประท้วงการเหยียดผิวก็ตาม ถ้าว่ากันตามตัวเลขสถิติ ที่หน่วยงานด้านงบประมาณของสภาคองเกรสสหรัฐฯ หรือ “Congressional Budget Office” (CBO) เพิ่งออกมาสรุปไว้คร่าวๆ เมื่อช่วงวัน-สองวันที่ผ่านมานี่เอง ว่าการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสคราวนี้น่าจะก่อให้เกิดความสูญเสียต่อประเทศอเมริกาไม่น้อยไปกว่า 15.7 ล้านล้านดอลลาร์ หรือ 5.3 เปอร์เซ็นต์ของ GDP อเมริกา ตลอดทั้งปีนี้ไปจนถึงปีหน้าโน่นเลย...
ยิ่งต้องเจอกับสถานการณ์เหยียดผิว เหยียดเผ่าพันธุ์ ที่ชำแรกแทรกซ้อนควบคู่เข้ามาพร้อมๆ กับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส “COVID-19” จนบรรดาอเมริกันชนทั้งหลาย ไม่อาจ “เว้นระยะห่างทางสังคม” ได้อีกต่อไป ต้องหันมารวมพลัง รวมตัวกันตามท้องถนนในเมืองต่างๆ ไม่น้อยกว่า 400 เมือง ไม่น้อยกว่า 50 รัฐเข้าไปแล้ว และยิ่งต้องเจอกับการเติมเชื้อ เติมฟืน เติมไฟ โดยผู้นำประเทศตัวเอง ที่พร้อมไล่ทุบ ไล่กระทืบ บรรดาผู้ประท้วง เพียงเพื่อ “เปิดทาง” ให้ประธานาธิบดี สามารถเดินข้ามจากทำเนียบขาวมา “จัดฉาก” ถ่ายรูปหน้าโบสถ์เซนต์จอห์น โดยไม่คิดจะสวมหน้ากากอีกต่างหาก อันนี้...ยังไงๆมันเลยคงต้อง “Super Spread” อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้เลย ต้องหันมาปลดหน้ากากเพื่อด่ากันให้ถนัดๆ ให้หนำใจ สะใจ ให้ความคั่งแค้น คับแค้น มันพอได้ระบายออกไปได้มั่ง...
ดังนั้น...ความหนักหนาสาหัส แห่ง “หายนะและการทำลายล้าง” ในโลกใบนี้ มันคงไม่อาจหมดไปได้ง่ายๆ และไม่ใช่แต่เฉพาะในอเมริกา แต่ในประเทศใดๆ ก็ตามที่ดัน “การ์ดตก” ขึ้นมาแล้วล่ะก็ โอกาสต้องเจอกับการแพร่ระบาดระลอก 2 ดังที่ผู้เชี่ยวชาญองค์การอนามัยโลก เขาได้ “ฟันธง” ลงไปแล้วว่า เป็นสิ่งที่ “มิอาจหลีกเลี่ยงได้” ตราบใดที่การประดิษฐ์คิดค้น “วัคซีน” ยังไม่สำเร็จหรือยังไม่สามารถผลิตในจำนวนปริมาณที่มากพอกับความต้องการ รวมทั้งยังไม่มี “ตัวยา” ที่ได้รับการพิสูจน์และยอมรับอย่างเป็นเอกภาพ เอกฉันท์ ว่าสามารถรักษาอาการป่วยไข้จากเชื้อไวรัสตัวนี้ให้หายขาดได้อย่างจริงๆ จังๆ...
หรือพูดง่ายๆ ว่า...ตราบใดที่ “ทรัมป์บ้า” ยังไม่ “หายบ้า” ดูเหมือนว่า..โอกาสที่จะหยุดยั้งเชื้อโคโรนาไวรัส ในประเทศ “จ้าวโรค” อย่างอเมริกา ยิ่งแทบมองไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์เอาเลยแม้แต่น้อย และแน่นอนอยู่แล้วว่า...เชื้อโรคตัวนี้มันคงไม่ได้วุ่นวายอยู่แต่เฉพาะบรรดาอเมริกันชน ไม่ว่าผิวขาว ผิวสี หรือผิวอะไรก็ตามที แต่ยังพร้อมที่จะอาศัยบรรดาชาวอเมริกันทั้งหลาย ไม่ว่าเหยียดผิว ไม่เหยียดผิว เป็น “พาหะ” แพร่ระบาดไปยังประเทศอื่นๆ ได้ทุกเมื่อ ยิ่งโดยเฉพาะประเทศที่มีผู้นำที่บ้าไม่น้อยไปกว่า “ทรัมป์บ้า” เช่นประเทศบราซิล เป็นต้น ที่ดันมาเจอกับ “ทรัมป์บ้าแห่งละตินอเมริกา” เจอกับผู้นำที่ทั้งดื้อ ทั้งบ้า อย่างประธานาธิบดี “Jair Bolsonaro” ผู้ไม่เพียงแต่ทำให้ดินแดนแซมบ้า มาแรงแซงโค้ง มีผู้ติดเชื้อปาเข้าไปกว่าครึ่งล้าน ผู้ตายเกือบครึ่งแสน แต่ยังน่าจะทำให้ประเทศใดๆ ก็เถอะ ที่ไม่คิดห้ามคนบราซิลเข้าประเทศ ชนิดกระทั่ง “ทรัมป์บ้า” ก็ยังไม่คิดจะบ้าด้วยแล้ว โอกาสแห่งการติดเชื้อ “ระลอก 2” ชนิดงอมแงมกันไปทั่วทั้งโลก ย่อมมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ...