วันนี้...คงต้องขออนุญาตชวนให้ร่อนไป-ร่อนมาแถวๆ ยุโรป น่าจะเหมาะกว่า เพราะสำหรับบ้านเรานั้น จำนวนตัวเลขผู้ติดเชื้อไวรัส “COVID-19” ที่ลดๆ ลงมาอย่างมีนัยสำคัญ คงพอทำให้ใครต่อใครหายเครียด หายกังวลลงไปได้บ้าง ส่วนจะถึงขั้น “การ์ดตก-ไม่การ์ดตก” อันนั้น...คงต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้ซึ่งต้องรับผิดชอบเขาไปว่าเอาเองก็แล้วกัน แต่สำหรับบรรดาประเทศในยุโรป ที่ต่างติดเชื้อไวรัสชนิดงอมๆ แงมๆ ถึงขั้นองค์การอนามัยโลก “WHO” เคยระบุไว้ในช่วงกลางเดือนมีนาฯ ว่าจะกลายเป็น “ศูนย์กลางการแพร่ระบาด” ต่อจากจีน และทุกสิ่งทุกอย่างก็ดูจะเป็นไปตามนั้น จนกระทั่งคุณพ่ออเมริกาท่านมาแรงแซงโค้ง คว้าตำแหน่ง “จ้าวโรค” ไปได้ในช่วงหลังๆ อันนี้นี่แหละ...น่าจะต้อง “ตามไปดู” กันเอาไว้มั่ง...
คือสิ่งที่น่าสนใจสำหรับประเทศต่างๆ ในยุโรป นับจากแต่ละประเทศชักเริ่มมีอาการทรงๆ พอจะรักษาระดับจำนวนผู้ติดเชื้อ ผู้ตายจากเชื้อไวรัสตัวนี้ได้บ้างแล้ว สิ่งกำลังกลายเป็น “คำถาม” ตามมา ก็คือว่า...หลังผ่านพ้นวิกฤต “COVID-19” ไปได้แล้ว โฉมหน้าของบรรดาประเทศในยุโรปทั้งหลาย จะเกิดความเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่? อย่างไร? และน่าจะเป็นไปในแนวไหน??? เพราะยังไงๆ ก็แล้วแต่...ความเป็นไปของโลกทั้งโลก ไม่ว่าอดีต-ปัจจุบัน-หรืออนาคตเบื้องหน้า ย่อมต้องมีความเกี่ยวพันกับบรรดาประเทศยุโรปทั้งหลาย ไม่ว่ามากหรือน้อยอย่างมิอาจปฏิเสธได้ โดยเฉพาะโลกที่กำลังอยู่ในทาง 2 แพร่ง ระหว่างความเป็นไปในแบบ “โลกขั้วอำนาจเดียว” กับ “โลกหลายขั้วอำนาจ” การที่โลกจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางแบบใด ก็ขึ้นอยู่กับบรรดาประเทศในยุโรปทั้งหลายนี่แหละ ว่าจะเลือกเดินไปในเส้นทางไหนกันแน่!!!
และสิ่งที่น่าสนใจยิ่งไปกว่านั้นก็คือ...ดูเหมือนว่าเชื้อโคโรนาไวรัส อย่างเชื้อ “COVID-19” ตัวนี้นี่แหละ ที่อาจมีส่วนโน้มน้าวให้เกิดการตัดสินใจที่จะ “เลือก” เดินไปในเส้นทางใดๆ ของบรรดาประเทศในยุโรปอยู่บ้างไม่มากก็น้อย เพราะในช่วงระหว่างที่ยุโรปทั้งยุโรปต้องตกอยู่ในสภาพ “ศูนย์กลางแห่งการแพร่ระบาด” ของเชื้อไวรัส “COVID-19” ตามที่ “WHO” ได้ระบุเอาไว้ สัมพันธภาพระหว่างบรรดาประเทศในยุโรปกับประเทศที่ปรารถนาและต้องการที่จะให้โลกในอนาคตเบื้องหน้า เป็นไปในแบบ “โลกหลายขั้วอำนาจ” อย่างเช่นประเทศจีนและรัสเซีย ออกจะเป็นอะไรที่สดใส ซาบซ่า เอามากๆ ขณะที่สัมพันธภาพกับพันธมิตรซึ่งเคยร่วมเคียงบ่า-เคียงไหล่กันมาโดยตลอด อย่างคุณพ่ออเมริกา ที่หวังเห็น “โลกขั้วอำนาจเดียว” คงอยู่ต่อไปให้จงได้กลับเป็นอะไรที่เหี่ยวปลาย แห้งโหย และระเคืองระคายยิ่งขึ้นเรื่อยๆ...
