รถยนต์ไฟฟ้ายี่ห้อ Tesla ถือกำเนิดขึ้นด้วยการนำของ “อีลอน มัสก์( Elon Musk)” ที่ตั้งใจจะผลิกโฉมวงการยานยนต์จากพลังงานฟอสซิล ให้ขับเคลื่อนด้วยพลังจากแบตเตอรี่ไปสู่มอเตอร์ไฟฟ้า โดยเปิดตัว “เจนเนอเรชั่นแรก”ไปเมื่อปี 2553 หรือเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา
และรถยนต์ไฟฟ้าของ Tesla รุ่นที่ถูกจับตามองที่สุดก็คือ “Tesla Model 3” ซึ่งนับตั้งแต่วางจำหน่าย ตัวเลขยอดขายก็ดีขึ้นเป็นลำดับ กล่าวคือในปี 2560 ขายได้จำนวน 1,764 คัน ปี 2561 ขยับไปเป็น 146,055 คัน และปี 2562 ที่ผ่านมาขายได้ถึง 300,815 คัน หรือมียอดขายเพิ่มขึ้นราว 105% เมื่อเทียบกับยอดตอนปี 2561
รวมแล้ว 3 ปี “Tesla Model 3” ขายได้ถึง 448,634 คัน
ที่น่าสนใจไปกว่านั้นก็คือขณะที่อุตสาหกรรมยานยนต์หยุดการผลิตในหลายประเทศ ยอดขายรถยนต์ทั่วโลกดิ่งเหวในช่วงเวลาแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่ในทางตรงข้าม Tesla กลับทำสถิติยอดขายเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
Tesla ได้สร้าง New Normal ขึ้นมาติดอันดับตารางยอดขายรถยนต์ขายดี หรือ Top Selling โดยมีการรายงานว่า Tesla 3 กลายเป็นรถยนต์ที่มียอดขายสูงสุดของเกาะอังกฤษในเดือนเมษายน ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่มีรถยนต์พลังไฟฟ้าหรือ EV ขึ้นมาเป็นหมายเลขหนึ่ง
ประเด็นคือ ในแง่ของภาพรวมตลาดนั้น ช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา ประเทศอังกฤษมียอดขายรถยนต์เพียง 4,321 คัน ซึ่งถือว่าต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 2489 และมียอดขายลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วเกือบ 97% ทว่า Tesla ขาย Model 3 ได้ 658 คัน
ที่น่าสนใจคือใน 2 อันดับแรกของรถยนต์ขายดีนั้น เป็นรถยนต์พลังไฟฟ้า คือ อันดับ 2 เป็น Jaguar i-Pace ขายได้ 367 คัน แต่จะเป็น 3 รุ่นเมื่อดูในกลุ่ม Top 10 เพราะว่ามี Nissan LEAF ติดรวมอยู่ด้วย กับยอดขาย 72 คัน
ขณะที่ในจีน Tesla ก็ขายดิบขายดีด้วยสัดส่วนการขายมากถึง 25% ของตลาดรถยนต์ EV ในประเทศจีน โดย China Passenger Car Association เปิดเผยข้อมูลการส่งมอบรถยนต์ของTesla ว่า มีจำนวนถึง 10,160 คัน
ถือเป็นสถิติยอดขายสูงสุดที่ดีที่สุดของบริษัทสัญชาติอเมริกันเมื่อเทียบกับยอดขายต่อเดือน โดยยอดขายดังกล่าวมาจากความแข็งแกร่งของรถยนต์ในโมเดลรุ่น 3 และรุ่น S และ X ที่เป็นเรือธง
จะใช้คำว่าเป็นเรื่องประหลาดใจมากก็คงไม่เกินเลยจากความเป็นจริง เพราะ Tesla สามารถสวนกระแสตลาดรถยนต์ในจีนท่ามกลางภาพรวมการขายตกลงมากว่า 40%
เมื่อปีที่ผ่านมา Tesla ได้เปิดโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าบนที่ดินมูลค่ากว่า 140 ล้านดอลลาร์ ในเขตชานเมืองของเซี่ยงไฮ้ คิดเป็นมูลค่ากว่า 2,000 ล้านดอลลาร์ นับเป็นเดิมพันที่สำคัญของเทสลา เนื่องจากต้องการปัจจัยสนับสนุนในประเทศจีน อันเป็นตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งการผลิตรถยนต์ในประเทศจีนจะลดต้นทุนจากภาษีศุลกากรและการขนส่งทางทะเลสำหรับเทสลา เนื่องจากต้องเผชิญกับการแข่งขันที่สูงขึ้นจากผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในท้องถิ่น
เหตุผลหลักที่ทำให้ Tesla ทำลายสถิติยอดขายในครั้งนี้ คือการปรับเทคนิคการขายด้วยการบริการส่งมอบรถยนต์ถึงหน้าบ้าน และมุ่งทำการสื่อสารตลาดไปยังกลุ่มลูกค้าที่กำลังซื้อ ในขณะที่โรงงานผลิตรถยนต์ขนาดใหญ่ในเซี่ยงไฮ้สามารถผลิตและเริ่มส่งมอบให้กับลูกค้าภายในประเทศ และทำให้ราคารถยนต์ไฟฟ้าของ Tesla สามารถจับต้องได้ เมื่อไม่มีภาษีเข้ามาเกี่ยวข้อง
