ไหนๆ ก็ว่ากันเรื่อง “สงครามเย็นรอบใหม่” ระหว่างคุณพี่จีนกับคุณพ่ออเมริกา หรือจะเรียกว่า “สงครามโลกแบบสโลว์โมชั่น” ตามการบัญญัติศัพท์ บัญญัติคำ ของเหยี่ยวข่าวอิสระชาวออสเตรเลียก็แล้วแต่ ต่อเนื่องมาเกือบทั้งสัปดาห์ ปิดฉากวันนี้...เลยคงต้องขออนุญาตไปว่าต่อกันอีกสักตั้ง เพราะการสาดอาวุธใส่กันในแต่ละดอกของทั้งสองฝ่ายนับจากนี้ ดูๆ จะไม่ใช่แค่ “คำพูด” หรือการด่ากันไป-ด่ากันมา แต่เพียงเท่านั้น แต่ยังพร้อมสาดมือ สาดตีน สาดสากกะเบือบิน ฯลฯ ใส่กันและกัน ชนิดโอกาสที่บรรดา “หญ้าแพรก” ทั้งหลาย จะได้เห็นรายการ “ช้างชนช้าง” อุบัติขึ้นมาต่อหน้าต่อตา มีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ!!!
เรียกว่า...ใครที่อยากจะรับรู้ถึง “สีสันบรรยากาศ” ว่าฮึ่มๆ แฮ่ๆ ไปถึงไหนต่อถึงไหนกันบ้างแล้ว คงต้องขออนุญาตเชิญชวนให้ลอง “คลิก” ไปอ่าน “บทบรรณาธิการ” ของกระบอกเสียง หรือสื่อทางการของจีน อย่าง “Global Times” เมื่อช่วงวันพุธ (27 พ.ค.) ที่ผ่านมา ซึ่งได้ขึ้นชื่อเรื่องเอาไว้ว่า “Era of US intimidating China over” หรือ “ยุคแห่งการข่มขู่จีนของสหรัฐฯ ได้ผ่านพ้นไปแล้ว” อะไรประมาณนั้น เพราะไม่เพียงเป็นการสะท้อนท่าทีเบื้องหน้า เบื้องลึก ของพญามังกรตัวนี้ได้อย่างค่อนข้างชัดเจนเอามากๆ ยังเต็มไปด้วยสำบัดสำนวน ชนิดปวดแสบ ปวดร้อนพอๆ กับโฆษกกระทรวงการต่างประเทศปากตะไกรรายใหม่ของจีน อย่าง “นายเกิ้ง ส่วง” (Geng Shuang) มาเองเอาเลยถึงขั้นนั้น...
คืออาจสรุปโดยคร่าวๆ ประมาณว่า นับจากนี้เป็นต้นไป...จีนนั้นน่าจะพร้อมแล้ว สำหรับการลงมือ ลงตีน สาดมือ สาดตีน เพื่อตอบโต้อเมริกาแบบชนิดดอกต่อดอก หรือถึงเวลาแล้วที่... “จีนจะต้องยกระดับวุฒิภาวะอันสงบเสงี่ยมในการเผชิญหน้ากับความก้าวร้าวของสหรัฐฯ” ในการ “แข่งขัน” หรือ “การปะทะระยะยาว” โดยเฉพาะหลังจากรัฐบาลอเมริกัน ออกมาขู่โน่น ขู่นี่ โดยเฉพาะตัวประธานาธิบดีอย่าง “ทรัมป์บ้า” ที่ออกมาจี้สะดือมังกร เมื่อช่วงวันอังคาร (26 พ.ค.) ที่ผ่านมา ว่ารัฐบาลตัวเองกำลังมีแผนที่จะ “ทำอะไรบางอย่าง” ในกรณีการออกกฎหมายความมั่นคงฉบับใหม่ของสภาประชาชนจีน ต่อเกาะฮ่องกง โดยกั๊กเอาไว้ซะยังงั้น ว่าอะไรบางอย่างที่ว่านั้นคืออะไรกันแน่ สรุปไว้แต่เพียงว่าเป็นบางอย่าง “ที่น่าสนใจและทรงพลัง” โดยจะเป็นที่รับรู้กันภายในอาทิตย์นี้ ขณะที่รัฐมนตรีต่างประเทศ “นายไมค์ ปอมเปโอ” ก็ซ่อนเงื่อน ซ่อนงำไว้ใน “ทวิตเตอร์” ว่าตัวเองได้ไปให้การต่อสภาคองเกรส เมื่อช่วงวันพฤหัสฯ (28 พ.ค.) ที่ผ่านมา ว่า “เกาะฮ่องกงไม่ใช่เป็นเขตปกครองตนเองของจีนต่อไปอีกแล้ว” ตลอดจนที่ปรึกษาความมั่นคงทำเนียบขาว “นายโรเบิร์ต โอไบรเอน” ที่ออกมาพูดจาแบบชัดถ้อย ชัดคำ อยู่ตามสมควร คือบอกว่า รัฐบาลอเมริกันอาจ “แซงชั่น” ประเทศจีน ถ้าสภาประชาชนของจีนยังคิดจะออกกฎหมายความมั่นคงฉบับใหม่ อันจะก่อให้เกิดผลกระทบต่อความเป็นเขตปกครองตนเองของเกาะฮ่องกง...
แต่สำหรับจีน ณ วันนี้...บรรดาคำพูด คำจา คำขู่เหล่านี้ ไม่ได้ต่างอะไรไปจาก “nothingburger” หรือแฮมเบอร์เกอร์ที่ไม่มีเนื้อ ประเภทหนักไปทาง “แมงโม้” ซะล่ะมากกว่า ด้วยเหตุเพราะก่อนหน้าที่สภาประชาชนของจีนคิดจะออกกฎหมายฉบับนี้ บทบรรณาธิการของ “Global Times” เขาได้สรุปไว้ว่า จีนได้เตรียมพร้อมเอาไว้แล้วว่าจะต้องเจออะไรจากสหรัฐฯ บ้าง ไม่ว่าจะเป็นการแซงชั่น การควบคุมการติดต่อซื้อ-ขาย-แลกเปลี่ยน การแช่แข็งทรัพย์สินของรัฐบาลและบริษัทธุรกิจจีนในอเมริกา ไปจนถึงการงดออกวีซ่าให้เจ้าหน้าที่รัฐบาลจีน ฯลฯ รวมถึง “ไพ่ใบสุดท้าย” ของรัฐบาลอเมริกา นั่นคือ “การหย่าขาด” (Decoupling) จากจีน แต่ส่วนการออกฤทธิ์ ออกเดช ด้วยการ “แสดงพลังอำนาจทางทหาร” แล้ว จีนค่อนข้างเชื่อว่า...ด้วยการทำนุบำรุงพลังอำนาจในการป้องกันและตอบโต้อาวุธนิวเคลียร์ การส่งเสริมความแข็งทางทหารของจีนมาโดยตลอด ไม่ว่าการพัฒนาระเบิดอะตอมการเสริมสมรรถนะขีปนาวุธข้ามทวีป ความก้าวหน้าในการส่งดาวเทียมขึ้นสู่อวกาศ ฯลฯ ยังไงๆ...ก็คงทำให้สหรัฐฯ “ไม่พร้อม” ที่จะหันมาข่มขู่จีนด้วยวิธีชนิดนี้โดยเด็ดขาด!!!
ด้วยเหตุนี้...บทบรรณาธิการ “Global Times” เขาจึงยุส่ง ว่าไม่ว่าอเมริกาคิดจะ “เล่นไพ่” ใบไหน ก็จงเล่นไปเถิด เพราะในเมื่อเกาะฮ่องกงนั้นอยู่ภายใต้อำนาจอธิปไตยของจีนอย่างเป็นที่แจ่มแจ้งชัดเจน การที่รัฐบาลอเมริกันคิดออกกฎหมายใดๆ ก็ตาม สำหรับเกาะฮ่องกง สิ่งเหล่านั้นก็เป็นได้แค่ “เศษกระดาษที่เปล่าประโยชน์” เพียงแต่สิ่งที่จีนคงไม่อยากที่จะให้รัฐบาลอเมริกัน “บ้าเกินไปกว่านั้น” ก็น่าจะเป็นเรื่องของการงัดเอา “สงครามการเงิน” ออกมาสู้ หรือมาปะทะกับจีน โดยเหตุผลที่ว่า... “แม้ว่าสิ่งนี้จะเป็นข้อได้เปรียบของอเมริกา คือความเป็นผู้นำสูงสุดของระบบการเงิน แต่ถ้าหากสหรัฐฯ กล้าที่จะใช้สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องมือ มันก็จะกลายเป็นตัวทำลายเสถียรภาพความมั่นคงของระบบการเงินที่ตัวเป็นผู้นำ” อันจะทำให้ภาคเศรษฐกิจที่แท้จริงของอเมริกาต้องล่มจมตามไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้ เพียงแต่ว่า...ด้วยเหตุเพราะ “ทุน” หรือ “เงิน” นั้น มันเป็นสิ่งที่ “ไม่มีพรมแดน” โดยธรรมชาติของตัวมันเอง จึงทำให้จีนเขายังคงกังวลอยู่บ้างว่า ไม่เพียงแต่จะทำให้จีน หรืออเมริกา ต้องเจ็บปวดไปด้วยกันทั้งคู่ แต่ยังอาจทำให้โลกทั้งโลก พลอยต้อง “ซวย” ไปด้วย...
ข้อเขียน บทความ อีกชิ้นหนึ่งใน “Global Times” จึงได้นำเสนอไว้ด้วยหัวข้อเรื่อง อันว่าด้วย “World needs to recognize gravity of a US-China…financial war” หรือแนวโน้มที่อาจเกิด “สงครามการเงิน” ระหว่างจีนกับอเมริกา อันเป็นสิ่งที่โลกทั้งโลกควรรับรู้เอาไว้ด้วย ซึ่งจะมีรายละเอียดเช่นใดนั้น คงต้องไปหาอ่านกันเอาเอง แต่ที่แน่ๆ ก็คือ...มันได้สะท้อนให้เห็นถึงภาพ “รัศมีส้นตีน” ในการออกอาวุธระหว่าง 2 อภิมหาอำนาจในช่วงนี้ ว่าน่าจะเป็นอะไรที่พร่างพรายเอามากๆ...
คือไม่ใช่เป็นแค่การกระทบกระทั่งกันด้วยคำพูด การตั้งแง่ ตั้งเงื่อนไข ในทางธุรกิจ การค้า การตั้งอัตราภาษีระหว่างกันและกันต่อไปอีกแล้ว แต่เป็นการพร้อมที่จะลงมือ ลงตีน ระหว่างกันและกันอย่างเป็นระบบและเป็นกิจการ เพราะอย่างที่บทความชิ้นนี้เขาได้อธิบายเอาไว้นั่นแหละว่า “สงครามการเงินนั้น...ต่างไปจากการแซงชั่น หรือสงครามทางการค้า เพราะการลงโทษกันทางการค้านั้น โดยเป้าหมายจะอยู่ที่การค้าขายของแต่ละประเทศ หรือแต่ละบริษัท แต่การลงโทษกันในทางการเงิน หรือในตลาดการเงินแล้ว เป็นเรื่องยากเอามากๆ ที่จะส่งผลแบบตรงไป-ตรงมา เนื่องจากทุน หรือเงิน เป็นสิ่งที่ไม่มีพรมแดน การโจมตีระบบการเงินที่ฮ่องกง แม้อาจสร้างความเสียหายให้กับจีนแผ่นดินใหญ่ แต่โอกาสที่ความเสี่ยงทั้งหลายจะแพร่กระจายต่อไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียทั้งเอเชีย ไปจนถึงตลาดการเงินทั่วโลก ย่อมมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ และจะกลายเป็นบูมเมอแรงที่ย้อนกลับมาทำลายผลประโยชน์ของสหรัฐฯ ให้ล่มจม ล่มสลาย ตามไปด้วย...”
จริง-ไม่จริง...ก็ลองไปนั่งคิด นอนคิด เอาเองก็แล้วกัน เพราะในฐานะประเทศเล็กๆอย่างไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา ถ้าหากไม่คิดหน้า คิดหลัง ไม่ลองตีลังกาคิดเอาไว้มั่ง โอกาสที่จะกลายเป็น “หญ้าแพรก” ภายใต้รัศมีฝ่าตีนของช้างทั้งสอง ย่อมมีความเป็นไปได้ไม่ยากส์ส์ส์...