คือนับจากช่วงกลางๆ เดือนมีนาคม หรือช่วงที่จำนวนตัวเลขผู้ติดเชื้อ ผู้ตายในประเทศยุโรปทั้งหลาย ไม่ว่าอิตาลี สเปน ฝรั่งเศส เยอรมนี ฯลฯ กำลังพุ่งพรวดๆ พราดๆ ชนิดปั่นป่วนระส่ำระสายไปทั่วทั้งยุโรป ช่วงจังหวะนี้นี่แหละ...ที่ได้เกิดสิ่งที่เรียกขานกันในนาม “Mask Diplomacy” หรือการทูตแบบสวมหน้ากากอนามัยอะไรประมาณนั้น อุบัติขึ้นมาทั่วทั้งยุโรป ไม่ว่าโดยจงใจ หรือไม่จงใจก็แล้วแต่ เช่น การปรากฏตัวของ “ทีมแพทย์” “ผู้เชี่ยวชาญ” “หน่วยอาสากาชาด” ฯลฯ จากสาธารณรัฐประชาชนจีนที่ยืนโบก “ธงแดง” เคียงคู่ไปกับอุปกรณ์ความช่วยเหลือทางการแพทย์ ยา เวชภัณฑ์ เครื่องตรวจสอบเชื้อโรค เครื่องช่วยหายใจ หน้ากากอนามัย ชุดสำหรับการตรวจสอบ ฯลฯ ซึ่งถูกขนส่งลำเลียงไปยังสนามบินประเทศในยุโรปแต่ละประเทศนับเป็นตันๆ ไม่ว่าจะเป็นอิตาลี สเปน กรีซ เบลเยียม สาธารณรัฐเช็ก ฝรั่งเศส ออสเตรีย เซอร์เบีย ฯลฯ เกิดการแสดงน้ำใจไมตรี อย่างสุดแสนจะซาบซึ้งเอามากๆ ของบรรดานักธุรกิจชาวจีน ไม่ว่าอภิมหาเศรษฐีอย่าง “แจ็ค หม่า” ที่บริจาคหน้ากากอนามัยจำนวนถึง 2 ล้านชิ้น ให้แก่สเปน ฝรั่งเศส อิตาลี และเบลเยียม ขณะที่อภิมหาเศรษฐีอย่าง “เหริน เจิ้งเฟย” แห่งบริษัท “หัวเว่ย” ก็ไม่ยอมน้อยหน้า ขนเอาหน้ากากอนามัยอีกนับเป็นล้านๆ ชิ้น ตามไปบริจาคให้ชาวสเปน อิตาลี เนเธอร์แลนด์ โปแลนด์ ฯลฯ อย่างชนิดถึงไหนก็ถึงกัน...
ส่งผลให้รัฐมนตรีต่างประเทศอิตาลี “นายLuigi Di Maio” ที่จะซาบซึ้งถึงขั้นน้ำตาซึม น้ำตาไหล หรือไม่อย่างไรก็มิอาจสรุปได้ แต่ก็พร้อมหยิบเอาเรื่องความช่วยเหลือของจีนมาโพสต์ไว้ในเฟซบุ๊กส่วนตัว ชนิดถือเป็น “จิตวิญญาณแห่งความเป็นเอกภาพ” (Solidarity Spirit) เอาเลยถึงขั้นนั้น หรือทำให้นายกรัฐมนตรีสเปน อย่าง “นายPedro Sanchez” ไม่เพียงแต่ออกมาสรรเสริญยกย่องประสิทธิภาพและขีดความสามารถของจีน ในการรับมือกับเชื้อไวรัสอันร้ายกาจได้อย่างเป็นมรรค เป็นผล ยังประกาศว่าพร้อมจะนำเอาแบบอย่าง แนวทางของจีนมาปรับใช้กับประเทศตัวเองซะอีกด้วย และที่ออกจะซึ้งเอามากๆ แบบชนิดสุดจิต สุดใจ ก็เห็นจะได้แก่ประธานาธิบดีเซอร์เบีย “นายAleksandar Vucic” ที่ถึงกับสรุปไว้ถึงขั้นว่า “จีน...คือประเทศเดียวที่พึ่งได้” เอาเลยถึงขั้นนั้น...
และนั่นเอง...ที่อาจทำให้การประชุมกลุ่มประเทศ “17+1” หรือกลุ่มประเทศยุโรปกลางและตะวันออกกับจีน เมื่อช่วงกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ได้เกิดการนำเอาประสบการณ์ในการต่อสู้กับเชื้อไวรัสของจีน มาแลกเปลี่ยนกันในที่ประชุม ชนิดถือเป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือในอภิมหาโครงการ “เส้นทางสายไหมใหม่” ของจีน หรือถือเป็น “Health silk road” หรือ “เส้นทางสายไหมเพื่อสุขภาพ” เอาเลยถึงขั้นนั้น ส่งผลให้ประเทศยุโรปส่วนอื่นๆ ไม่ว่าฝรั่งเศส โปรตุเกส เดนมาร์ก ต่างสนอกสนใจอยากที่จะเข้าร่วมรับรู้ ร่วมเป็นส่วนหนึ่ง อย่างไม่คิดจะปฏิเสธ แม้จะเคยหวาดระแวง หรือยังคงหวาดระแวงต่ออภิมหาโครงการชนิดนี้มาตั้งแต่แรกก็ตาม...
อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่แหละ...ที่เลยก่อให้เกิด “คำถาม” ต่อนักสังเกตการณ์การเมืองระหว่างประเทศ หรือบรรดานักภูมิรัฐศาสตร์ทั้งหลายกันเป็นจำนวนไม่น้อย ว่าโฉมหน้าความเป็นไปของบรรดาประเทศยุโรป จะเปลี่ยนแปลงไปมาก-น้อยแค่ไหน และอย่างไร หลังวิกฤต “COVID-19” ได้ผ่านพ้นไปแล้ว แม้ว่านักสังเกตการณ์บางราย อย่างเช่น “นายErik Brattberg” และ “นายPhilippe Le Corre” ที่ร่วมกันนำเสนอข้อเขียน บทความ เรื่อง “No, COVID-19 Isn’t Turning Europe Pro-China (Yet)” ในเว็บไซต์ “The Diplomat” เมื่อช่วงวันที่ 15 เมษายน ที่ผ่านมา จะยังไม่ถึงกับเชื่อว่าบรรดาประเทศยุโรปทั้งหลายจะหันมา “โปรจีน” กันได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น ซึ่งจะมีเหตุผล ข้ออ้าง มีรายละเอียดน่าเชื่อ-ไม่น่าเชื่อ หรือไม่ อย่างไร คงต้องไปหาอ่านกันเอาเอง...
แต่สิ่งหนึ่งที่นักสังเกตการณ์ทั้ง 2 ราย ไม่ได้หยิบมาพูดถึงไว้ในข้อเขียน บทความ ทั้งๆ เป็นสิ่งที่สามารถก่อให้เกิด “จุดเปลี่ยน” เอามากๆ นั่นก็คืออาการของผู้นำอเมริกา อย่าง “ทรัมป์บ้า” พันธมิตรที่เคยร่วมเคียงบ่า-เคียงไหล่กับประเทศยุโรปมาโดยตลอด ที่ออกจะ “บ้า...ไปแล้ว” ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะการออกมาฟาดงวง ฟาดงา เพื่อหา “แพะรับบาป” จากเชื้อไวรัส “COVID-19” แบบชนิดไม่เลือกหน้า เช่นการประกาศยกเลิกเงินช่วยเหลือ “WHO” จนโลกทั้งโลก...อดไม่ได้ที่จะต้องรุมโขกหัวเธอกันเห็นๆ ไม่ใช่แต่เฉพาะบรรดาพันธมิตรในยุโรปไม่เอาด้วย กระทั่งพันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์ อย่างอิสราเอล ยังถึงกับต้องโดดหนี ประกาศว่า ยังไม่พร้อมที่จะยืนเคียงข้างอเมริกาในเรื่องนี้ ดังนั้น...แม้ว่าการหันมา “โปรจีน” ของประเทศยุโรป ยังไม่ได้เกิดขึ้นในช่วงนี้ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า...จะไม่ได้เกิดความเปลี่ยนแปลงใดๆ ในยุโรป ในช่วงต่อๆ ไป...