ในขณะที่ก่อนหน้านี้ คือต้นเดือนมกราคมที่มา Tesla ประสบปัญหามากมายให้เผชิญ ไม่ว่าจะเป็นภาษีนำเข้า ยอดขายที่ถูกกระทบจากสงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ และการปิดโรงงานผลิตในเซี่ยงไฮ้เป็นเวลาหลายสัปดาห์จากคำสั่งของรัฐบาลจีน
จากนั้น เมื่อวันที่ 2 เมษายน ที่ผ่านมา Tesla ประกาศว่าในไตรมาสที่ 1 ของปี 2563 ที่สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 31 มีนาคม บริษัทสามารถผลิตรถยนต์ได้ 102,672 คัน และส่งมอบรถยนต์ได้ 88,400 คัน จัดว่าเป็นผลการดำเนินงานไตรมาสแรกที่ดีที่สุดของบริษัทเท่าที่เคยมีมา และเปิดเผยด้วยว่าจำนวนการส่งมอบสุดท้ายอาจจะสูงกว่านั้น เนื่องจากบริษัทนับเฉพาะรถยนต์ที่โอนไปยังลูกค้าแล้วและเอกสารทั้งหมดถูกต้อง
Tesla ไม่ได้เปิดเผยตัวเลขของรถยนต์ตามรุ่น โดยให้ข้อมูลว่ารถยนต์ Tesla Model S/X ผลิตได้ 15,390 คัน ส่งมอบแล้ว 12,200 คัน และรถยนต์ Tesla Model 3/Y ผลิตได้ 87,282 คัน ส่งมอบแล้ว 76,200 คัน แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าการผลิตรถยนต์ Tesla Model Y เพิ่งเริ่มในเดือนมกราคมและเพิ่งเริ่มส่งมอบในเดือนมีนาคม
จากรายงานตัวเลขในไตรมาสแรกถือว่าเป็นการเติบโตที่ต่อเนื่องของ Tesla หลังส่งท้ายปี 2562 ด้วยตัวเลขการส่งมอบรถยนต์ของบริษัทที่ 367,500 คันเติบโตขึ้น 50% (จากปี 2561) และเดือนมีนาคมที่ผ่านมาบริษัทได้ประกาศความสำเร็จที่ได้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าคันที่ 1,000,000
ทั้งนี้ บรรดานักวิเคราะห์ต่างเชื่อว่าถ้าไม่มีการแพร่ระบาดของ COVID-19 จนทำให้การผลิตในโรงงานที่ฟรีมอนต์ แคลิฟอร์เนียและเซี่ยงไฮ้ต้องชะลอตัวลง ป่านนี้ตัวเลขยอดการผลิตและส่งมอบของ Tesla จะพุ่งมากกว่านี้อย่างแน่นอน
สำหรับภาพรวมอุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลก IHS Markit research ผู้ให้บริการข้อมูลเชิงลึกรายงานด้วยว่า Tesla ได้ยึดกุมตลาดรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกด้วยสัดส่วน 20% ขณะที่ BYD ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนมีสัดส่วน 8 % และ BMW ที่มีสัดส่วนทางการตลาดที่ 7% ครองอันดับ 3
จากข้อมูลของ IHS Markit research ระบุด้วยว่า สัดส่วนยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าของ BMW โตสูง 15% ในขณะที่ยอดขายรวมของบริษัทตกลงราว 20% ในไตรมาสแรกของปี 2020 ซึ่งถือเป็นสัญญาณการเติบโตที่ดีของค่าย BMW โดยรถยนต์ไฟฟ้าในความหมายของ IHS Markit research นั้นหมายรวมถึงกลุ่มรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าในการขับเคลื่อน ไม่ว่าจะเป็น battery electric vehicles (BEV), plug-in hybrids (PHEV) และ range-extended EVs (REX)
กล่าวสำหรับ Tesla Model 3 วางจำหน่ายในจีนที่ราคาประมาณ 1.5 ล้านบาท โดยตัวประกอบในจีนนั้น จะเป็นเวอร์ชั่นที่ติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าซึ่งเป็นจุดขายของTESLA และโรงงานเคลมว่าสามารถทำความเร็วจากจุดหยุดนิ่งถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ด้วยระยะเวลาเพียงแค่ 5.6 วินาที ขณะที่เมื่อชาร์จไฟฟ้าเข้าสู่แบตเตอรี่อย่างเต็มพิกัด ก็สามารถวิ่งได้ไกลถึง 460 กิโลเมตร และเป็นไปตามมาตรฐานของ NEDC พร้อมวารันตี 4 ปี หรือ 80,000 กิโลเมตร สำหรับรุ่นประกอบจีน รวมถึงรับประกันแบตเตอรี่ 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร