ส.ส.ก้าวไกลปูด มีการกันงบฯ พ.ร.ก.ในส่วนฟู้ฟูเศรษฐกิจ 4 แสนล้าน ให้ส.ส.คนละ 80 ล้าน แฉที่มาจาก "วิรัช-สันติ " ไปรับปาก ส.ส.ในกลุ่มที่ร่วมเคลื่อนไหวเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในพรรค จะกันเงินให้คนละ 80 ล้าน
จากกรณี นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ ส.ส.พรรคก้าวไกล อภิปราย พ.ร.ก. กู้เงินในส่วนที่นำไปพื้นฟูเศรษฐกิจ 400,000 ล้านบาท ว่า งบประมาณส่วนดังกล่าวยังไม่มีแผนที่ชัดเจน แต่กลับได้รับทราบข้อมูลว่ามีการจัดสรร แบ่งปันงบประมาณที่จะลงสู่จังหวัดให้กับ ส.ส.คนละ 80 ล้านบาท งบประมาณดังกล่าวแทนที่จะถูกนำไปฟื้นฟูเศรษฐกิจกลับถูกกันไว้ให้กับส.ส.แต่ละคน โดยข้อมูลระบุว่า เมื่องบประมาณลงสู่จังหวัด ส.ส.ในพื้นที่สามารถเข้าไปกำหนดว่า จะนำเงิน 80 ล้านบาท ไปใช้ในโครงการใด ซึ่งเรื่องนี้จะนำไปสู่การหักหัวคิว เป็นการเอื้อผลประโยชน์ให้กับกลุ่มคนบางกลุ่ม ทั้งที่งบประมาณนี้สามารถนำไปสร้างความยั่งยืน สร้างงาน สร้างอาชีพให้กับประชาชนในท้องถิ่น แต่กลับเป็นโครงการที่สร้างความมั่นคงและยังยืนให้กับนักการเมืองบางกลุ่มบางพรรค
นายกรัฐมนตรี จึงปฏิเสธไม่ได้ที่จะไม่รู้ไม่เห็นกลับเรื่องนี้ เพราะหากเกิดขึ้นจริงถือเป็นการบ่อนทำลายประเทศของนายกรัฐมนตรี เป็นการนำงบประมาณแผ่นดินไปใช้ทางการเมือง ใช้ปิดปาก ส.ส.เพื่อกำหนดทิศทางตามที่ต้องการ เป็นการทำลายระบบพรรคการเมือง ทำให้พรรคการเมืองอ่อนแอลงอยู่ได้ด้วยกันหรือผลประโยชน์ แต่ยังสามารถป้องกันและป้องปรามไม่ให้เกิดขึ้นได้ โดยการตั้งกรรมาธิการติดตามและตรวจสอบงบประมาณตาม พ.ร.ก.กู้เงิน ซึ่งส.ส.จากฝ่ายค้านและรัฐบาลบางพรรคก็เห็นด้วยพี่จะให้มีการตั้งกรรมาธิการ จึงอยากให้นายกรัฐมนตรี เห็นด้วยเพราะท่าทีของนายกรัฐมนตรีก็มีผลต่อ ส.ส. บางพรรค จึงขอท่านนายกรัฐมนตรีหากต้องการให้ประชาชนเชื่อมั่นก็อยากกลัวการตรวจสอบ
แหล่งข่าวกล่าวว่า ประเด็นที่ ส.ส.พรรคก้าวไกล นำมาอภิปรายนี้ มีที่มาจากกรณีนายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ และประธานวิปรัฐบาล และนายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง ซึ่งเป็นแกนนำกลุ่มที่ต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลงภายในพรรคพลังประชารัฐ เพื่อนำไปสู่การปรับครม. ได้ประชุมส.ส.ในกลุ่ม โดยบอกว่าให้ ส.ส.เหล่านั้นไปจัดทำโครงการในพื้นที่รับผิดชอบแต่ละจังหวัดมา แล้วทางพรรคจะจัดสรรงบฯ ฟื้นฟูเศรษฐกิจ 400,000 ล้านบาทนี้ ให้คนละ 80 ล้านบาท เพื่อไปดำเนิน การหลังจากที่มีการเปลี่ยนแปลงภายในพรรค ทำให้พรรคร่วมรัฐบาลไม่พอใจในเรื่องนี้มาก เพราะเกรงว่าจะมีการงุบงิบ กันงบฯให้เฉพาะส.ส.พรรคพลังประชารัฐ เท่านั้น
จากกระแสข่าวดังกล่าว จึงทำให้ นายภราดร ปริศนานันทกุล ส.ส.อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย ออกมาแถลงข่าวว่า ตนในฐานะส.ส.ขอใช้เอกสิทธิ์ร่วมกับส.ส.กว่า 20 คน จากหลายพรรคการเมือง เช่น พรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล ภูมิใจไทย ประชาธิปัตย์ เสนอญัตติ ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญ ติดตามตรวจสอบ การใช้จ่ายเงินจากการกู้เงินตาม พ.ร.ก ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเยียวยาฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ประมาณ 20 คน ก็มีการรวบรวมรายชื่อ เพื่อเสนอญัตติตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญฯตรวจสอบการใช้จ่ายเงินกู้ตามพ.ร.ก.กู้เงินไปแล้ว ขณะที่ท่าทีของพรรคพลังประชารัฐ แสดงท่าทีไม่เห็นด้วยกับการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวกล่าวก่อนปิดการอภิปราย พ.ร.ก.กู้เงิน 3 ฉบับว่า การที่เราเตรียมมาตรการฟื้นฟู 4 แสนล้านบาท เงินจำนวนนี้ถ้ามองดูแล้วเหมือนจะใหญ่โตมโหฬาร หอมหวาน ตนไม่เคยสบายใจ ไม่ว่าจะเงินเท่าไรก็ตาม เพราะมันมีปัญหาแน่นอนในเรื่องการบริหารจัดการ อย่างที่ท่านเป็นห่วง ตนก็ห่วงยิ่งกว่าท่าน เพราะตน ข้าราชการ พนักงาน ต้องเป็นผู้รับผิดชอบ จึงต้องดูแลให้ดีที่สุด อยากให้ทุกคนสบายใจ ช่วยกันดูแลติดตาม
"เรื่องการจะตั้ง กมธ.วิสามัญ เพื่อติดตามการใช้จ่ายงบฯ นั้น เป็นเรื่องที่จะต้องพูดคุยกันต่อไป ผมไม่ได้ไปคัดค้านอะไรสักอย่าง ที่ผมยังตอบไม่ได้ในตอนนั้น เพราะมันยังไม่ได้อยู่ในขั้นตอนตอนนั้น ไม่ใช่ไปพูดสิ่งที่มันยังไม่ได้มาถึง ก็เป็นเรื่องของสภาฯ สมาชิกพิจารณากัน" นายกรัฐมนตรี กล่าว
จากกรณี นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ ส.ส.พรรคก้าวไกล อภิปราย พ.ร.ก. กู้เงินในส่วนที่นำไปพื้นฟูเศรษฐกิจ 400,000 ล้านบาท ว่า งบประมาณส่วนดังกล่าวยังไม่มีแผนที่ชัดเจน แต่กลับได้รับทราบข้อมูลว่ามีการจัดสรร แบ่งปันงบประมาณที่จะลงสู่จังหวัดให้กับ ส.ส.คนละ 80 ล้านบาท งบประมาณดังกล่าวแทนที่จะถูกนำไปฟื้นฟูเศรษฐกิจกลับถูกกันไว้ให้กับส.ส.แต่ละคน โดยข้อมูลระบุว่า เมื่องบประมาณลงสู่จังหวัด ส.ส.ในพื้นที่สามารถเข้าไปกำหนดว่า จะนำเงิน 80 ล้านบาท ไปใช้ในโครงการใด ซึ่งเรื่องนี้จะนำไปสู่การหักหัวคิว เป็นการเอื้อผลประโยชน์ให้กับกลุ่มคนบางกลุ่ม ทั้งที่งบประมาณนี้สามารถนำไปสร้างความยั่งยืน สร้างงาน สร้างอาชีพให้กับประชาชนในท้องถิ่น แต่กลับเป็นโครงการที่สร้างความมั่นคงและยังยืนให้กับนักการเมืองบางกลุ่มบางพรรค
นายกรัฐมนตรี จึงปฏิเสธไม่ได้ที่จะไม่รู้ไม่เห็นกลับเรื่องนี้ เพราะหากเกิดขึ้นจริงถือเป็นการบ่อนทำลายประเทศของนายกรัฐมนตรี เป็นการนำงบประมาณแผ่นดินไปใช้ทางการเมือง ใช้ปิดปาก ส.ส.เพื่อกำหนดทิศทางตามที่ต้องการ เป็นการทำลายระบบพรรคการเมือง ทำให้พรรคการเมืองอ่อนแอลงอยู่ได้ด้วยกันหรือผลประโยชน์ แต่ยังสามารถป้องกันและป้องปรามไม่ให้เกิดขึ้นได้ โดยการตั้งกรรมาธิการติดตามและตรวจสอบงบประมาณตาม พ.ร.ก.กู้เงิน ซึ่งส.ส.จากฝ่ายค้านและรัฐบาลบางพรรคก็เห็นด้วยพี่จะให้มีการตั้งกรรมาธิการ จึงอยากให้นายกรัฐมนตรี เห็นด้วยเพราะท่าทีของนายกรัฐมนตรีก็มีผลต่อ ส.ส. บางพรรค จึงขอท่านนายกรัฐมนตรีหากต้องการให้ประชาชนเชื่อมั่นก็อยากกลัวการตรวจสอบ
แหล่งข่าวกล่าวว่า ประเด็นที่ ส.ส.พรรคก้าวไกล นำมาอภิปรายนี้ มีที่มาจากกรณีนายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ และประธานวิปรัฐบาล และนายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง ซึ่งเป็นแกนนำกลุ่มที่ต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลงภายในพรรคพลังประชารัฐ เพื่อนำไปสู่การปรับครม. ได้ประชุมส.ส.ในกลุ่ม โดยบอกว่าให้ ส.ส.เหล่านั้นไปจัดทำโครงการในพื้นที่รับผิดชอบแต่ละจังหวัดมา แล้วทางพรรคจะจัดสรรงบฯ ฟื้นฟูเศรษฐกิจ 400,000 ล้านบาทนี้ ให้คนละ 80 ล้านบาท เพื่อไปดำเนิน การหลังจากที่มีการเปลี่ยนแปลงภายในพรรค ทำให้พรรคร่วมรัฐบาลไม่พอใจในเรื่องนี้มาก เพราะเกรงว่าจะมีการงุบงิบ กันงบฯให้เฉพาะส.ส.พรรคพลังประชารัฐ เท่านั้น
จากกระแสข่าวดังกล่าว จึงทำให้ นายภราดร ปริศนานันทกุล ส.ส.อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย ออกมาแถลงข่าวว่า ตนในฐานะส.ส.ขอใช้เอกสิทธิ์ร่วมกับส.ส.กว่า 20 คน จากหลายพรรคการเมือง เช่น พรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล ภูมิใจไทย ประชาธิปัตย์ เสนอญัตติ ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญ ติดตามตรวจสอบ การใช้จ่ายเงินจากการกู้เงินตาม พ.ร.ก ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเยียวยาฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ประมาณ 20 คน ก็มีการรวบรวมรายชื่อ เพื่อเสนอญัตติตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญฯตรวจสอบการใช้จ่ายเงินกู้ตามพ.ร.ก.กู้เงินไปแล้ว ขณะที่ท่าทีของพรรคพลังประชารัฐ แสดงท่าทีไม่เห็นด้วยกับการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวกล่าวก่อนปิดการอภิปราย พ.ร.ก.กู้เงิน 3 ฉบับว่า การที่เราเตรียมมาตรการฟื้นฟู 4 แสนล้านบาท เงินจำนวนนี้ถ้ามองดูแล้วเหมือนจะใหญ่โตมโหฬาร หอมหวาน ตนไม่เคยสบายใจ ไม่ว่าจะเงินเท่าไรก็ตาม เพราะมันมีปัญหาแน่นอนในเรื่องการบริหารจัดการ อย่างที่ท่านเป็นห่วง ตนก็ห่วงยิ่งกว่าท่าน เพราะตน ข้าราชการ พนักงาน ต้องเป็นผู้รับผิดชอบ จึงต้องดูแลให้ดีที่สุด อยากให้ทุกคนสบายใจ ช่วยกันดูแลติดตาม
"เรื่องการจะตั้ง กมธ.วิสามัญ เพื่อติดตามการใช้จ่ายงบฯ นั้น เป็นเรื่องที่จะต้องพูดคุยกันต่อไป ผมไม่ได้ไปคัดค้านอะไรสักอย่าง ที่ผมยังตอบไม่ได้ในตอนนั้น เพราะมันยังไม่ได้อยู่ในขั้นตอนตอนนั้น ไม่ใช่ไปพูดสิ่งที่มันยังไม่ได้มาถึง ก็เป็นเรื่องของสภาฯ สมาชิกพิจารณากัน" นายกรัฐมนตรี กล่าว