โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำทำเนียบขาว กำลังทำให้ชาวโลกเริ่มสงสัยว่านี่เป็นต้นแบบของนักรบยุคใหม่ กล้าเผชิญความท้าทายต่างๆ โดยเฉพาะเชื้อโรคโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ หรือไม่ ดูพฤติกรรม นโยบายทิศทางต่างๆ อยู่เหนือความคาดหมาย นอกตำราทุกอย่าง
มีทั้งความห้าว กร้าว กร่าง ผสมเพี้ยน บางคนมองว่านี่เป็นสายพันธุ์บ้าใหม่ มีทั้งโรคหลงรักตัวเอง Narcissism, บ้าอำนาจ เชื่อว่าตัวเองเหนือมนุษย์ Megalomania และเชื่อมั่นในตัวเองสูงแบบไร้เหตุผลพื้นฐานประกอบ และยังมีอาการอย่างอื่นๆ สารพัด
ต้องให้นักจิตวิเคราะห์คณะใหญ่ประเมินสุขภาพจิต และด้านอื่นๆ นั่นเลย!
อารมณ์คุ้มดีคุ้มร้าย เหมือนผีเข้าผีออก วันก่อนประกาศตัดเงินสมทบช่วยเหลือองค์การอนามัยโลก และขู่ว่าจะตัดถาวร ถ้ายังโอ๋จีน และกลับลำอ้างว่าจะช่วยเพียง 10 เปอร์เซ็นต์ของเงินที่ได้ช่วย หลังจากหลายคนและองค์กรออกมาบริจาคให้องค์กร
จีนประกาศว่าจะจ่ายเงิน 2 พันล้านดอลลาร์ให้องค์การอนามัยโลกด้วย ทำให้สมุนแวดล้อมทรัมป์อ้างว่าจีนต้องการกลบข้อกล่าวหาที่ว่าเป็นต้นตอของการระบาด และช่วงนี้องค์การอนามัยโลกกำลังสอบสวนสาเหตุของการระบาดของโควิด-19 ด้วย
การสอบสวนก่อนหน้านี้ก็ชี้ว่าการระบาดเกิดจากสัตว์ปีกเช่นค้างคาว ไม่ใช่การรั่วจากห้องแล็บเมืองอู่ฮั่น ประเด็นนี้ไม่ทำให้ทรัมป์ เลิกกล่าวหาจีน เพราะต้องการเบี่ยงเบนประเด็นความล้มเหลวของตัวเอง และความหวังที่จะได้วัคซีนในเร็ววันก็ยังเลือนราง
วันก่อนบริษัท Moderna ประกาศว่าการทดลองวัคซีนครั้งแรกกับอาสาสมัครส่งผลน่าพอใจ ทรัมป์ก็เป็นปลื้ม สื่อประโคมข่าวใหญ่โต ทำให้หุ้นบริษัทขึ้น 20 เปอร์เซ็นต์ ภายหลังสื่อตรวจสอบแล้วบอกว่าการทดสอบยังขาดข้อมูลสำคัญ
ทำให้ราคาหุ้นของบริษัทตก 12 เปอร์เซ็นต์ เพราะยังต้องทดสอบระยะ 2 และ 3 กว่าจะรู้ผลชัดเจน จะต้องใช้เวลายืดเยื้อถึงสิ้นปี หุ้นดาวน์โจนส์ที่พุ่ง ก็ร่วงตามด้วย
ทรัมป์ต้องระงับความตื่นเต้นดีใจ เพราะสื่อปูดอีกกว่า Moderna ยังไม่เคยสำเร็จในการผลิตเวชภัณฑ์อะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ประเด็นนี้จะเป็นการแหกตาหวังราคาหุ้นขึ้นหรือไม่ ยังต้องรอ และบางสื่อเปิดเผยว่าหลังจากฉีดวัคซีนแล้ว เกิดผลเป็นบวกเบื้องต้น
ล่าสุด ทรัมป์ประกาศว่าตัวเป็นเหมือนนักรบ ขุนศึกผู้พิชิต การที่มีตัวเลขผู้ติดเชื้อไวรัสสูงกว่าชาติอื่นในโลก คือ 1.57 ล้านคน ยอดคนตาย 9.3 หมื่นคน เป็นความสำเร็จ เพราะยิ่งมีตัวเลขคนติดเชื้อสูง เป็นบทพิสูจน์ว่ามีการตรวจพบคนติดเชื้อมาก
เป็นเหมือน “ตราแห่งเกียรติยศ” หรือ Badge of Honor เป็นมุมมองที่บ้าอีกแบบ!
ทำเอาคนทั้งโลก แพทย์ ผู้เชี่ยวชาญ หัวเราะไม่ออก เพราะทรัมป์ไม่ได้มองว่าเป็นความล้มเหลวของตัวเองในการสกัดการระบาดติดเชื้อ การตายของคนอเมริกัน จนเป็นแชมป์ หาผู้ท้าชิงได้ยาก ยิ่งปลดล็อกใน 50 รัฐ ก็ทำให้คนกลัวว่าจะมีระบาดระลอก 2
ทรัมป์ไม่เคยยอมรับว่าตัวเองทำผิดเรื่องอะไรทั้งนั้น และไม่ยอมรับผิดชอบเรื่องการระบาดในสหรัฐฯ ถือว่าเป็นนักหาแพะรับบาปตัวพ่อ กล่าวหาจีนว่าปกปิดข้อมูล และองค์การอนามัยโลกว่าเอื้อและอวยจีน ทั้งๆ ที่ตัวเองก็ชมจีนว่าจัดการปัญหาได้ดีเยี่ยม
คำชมของทรัมป์ที่ให้ต่อผู้นำจีน สี จิ้นผิง เป็นช่วงที่อเมริกายังไม่มีการระบาด พอเริ่มมี ทรัมป์ก็บอกคนอเมริกันว่าเป็นเรื่อง “จิ๊บจ๊อย” รับรองเอาอยู่ เมื่อตัวเลขเขยิบ ทะยานโลด ก็ยังหาข้ออ้างสารพัดว่ากลบ จนทุกวันนี้ คนตายเกือบ 1 แสนแล้ว ก็ไม่รู้สึก
ก่อนนี้ยังมีคำประกาศทำเอาแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญต่างๆ แทบช็อก เมื่อทรัมป์แนะว่าการฉีดน้ำยาฆ่าเชื้อเข้าไปในร่างกายน่าจะเป็นหนทางหนึ่งในการระงับการระบาด ทำเอาผู้ผลิตน้ำยาฆ่าเชื้อในห้องน้ำรีบออกมาแนะว่าไม่ควรกระทำอย่างยิ่ง แต่ทรัมป์ไม่รู้สึกอีก
เดือนก่อนอ้างว่ายาแก้ไข้มาเลเรีย Hydroxychloroquine สามารถป้องกันและรักษาโควิด-19 ได้ เมื่อมีนายRick Bright ผู้ดูแลงานด้านวัคซีนคัดค้าน ไม่เห็นด้วย ก็สั่งย้ายไปตบยุงอีกองค์การหนึ่ง และได้ไปให้ปากคำต่อคณะกรรมาธิการของสภาคองเกรส
วันก่อนทรัมป์ออกมาประกาศว่าตัวเองกินยาตัวนี้ได้สัปดาห์กว่า หลังจากถามแพทย์ประจำทำเนียบขาวแล้ว และไม่มีเสียงคัดค้าน ทำเอาแพทย์ออกมาเตือนว่าไม่มีหลักฐานทางการแพทย์พิสูจน์ว่ายาตัวนี้ใช้กับโรคโควิด-19 ได้ มีอันตรายภาวะแทรกซ้อน
ที่สำคัญ สามารถส่งผลกระทบต่อหัวใจ โดยเฉพาะทรัมป์ เป็นผู้สูงอายุ น้ำหนักเกิน เป็นโรคอ้วน เป็นความเสี่ยงต่อปัญหาที่อาจจะเกิดจากยาตัวนี้ด้วย หลังจากยืนยันได้ 2-3 วัน ทรัมป์เริ่มเสียงอ่อน แต่ยังไม่ยอมบอกว่าจะเลิกทานยาตัวนี้หรือไม่
นั่นเป็นเพราะรองประธานาธิบดี ไมค์ เพนซ์ ซึ่งเป็นคนประเภท “ถูกครับพี่ ดีครับผม เหมาะสมครับท่าน” บอกผู้สื่อว่าตัวเองไม่ได้ใช้ยาตัวนี้ตามทรัมป์ และตัวเองก็ตรวจเลือดหาเชื้อแทบทุกวัน เพราะโฆษกประจำตัวต้องแยกกักตัวเองเพราะใกล้ชิดคนติดเชื้อ
ไปไหนมาไหน ทรัมป์เปิดหน้าโล่ง ทำตัวสวนคำแนะนำของแพทย์ตลอด!
ทรัมป์ยังทำเป็นเก่ง ไม่ยอมสวมหน้ากากอนามัยให้เป็นตัวอย่างสำหรับคนอเมริกัน อ้างว่าทำตัวระยะห่างจากคนอื่นๆ ตลอดเวลา ไม่เข้าใกล้ใคร และไม่มีใครเข้าใกล้ ทำให้หลายคนรอบตัวทรัมป์ต้องจำใจ ทำตาม ไม่สวมหน้ากาก กลัวท่านผู้นำโกรธ
พฤติกรรมที่มีความเชื่อมั่นตัวเองสูงจนเหมือนคนบ้าไร้เหตุผล ทำให้คนเดาทางไม่ได้ว่าผู้นำทำเนียบขาวคิดอ่าน หรือจะทำอย่างไร มีอย่างเดียวที่ชัดเจนคือ ทรัมป์เห็นแก่ผลประโยชน์ของตัวเองเหนืออื่นใด แม้แต่ชีวิตคนอเมริกันจะตายมากแค่ไหนไม่ใส่ใจ
ทรัมป์จึงทำตัวเป็นคนยุคนอเมริกันแนวขวาจัด อนุรักษนิยม ออกมาเดินขบวนเรียกร้องให้ปลดล็อกข้อห้ามต่างๆ เพื่อให้ธุรกิจเดินหน้าต่อไป คนอเมริกันว่างงานกว่า 36 ล้านคน ต้องพึ่งสวัสดิการคนว่างงาน ตัวเลขยังไม่หยุดนิ่ง เศรษฐกิจถดถอยเป็นติดลบ
รอดูว่าทรัมป์จะออกลูกเล่นอะไรใหม่อีก นอกจากสงครามการค้ากับจีนอีกรอบ