เป็นคำพูดอย่างใกล้ชิดกับประชาชนอังกฤษของนายกฯ บอริส จอห์นสัน ที่พูดอย่างเปิดใจเป็นครั้งแรกหลังรอดชีวิตจากต่อสู้กับข้าศึกร้าย-เจ้าไวรัสโคโรนา
เขารอดมาได้อย่างหวุดหวิด จากคำพูดของเขาเอง ในวันที่ออกจากรพ.เมื่อสองอาทิตย์ที่แล้ว เพื่อไปพักฟื้นตัวที่บ้านพักผ่อนของนายกฯ
วันที่เขาออกจากรพ. เขาบอกว่า ชีวิตจะอยู่หรือจะไป (Could go Either Way) ขณะอยู่ในไอซียู คือ หายใจไม่ออกเพราะข้าศึกโจมตีปอดอย่างเต็มที่ และเขารอดมาได้เพราะเหล่าแพทย์ พยาบาล ได้ดูแลอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะเขาได้เอ่ยนามของพยาบาล 2 คนที่ได้เฝ้าเขาอย่างไม่ห่างถึง 48 ชม.อันตราย ในช่วงที่เขาอาจเสียชีวิตได้ถ้าพลาดการดูแลแม้เพียงนิดเดียว
เมื่อหายจนสามารถกลับมาทำงานได้ตามปกติ เขาก็กลับเข้าทำงานที่ทำเนียบเลขที่ 10 ถนนดาวนิง โดยพูดอย่างจริงใจกับประชาชน หลังผ่านรอดนาทีใกล้ความตายมากับตัวเอง
เขาพูดถึงความทุกข์ยากต่างๆ ที่ทุกๆ คนกำลังประสบอยู่ที่อังกฤษ จากการที่รัฐบาลได้ประกาศ Lock Down ไปเมื่อเดือนที่แล้ว
แต่เขาก็ขอร้องให้ทุกคนอดทนต่อไปอีกนิด เพื่อไม่เปิดทางให้ข้าศึกฟื้นขึ้นมาระบาดยิ่งขึ้น เพราะจะทำให้ความทุกข์ยากที่ได้ช่วยกันเสียสละ จะเสียของเปล่า
“ผมทราบดีว่า มันเป็นสิ่งที่ยากมาก ซึ่งความอดทนของพวกเรากำลังจะหมดไป...ผมก็เช่นกัน และตัวผมเองก็ต้องการให้เศรษฐกิจของเรากลับฟื้นมาเป็นปกติอย่างเร็วที่สุด...แต่ผมจะไม่ยอมโยนทิ้งง่ายๆ กับความพยายาม และความเสียสละของชาวอังกฤษที่ได้ร่วมกันทำมา...จะไม่ยอมเสี่ยงกับการระบาดใหญ่ระลอกสองที่จะทำให้ต้องสูญเสียชีวิตอีกมากมาย...และระบบสาธารณสุข NHS ที่จะรองรับไม่ไหวแน่ๆ”
“ดังนั้น ผมขอร้องให้พวกเราต้องอดทนต่อไปอีกนิด เพราะผมมั่นใจว่า พวกเรากำลังเข้าสู่ตอนจบของศึกครั้งนี้”
“แม้เราจะผ่านมาอย่างยากลำบากสาหัส...แต่พวกเรากำลังเกือบจะประสบความสำเร็จอยู่แค่เอื้อมแล้ว”
วารสารการแพทย์ที่เลื่องชื่อของอังกฤษ The Lancet ซึ่งได้เป็นวารสารการแพทย์ฉบับแรกที่ได้ออกมาเตือนตั้งแต่มกราคมถึงการระบาดใหญ่ทั่วโลกของเจ้าวายร้ายโคโรนาไวรัส โดยมีบรรณาธิการใหญ่คือ Dr.Richard Horton ได้ให้สัมภาษณ์กับคริสเตียน อมานพู ของซีเอ็นเอ็นว่า...เขาโล่งใจ ทันทีที่ได้ยินคำประกาศของนายกฯ บอริส จอห์นสัน เพราะนายกฯ จอห์นสันจะเดินหน้า Lock Down เหมือนดังบทเรียนจากอู่ฮั่น ซึ่งได้ปิดเมืองอย่างเข้มข้นประมาณ 10 อาทิตย์ (76 วัน) เพื่อให้ตัดวงจรชีวิตการระบาดของไวรัส...ขณะนี้อังกฤษอยู่ที่อาทิตย์ที่ 6... เราต้องอดทนอีกนิดจนถึงปลายเดือนพฤษภาคม
จริงๆ แล้วเมื่อเร็วๆ นี้ ดร.ฮอร์ตัน ได้ออกมามีข้อเขียนเสนอนายกฯ บอริส จอห์นสัน โดยแนะนำให้นายกฯ บอริส จอห์นสันต้องให้น้ำหนักกับการบริหารจัดการกับ “ความคาดหวังของประชาชน” ซึ่งนายกฯ บอริส จอห์นสัน ก็สามารถทำได้ตามที่ดร.ฮอร์ตัน ได้ฝากฝังไว้อย่างน่าพอใจ
จริงๆ แล้ว นายกฯ บอริส จอห์นสัน มีพรสวรรค์ดีเยี่ยมในการสื่อสารกับประชาชน จนเมื่อเลือกตั้งครั้งสุดท้าย เขาสามารถนำพาพรรคอนุรักษนิยมเข้าสภาได้อย่างถล่มทลาย แม้ว่า ก่อนนั้น อดีตนายกฯ เทเรซา เมย์ ดูจะสร้างความไม่พอใจอย่างยิ่งให้แก่คนอังกฤษในเรื่อง Brexit
ดร.ฮอร์ตัน ยังคล้อยตามผู้สัมภาษณ์คือ คริสเตียน อมานพู ด้วยว่า นายกฯ บอริส จอห์นสัน เปลี่ยนเป็นบอริสคนใหม่ หลังผ่านช่วงความเป็นความตายที่รอดมาได้อย่างมหัศจรรย์
ดร.ฮอร์ตัน บอกว่า เห็นชัดว่าเขาเปลี่ยนไป ในวิธีการและท่าที...เพราะก่อนที่นายกฯ บอริส จอห์นสัน จะป่วยเจียนตายนั้น เขาไม่ตระหนักหรือเข้าใจลึกซึ้งถึงอาการป่วยที่ “สาหัส” (ขาดใจ) และการระบาดเป็นไฟลามทุ่งอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ทั้งๆ ที่มีการส่งสัญญาณอย่างชัดแจ้งมาจากจีน และอีกหลายๆ แห่งในเอเชีย...คำพูดของนายกฯ บอริส จอห์นสัน ครั้งนี้ เห็นได้ชัดว่า นายกฯ บอริส จอห์นสันตั้งใจมั่นว่าจะต้องระงับการระบาดใหญ่รอบสองไม่ให้เกิดขึ้นเด็ดขาด...และจะต้องทำอย่างดีที่สุดเพื่อปกป้องรักษาชีวิตคนอีกจำนวนมากไม่ให้ต้องล้มหายตายจากเป็นเหยื่อของโรคร้ายในรอบสอง... เราจะต้องเข้มงวดไปตลอดจนถึงปลายพฤษภาคมหรือต้นมิถุนายน
ในข้อเขียนของดร.ฮอร์ตัน ยังได้ทวีตด้วยว่า เราจะต้องใช้เวลาช่วงเดือนพฤษภาคม (ก่อนจะไปสู่การ “เปิดเมือง”) เพื่อ... ตรวจคัดกรองหาผู้ติดเชื้อรายใหม่ทุกคน...และแยกเขาออกมา...ติดตาม (trace) ทุกคนที่สัมผัสกับผู้ติดเชื้อ... เราจะต้องทดสอบคัดกรองให้มากที่สุด...ซึ่งต้องใช้เวลา... และตัวเลขคนตายจะต้องลดลง...ซึ่งเดือนพฤษภาคมนี้ จะต้องทำงานอย่างหนักต่อไปจนกว่าตัวเลขจะลดลงเป็นที่พอใจ ซึ่งผมมั่นใจว่านายกฯ บอริส จอห์นสัน จะมุ่งมั่นทำให้สำเร็จได้...แม้ว่าจะมีแรงกดดันอย่างหนักจากภาคธุรกิจให้กดปุ่มเปิดสวิตช์เศรษฐกิจให้ฟื้นกลับทันที
ดร.ฮอร์ตัน ได้ยกตัวอย่างเทียบตัวเลขผู้ติดเชื้อระหว่างเยอรมนีและอังกฤษ ที่เยอรมนีเขาทำการ Lock Down และตรวจคัดกรองอย่างรวดเร็วก่อนใคร และทำอย่างกว้างขวาง ในขณะที่อังกฤษกว่าจะปิดประเทศก็ช้ามาก และขณะนี้ก็ยังตรวจ (test) คัดกรองไม่ทั่วถึง ดังนั้นเดือนพฤษภาคมจะเป็นเวลามีค่ายิ่งที่ต้องทำงานหนักเรื่องการคัดกรอง, คัดแยกคนติดเชื้อไปรักษา เพื่อจะได้ปราบศึกให้ได้ในครั้งนี้