ผู้จัดการรายวัน360-“สภาพัฒน์”ซักซ้อมหน่วยงานราชการ เร่งทำแผนใช้เงินฟื้นฟูเศรษฐกิจ 4 แสนล้านบาท ขีดเส้น 5 มิ.ย.เสนอโครงการ ก่อนพิจารณาและนำเสนอ ครม.เดือนก.ค.63 เพื่ออัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจของประเทศ แย้มให้ความสำคัญโครงการไทยเที่ยวไทย เกษตรและอาหาร การฟื้นฟูเศรษฐกิจชุมชน และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ยอมรับเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยส่วนใหญ่ดับ รัฐต้องเร่งเครื่องแทน
นายทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ ในฐานะประธานกรรมการคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ตามมาตรา 7 ของพ.ร.ก.เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท เปิดเผยว่า เงินก้อนนี้ แบ่งออกเป็น 2 ก้อน คือ 6 แสนล้านบาท ใช้เยียวยา 5.5 แสนล้านบาท และ 4.5 หมื่นล้านบาทสำหรับระบบสาธารณสุข และที่เหลือ 4 แสนล้านบาท ใช้สำหรับการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศในด้านต่างๆ จึงได้เชิญหน่วยงานราชการมาอธิบายรายละเอียดให้เข้าใจและให้เตรียมคิดโครงการออกมา และส่งกลับมายังสภาพัฒน์ในวันที่ 5 มิ.ย.2563 เพื่อเข้าสู่กระบวนการพิจารณาตามขั้นตอน จากนั้นจะนำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายในเดือนก.ค.2563 และเริ่มขับเคลื่อนโครงการต่างๆ
สำหรับกรอบแนวคิดการใช้เงิน 4 แสนล้านบาท มี 4 กรอบ ประกอบด้วย 1.กรอบการลงทุน หรือกิจกรรมการพัฒนาที่สามารถพลิกฟื้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ โดยอาศัยจุดขายของเศรษฐกิจไทย 2 ด้าน คือ ระบบสาธารณสุข เพื่อจูงใจให้คนไทยมาเที่ยวเมืองไทยในเชิงสุขภาพ ท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ ในลักษณะ “ไทยเที่ยวไทย” รวมถึงเรื่องการเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร โดยเงินจะต้องลงไปสร้างโอกาสให้กับภาคเศรษฐกิจที่เข้มแข็งและมีโอกาส เช่น การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและเกษตร หรือภาคเกษตรอาจจะมีการเพิ่มผลิตผลและลดต้นทุน และกลุ่มที่เพิ่มมูลค่า ใช้นวัตกรรมให้สินค้าเกษตรให้มีมูลค่ามากขึ้น เช่น การสกัดสารสำคัญออกจากสมุนไพร เป็นต้น
2.การฟื้นฟูเศรษฐกิจชุมชน หรือฐานรากจากเดิม ที่ต้องพึ่งพาการส่งออกและไม่มีความยั่งยืน เช่น ต่อไปประเทศไทย อาจต้องเน้นที่ “ภาคส่งออกที่ยั่งยืน” และ “เศรษฐกิจระดับฐานราก” ให้แข็งแรงมากขึ้น ผ่านกระบวนการส่งเสริมตลาดและการเข้าถึงช่องทางการตลาด สำหรับผลผลิตหรือผลิตภัณฑ์ของธุรกิจชุมชนที่เชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวหรือภาคบริการอื่น การจัดหาปัจจัยการผลิตและสิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเป็นสำหรับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นและชุมชน พร้อมทั้งยกระดับมาตรฐานคุณภาพและมูลค่าเพิ่มของสินค้าและผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นและชุมชน
“บทเรียนครั้งนี้จะเห็นว่าภาคท่องเที่ยวมีผลกระทบอย่างมากจากที่เงินรายได้เข้ามา 2 ล้านล้านบาท แต่พอไม่มีส่วนนี้เข้ามา กิจการก็ต้องปิด คนก็ตกงานกลับภูมิลำเนาไป เราต้องไปสร้างงานอาชีพให้คนในส่วนนี้”
