xs
xsm
sm
md
lg

คาดการณ์ผลตอบแทนหุ้นกลุ่มเติบโต (Growth Stock) และหุ้นคุณค่า (Value Stock) หลังวิฤกต COVID-19

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



โดย พรทิพย์ บำรุงชาติอุดม
บลจ.เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน)

ในช่วงที่ผ่านมาการระบาดของไวรัส COVID-19 ส่งผลให้ตลาดทางการเงินรวมถึงตลาดหุ้นทั่วโลกมีความผันผวนอย่างมาก โดยตลาดหุ้นทั่วโลกมีการปรับตัวลงอย่างรุนแรงและฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ซึ่งการฟื้นตัวของตลาดในครั้งนี้ถือเป็นการฟื้นตัวที่ใช้ระยเวลาสั้นที่สุดในประวัติศาสตร์ตั้งแต่เกิดวิกฤตในปี 1997 (อ้างอิงจากการปรับตัวขึ้นของดัชนี MSCI World) เป็นผลมาจากการที่หลายประเทศออกมาตรการทั้งนโยบายทางการเงิน, นโยบายทางการคลังที่มีขนาดใหญ่ และทำได้อย่างทันท่วงที อย่างไรก็ตาม แม้ว่าภาคเศรษฐกิจการเงินหรือตลาดทุนซึ่งเป็นดัชนีสะท้อนความคาดหวังต่อเศรษฐกิจในอนาคตฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าผลกระทบจากการหยุดชะงักทางเศรษฐกิจในช่วงการ Lockdown ที่ผ่านมาส่งผลให้ภาคเศรษฐกิจจริง (Real sector) ทำให้เกิดการชะลอตัวอย่างรุนแรงจนเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยและมีแนวโน้มที่จะต้องใช้ระยะเวลานานในการฟื้นตัว โดยเปรียบเทียบกับการฟื้นตัวของตลาดทุนหลังวิกฤตเศรษฐกิจการเงินโลกในปี 2008 พบว่าสภาวะการลงทุนที่เปลี่ยนแปลงหลังวิกฤตส่งผลต่อทิศทางและแนวโน้มการลงทุนในตลาดตราสารทุนทั่วโลก และได้เริ่มขีดเส้นแบ่งแยกให้เกิดความแตกต่างระหว่างผลตอบแทนของหุ้นเติบโต (Growth stock)¹ และหุ้นคุณค่า (Value stock)² อย่างชัดเจน โดยบทความนี้จะนำเสนอข้อมูลแนวโน้มและทิศทางตลาดทุนที่ได้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการลงทุนในอนาคตสำหรับนักลงทุน

จากการเกิดวิกฤตเศรษฐกิจการเงินโลกปี 2008 ทำให้ธนาคารกลางของประเทศเศรษฐกิจหลักที่เกิดวิกฤตใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายพิเศษ ซึ่งรวมถึงมาตรการเชิงปริมาณ หรือ QE เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ขณะที่สภาวะการลงทุนมีอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ใกล้ระดับศูนย์ (Zero lower bound) โดยถึงแม้ว่าสภาพคล่องตามนโยบาย QE ที่ถูกเติมเข้ามาในระบบเศรษฐกิจส่งผลให้ตราสารทางการเงิน (Financial asset) ปรับตัวในทิศทางขาขึ้น สวนทางกับการชะลอตัวภาคเศรษฐกิจที่แท้จริง (GDP growth) แต่อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลในอดีตแสดงให้เห็นว่าผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจที่มีผลต่ออัตราการเติบโตที่ช้าลงของบริษัทตั้งแต่ปี 2009-2020 โดยจากการวิเคราะห์บริษัทจดทะเบียนในดัชนี MSCI World แสดงให้เห็นว่าจำนวนของบริษัทที่มีอัตราการเติบโตต่ำกว่าร้อยละ 4 ต่อปีมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากสัดส่วนประมาณร้อยละ 30 ในปี 2009 เป็นสัดส่วนที่มากกว่าร้อยละ 50 ในปัจจุบัน ขณะที่จำนวนบริษัทที่มีอัตราการเติบโตสูง³ มีสัดส่วนไม่ถึงร้อยละ 20 ในปัจจุบัน ซึ่งจากการที่ระดับการเติบโตของรายได้และกำไรบริษัทมีแนวโน้มลดลง จึงเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับบริษัทที่สามารถรักษาระดับการเติบโตสูงอย่างต่อเนื่องและเป็นที่ต้องการของนักลงทุน หากเปรียบเทียบผลตอบแทนย้อนหลังระหว่าง Growth Stock กับ Value Stock พบว่าการลงทุนใน Growth Stock ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า Value Stock (อ้างอิงดัชนี MSCI World Growth Stock และดัชนี MSCI World Value Stock) อย่างชัดเจนตั้งแต่ช่วงปี 2009 เป็นต้นมา

วิกฤตครั้งนี้ก็เช่นกัน จากการที่หลายประเทศมีการใช้มาตรการผ่อนคลายพิเศษและการอัดฉีดเงินเข้าระบบ เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ส่งผลให้ระดับหนี้ภาครัฐในหลายประเทศมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งผลกระทบจากการเพิ่มขึ้นของหนี้ภาครัฐต่อการเติบโตของเศรษฐกิจจากทาง IMF พบว่าการเพิ่มขึ้นของหนี้ภาครัฐมีความสัมพันธ์ผกผันกับการขยายตัวของเศรษฐกิจ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศต่อประชากร (GDP growth per-capita) และอัตราการเติบโตของผลิตภาพแรงงาน (Labour activity growth) เนื่องจากภาครัฐมีแนวโน้มที่จะชะลอการลงทุนเพื่อรักษาระดับหนี้ไม่ให้สูงจนเกินไป ซึ่งจะส่งผลต่ออัตราการเติบโตของภาคเอกชนตามมา นอกจากนี้ ผลกระทบจากมาตรการ Lockdown ช่วงที่ผ่านมาส่งผลให้เกิดการลดลงอย่างรวดเร็วของจำนวนอุปสงค์ในตลาด (Demand shock) และการปรับตัวลงของราคาน้ำมันจะยังคงกดดันให้อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ (อย่างน้อยก็ในระยะสั้น) ซึ่งจากสภาวะการลงทุนหลังวิกฤตครั้งนี้มีความคล้ายกับสภาวะการลงทุนหลังวิกฤตในปี 2008 ที่ได้กล่าวมาข้างต้น ทำให้คาดการณ์ได้ว่าทิศทางการลงทุนมีแนวโน้มที่จะเป็นไปในทิศทางเดิม นั่นคือ การลงทุนใน Growth Stock มีโอกาสที่จะสร้างผลตอบแทนสูงกว่าหุ้น Value Stock อย่างไรก็ตาม การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรติดตามสภาวะการลงทุนที่มีโอกาสเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม และควรคำนึงถึงการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนด้วยเช่นกัน


หมายเหตุ:
1. หุ้นเติบโต (Growth stock) หมายถึง หุ้นที่เน้นการเติบโต มีอัตราการเติบโตของรายได้และกำไรสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด และมีผลการดำเนินงาน คุณภาพหรือความแข็งแกร่งของกิจการสูง ซึ่งส่วนมากจะซื้อขายกันในระดับราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้น (P/E Ratio) ที่สูง
2. หุ้นคุณค่า (Value stock) หมายถึง หุ้นที่มีราคาหรือมูลค่าต่ำกว่าราคาที่เหมาะสมตามทฤษฎี ส่วนมากเป็นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดีแต่กิจการที่มีการเติบโตเต็มที่แล้ว อัตราการปันผลสม่ำเสมอ แต่มักจะมีผลการดำเนินงานเติบโตไม่โดดเด่น
3. บริษัทที่มีอัตราการเติบโตสูง หมายถึง บริษัทที่มีอัตราการเติบโตของยอดขายสูงกว่าร้อยละ 8 ต่อปี
กำลังโหลดความคิดเห็น