ช่วงไวรัสมหาภัยกำลังระบาดใหญ่ไปทั้งโลก ได้กดดันให้รัฐบาลแต่ละแห่งต่างทยอยประกาศสงครามสู้กับเจ้าวายร้ายไวรัสนี้ ด้วยการประกาศภาวะฉุกเฉิน เพื่อมีอำนาจเบ็ดเสร็จที่จะผลักดันมาตรการเร่งด่วน ในการทำศึกสงครามปราบปรามการแพร่เชื้อโรคร้ายนี้ ไม่ว่าจะสามารถตั้งงบฉุกเฉินที่นำมาจัดซื้อจัดจ้างอุปการณ์การแพทย์ที่จำเป็นเร่งด่วนในการช่วยชีวิตประชาชนหรือการปิดประเทศ (Lock Down)...ห้ามการเดินทางเข้าออกเป็นการปิดกั้นการจำกัดการเดินทางเข้าประเทศของเจ้าเชื้อโรควายร้าย, หรือการออกคำสั่งเคลื่อนย้ายกำลังทหารเพื่อเข้าช่วยทำรพ.สนามเตรียมรับผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว รวมทั้งคำสั่งยามสงครามที่สามารถบังคับให้โรงงานเอกชนปรับเปลี่ยนระบบการผลิตเพื่อหันมาผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ (เช่น อุปกรณ์การแพทย์ประเภทหน้ากากอนามัย, เครื่องช่วยหายใจ, เจลล้างมือฆ่าเชื้อ รวมทั้งเครื่องมือชุดตรวจเชื้อเบื้องต้น-Test-Kits เป็นต้น)
ที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่งคือ การจัดงบเพื่อแจกทั่วหน้าสำหรับการจัดซื้ออาหารในแต่ละครัวเรือน ในยามที่จะต้องทำตามคำสั่งให้อยู่แต่ในบ้าน-ห้ามออกนอกบ้าน-หรือให้ทำงานจากบ้าน (Work From Home) ซึ่งจะต้องมีทั้งงบที่จะช่วยเหลือคนจำนวนมากที่จะไม่ได้รับเงินเดือน ไม่สามารถหารายได้จากการค้าขายเพราะต้องปิดกิจการตามมาตรการต้องมีระยะห่าง (Social Distancing)
แทบทุกรัฐบาลได้ประกาศภาวะฉุกเฉินอย่างเต็มที่ หรือไม่ก็ใช้อำนาจอย่างไม่เข้มข้น เช่น กรณีสวีเดนที่ออกแต่คำแนะนำแบบหลวมๆ ที่ให้ประชาชนทำสุขภาพให้แข็งแรง และหลีกเลี่ยงอยู่ใกล้ชิดกับคนไม่สบาย ซึ่งสวีเดนกลายเป็นประเทศเดียวในโลกที่ไม่ยอมประกาศภาวะฉุกเฉิน โดยเลือกจะให้ประชาชนสร้างภูมิต้านทานหมู่แทนการแยกประชาชนให้ทำงานอยู่กับบ้าน ซึ่งผลลัพธ์สุดท้ายคงต้องติดตามว่า คนจะตายมากกว่าประเทศที่ใช้มาตรการห้ามออกจากบ้านหรือไม่
ท่ามกลางความชุลมุนกับข่าวร้ายในแต่ละวัน แต่ละชั่วโมงถึงยอดคนติดเชื้อ, ยอดคนตายในแต่ละประเทศ, แต่ละเมือง รวมทั้งมาตรการปิดเมืองห้ามบินเข้าออกจนมีคนตกค้างไม่สามารถกลับบ้านเกิดขึ้นในทุกประเทศ รวมทั้งข่าวสินค้าจำเป็นกับชีวิตถูกกวาดเกลี้ยงจากชั้นขายของ
รัฐบาลหลายแห่งก็ฉวยโอกาสการชุลมุนนี้เพื่อใช้อำนาจฉุกเฉินของตนให้เป็นประโยชน์แก่คณะของตนอย่างที่สุด
ที่ประเทศฮังการี, นายกฯ วิคเตอร์ ออร์บาน (Viktor Orban) ประกาศภาวะฉุกเฉินชนิดไม่มีกำหนดเวลา และสั่งทหารเข้ามาช่วยจัดการกับการระบาดของโควิด-19 จนเป็นที่กล่าวขวัญกันทั่วโลกถึงการฉกฉวยโอกาสเพิ่มอำนาจเบ็ดเสร็จแก่รัฐบาลอย่างน่ากลัวมาก ไม่นำพาต่อรัฐธรรมนูญถึงวาระการเป็นผู้นำ และช่วงอำนาจเบ็ดเสร็จก็สามารถจัดสรรงบประมาณอย่างไม่โปร่งใส, ไม่มีการตรวจสอบจากสภา (สภาทั้งโลกต้องเว้นการประชุมเพราะกลัวติดเชื้อโรค)
นายทรัมป์ถือโอกาสช่วงชุลมุน ปลดข้าราชการตำแหน่งผู้ตรวจการใหญ่ (Inspector General) ประจำกระทรวงความมั่นคงภายใน เพราะเขาเป็นผู้ออกมาให้ความคุ้มครองแก่ Whistle Blower หรือคนเป่านกหวีดเรื่องทรัมป์โทร.ไปพูดกับผู้นำยูเครน ทำการต่อรองผลประโยชน์ของตัวเองมาก่อนผลประโยชน์ของชาติ
ยังไม่พอ, นายทรัมป์ได้ออกประกาศปรับกำหนดมาตรฐานควันเสียจากรถยนต์, เรือบิน, โรงงาน และน้ำเสียจากโรงงาน ให้ลดความเข้มข้นของมาตรฐานที่ได้เคยเพิ่มความเข้มข้นมาตลอดตั้งแต่สมัยคลินตัน และโอบามา เพื่อปกป้องอากาศและแม่น้ำ รวมทั้งการเปิดป่าเพื่อให้บริษัทน้ำมันเข้าไปสำรวจขุดเจาะน้ำมันได้ง่ายขึ้น...ทำเอาอดีตปธน.โอบามา ต้องออกมาโอดครวญถึงการเร่งรีบ “ลัก” ออกคำสั่งนี้ออกมาในยามที่ประชาชนกำลังวุ่นวายกับโควิด-19
ที่อิสราเอล ความอลเวงไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ระหว่างสองพรรคใหญ่ที่อยู่คนละขั้ว และไม่ยอมรวมกันตั้งรัฐบาลแห่งชาติ จนอาจต้องจัดเลือกตั้งครั้งที่ 4 เพื่อพยายามหาพรรคที่สามารถตั้งครม.ให้ได้
ในวันสุดท้ายที่กำหนดตามรัฐธรรมนูญให้ต้องจัดตั้งรัฐบาล นายกฯ รักษาการเบนจามิน เนทันยาฮู ก็สามารถบีบให้อดีตนายพลเบนนี แกนตซ์ หัวหน้าพรรคฟ้า-ขาว ต้องยอมจำใจมาลงนามตกลงจะจัดรัฐบาลแห่งชาติขึ้น ซึ่งเบนนี แกนตซ์ เสียเปรียบมาก เพราะถูกมองว่าไม่มีหลักการ-ที่เคยตอกย้ำจะไม่ตั้งรัฐบาลกับคนโกงอย่างนายเนทันยาฮู แต่เบนนี ต้องยอม เพราะเนทันยาฮูบอกว่า ประเทศกำลังวิกฤตเรื่องโรคไวรัสร้าย...ถ้าไม่มาร่วมตั้งรัฐบาลก็คือไม่เห็นแก่ชาติ...ขณะที่เนทันยาฮู ก็จะได้รับเอกสิทธิไม่ต้องไปขึ้นศาลคดีคอร์รัปชันที่เขากำลังเป็นจำเลยอยู่
รัฐบาลนี้จะผลัดกันเป็นนายกฯ ครั้งละ 18 เดือน โดยเนทันยาฮูจะเป็นนายกฯ ก่อน
ที่ฮ่องกง ท่ามกลางการชุลมุนอัยการได้จับแกนนำฝ่ายต่อต้านรัฐบาลไป 15 คน มีเจ้าของสื่ออย่างนายจิมมี ไหล และนักกฎหมายฝ่ายประชาธิปไตยอายุ 81 ปีคือ นายมาร์ติน ลี ต้องไปเข้าคุกด้วย เป็นการขับเคลื่อนของรัฐบาลฮ่องกงยามโรคร้ายกำลังระบาด
และที่แปลกคือ สื่อต่างประเทศกำลังโฟกัสอำนาจเบ็ดเสร็จนี้มาที่ประเทศไทยว่า ท่ามกลางการชุลมุนโควิด-19 อำนาจเบ็ดเสร็จนี้จะเปิดทางถึงความรั่วไหล ทั้งงบต่างๆ ที่ขาดความโปร่งใสและเป็นธรรม รวมทั้งทรัพยากรของชาติที่อาจมีการจัดสรรอย่างไม่เป็นธรรมแก่คนส่วนใหญ่ พร้อมๆ กับการละเมิดสิทธิในการเรียกร้องความเป็นธรรม อาจจะเกิดขึ้นได้อย่างไม่ต้องสงสัยเลยหรือไม่