3.กระตุ้นการบริโภคที่ทำได้ก่อน คือ “ไทยเที่ยวไทย” แต่จะทำอย่างไรให้คนไทยไปเที่ยว แต่หลังจากสิ่งแวดล้อมเริ่มฟื้นตัวกลับมา คาดว่าจะเป็นจุดดึงดูดให้คนไทยมาเที่ยว เช่น อาจจะให้ส่วนลดของโรงแรมที่รัฐบาลช่วยอุดหนุน โดยอาจจะเชื่อมโยงกับระบบภาษีเป็นการคืนผ่านภาษีแทน และยังมีข้อเสนอ “ช้อปช่วยชาติ” ที่จะต้องดูรายละเอียดอีกครั้ง แต่การท่องเที่ยวเป็นตัวอย่างที่เห็นภาพชัดเจนที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้เร็วกว่ามาตรการอื่นๆ โดยคาดว่าไทยเที่ยวไทยอาจจะได้เร็วที่สุดในไตรมาสที่ 3 ของปี
4.โครงสร้างพื้นฐาน ที่ไม่ใช่โครงการขนาดใหญ่ตามปกติ แต่เป็นโครงสร้างพื้นฐานของชุมชน เพื่อตอบโจทย์ของชุมชนและเศรษฐกิจฐานราก เช่น การพัฒนาแหล่งเก็บกักน้ำและระบบชลประทาน ที่จะต้องแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงกับแผนการพัฒนาจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศ หรือการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง ระบบโลจิสติกส์ การเดินทางและขนส่งสินค้าจากชุมชน ท้องถิ่น สู่ประตูการค้าหลักภายในประเทศ หรือการพัฒนาดิจิทัลแพลตฟอร์มเพื่อเชื่อมโยงชุมชนกับผู้บริโภคโดยตรง
นายทศพรกล่าวว่า ขณะนี้เครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจของไทยส่วนใหญ่ดับหมดแล้ว เหลือแต่เครื่องยนต์ภาครัฐเรื่องของภาษีกับการใช้จ่ายของภาครัฐ ที่จะต้องขับเคลื่อนแทน ดังนั้น จะใช้อย่างไรให้มีกลไกอุดหนุนตรงไหนอย่างไร จะต้องลงรายละเอียดเพื่อไม่ให้มีการรั่วไหล ส่วนกรณีที่หลายฝ่ายมองว่า พ.ร.ก. อาจะเป็นในลักษณะการตีเช็กเปล่าให้หน่วยราชการสามารถใช้จ่ายเงินได้อิสระ เห็นว่า พ.ร.ก.มีกรอบการใช้จ่ายในระดับหนึ่งแล้ว และให้คณะกรรมการกลั่นกรองทำรายละเอียดเพิ่มเติมเข้า ครม. ดังนั้น ระบบต่างๆ มีความชัดเจนและโปร่งใสพอสมควร โดยพยายามจะให้ทุกโครงการจบภายในปีงบประมาณ 2564 เพื่อให้เศรษฐกิจมีการฟื้นตัวได้ต่อเนื่องก่อนที่งบประมาณปี 2564 จะออกมา
ส่วนการตั้งกรรมาธิการถือว่าเป็นความรอบคอบของด้านสภาผู้แทนราษฎรที่ช่วยเข้ามาตรวจสอบ ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี สภาพัฒน์มองว่าเป็นประโยชน์ที่มีคนช่วยตรวจสอบและให้ความคิดเห็นเพิ่มเติม
นายทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ ในฐานะประธานกรรมการคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ตามมาตรา 7 ของพ.ร.ก.เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท เปิดเผยว่า เงินก้อนนี้ แบ่งออกเป็น 2 ก้อน คือ 6 แสนล้านบาท ใช้เยียวยา 5.5 แสนล้านบาท และ 4.5 หมื่นล้านบาทสำหรับระบบสาธารณสุข และที่เหลือ 4 แสนล้านบาท ใช้สำหรับการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศในด้านต่างๆ จึงได้เชิญหน่วยงานราชการมาอธิบายรายละเอียดให้เข้าใจและให้เตรียมคิดโครงการออกมา และส่งกลับมายังสภาพัฒน์ในวันที่ 5 มิ.ย.2563 เพื่อเข้าสู่กระบวนการพิจารณาตามขั้นตอน จากนั้นจะนำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายในเดือนก.ค.2563 และเริ่มขับเคลื่อนโครงการต่างๆ
สำหรับกรอบแนวคิดการใช้เงิน 4 แสนล้านบาท มี 4 กรอบ ประกอบด้วย 1.กรอบการลงทุน หรือกิจกรรมการพัฒนาที่สามารถพลิกฟื้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ โดยอาศัยจุดขายของเศรษฐกิจไทย 2 ด้าน คือ ระบบสาธารณสุข เพื่อจูงใจให้คนไทยมาเที่ยวเมืองไทยในเชิงสุขภาพ ท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ ในลักษณะ “ไทยเที่ยวไทย” รวมถึงเรื่องการเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร โดยเงินจะต้องลงไปสร้างโอกาสให้กับภาคเศรษฐกิจที่เข้มแข็งและมีโอกาส เช่น การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและเกษตร หรือภาคเกษตรอาจจะมีการเพิ่มผลิตผลและลดต้นทุน และกลุ่มที่เพิ่มมูลค่า ใช้นวัตกรรมให้สินค้าเกษตรให้มีมูลค่ามากขึ้น เช่น การสกัดสารสำคัญออกจากสมุนไพร เป็นต้น
2.การฟื้นฟูเศรษฐกิจชุมชน หรือฐานรากจากเดิม ที่ต้องพึ่งพาการส่งออกและไม่มีความยั่งยืน เช่น ต่อไปประเทศไทย อาจต้องเน้นที่ “ภาคส่งออกที่ยั่งยืน” และ “เศรษฐกิจระดับฐานราก” ให้แข็งแรงมากขึ้น ผ่านกระบวนการส่งเสริมตลาดและการเข้าถึงช่องทางการตลาด สำหรับผลผลิตหรือผลิตภัณฑ์ของธุรกิจชุมชนที่เชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวหรือภาคบริการอื่น การจัดหาปัจจัยการผลิตและสิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเป็นสำหรับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นและชุมชน พร้อมทั้งยกระดับมาตรฐานคุณภาพและมูลค่าเพิ่มของสินค้าและผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นและชุมชน
“บทเรียนครั้งนี้จะเห็นว่าภาคท่องเที่ยวมีผลกระทบอย่างมากจากที่เงินรายได้เข้ามา 2 ล้านล้านบาท แต่พอไม่มีส่วนนี้เข้ามา กิจการก็ต้องปิด คนก็ตกงานกลับภูมิลำเนาไป เราต้องไปสร้างงานอาชีพให้คนในส่วนนี้”
3.กระตุ้นการบริโภคที่ทำได้ก่อน คือ “ไทยเที่ยวไทย” แต่จะทำอย่างไรให้คนไทยไปเที่ยว แต่หลังจากสิ่งแวดล้อมเริ่มฟื้นตัวกลับมา คาดว่าจะเป็นจุดดึงดูดให้คนไทยมาเที่ยว เช่น อาจจะให้ส่วนลดของโรงแรมที่รัฐบาลช่วยอุดหนุน โดยอาจจะเชื่อมโยงกับระบบภาษีเป็นการคืนผ่านภาษีแทน และยังมีข้อเสนอ “ช้อปช่วยชาติ” ที่จะต้องดูรายละเอียดอีกครั้ง แต่การท่องเที่ยวเป็นตัวอย่างที่เห็นภาพชัดเจนที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้เร็วกว่ามาตรการอื่นๆ โดยคาดว่าไทยเที่ยวไทยอาจจะได้เร็วที่สุดในไตรมาสที่ 3 ของปี
4.โครงสร้างพื้นฐาน ที่ไม่ใช่โครงการขนาดใหญ่ตามปกติ แต่เป็นโครงสร้างพื้นฐานของชุมชน เพื่อตอบโจทย์ของชุมชนและเศรษฐกิจฐานราก เช่น การพัฒนาแหล่งเก็บกักน้ำและระบบชลประทาน ที่จะต้องแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงกับแผนการพัฒนาจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศ หรือการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง ระบบโลจิสติกส์ การเดินทางและขนส่งสินค้าจากชุมชน ท้องถิ่น สู่ประตูการค้าหลักภายในประเทศ หรือการพัฒนาดิจิทัลแพลตฟอร์มเพื่อเชื่อมโยงชุมชนกับผู้บริโภคโดยตรง
นายทศพรกล่าวว่า ขณะนี้เครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจของไทยส่วนใหญ่ดับหมดแล้ว เหลือแต่เครื่องยนต์ภาครัฐเรื่องของภาษีกับการใช้จ่ายของภาครัฐ ที่จะต้องขับเคลื่อนแทน ดังนั้น จะใช้อย่างไรให้มีกลไกอุดหนุนตรงไหนอย่างไร จะต้องลงรายละเอียดเพื่อไม่ให้มีการรั่วไหล ส่วนกรณีที่หลายฝ่ายมองว่า พ.ร.ก. อาจะเป็นในลักษณะการตีเช็กเปล่าให้หน่วยราชการสามารถใช้จ่ายเงินได้อิสระ เห็นว่า พ.ร.ก.มีกรอบการใช้จ่ายในระดับหนึ่งแล้ว และให้คณะกรรมการกลั่นกรองทำรายละเอียดเพิ่มเติมเข้า ครม. ดังนั้น ระบบต่างๆ มีความชัดเจนและโปร่งใสพอสมควร โดยพยายามจะให้ทุกโครงการจบภายในปีงบประมาณ 2564 เพื่อให้เศรษฐกิจมีการฟื้นตัวได้ต่อเนื่องก่อนที่งบประมาณปี 2564 จะออกมา
ส่วนการตั้งกรรมาธิการถือว่าเป็นความรอบคอบของด้านสภาผู้แทนราษฎรที่ช่วยเข้ามาตรวจสอบ ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี สภาพัฒน์มองว่าเป็นประโยชน์ที่มีคนช่วยตรวจสอบและให้ความคิดเห็นเพิ่มเติม