xs
xsm
sm
md
lg

บทความ

x

ไวรัสระบาด ชี้คุณภาพคนไทย

เผยแพร่:   โดย: เอนก เหล่าธรรมทัศน์



เอนก เหล่าธรรมทัศน์
ภาคีสมาชิกราชบัณฑิตยสภา

ผมคิดเสมอมาว่าคนไทยนั้นเป็นคนที่มีคุณภาพสูง หนึ่ง เรา”ใจกว้าง” รับเอาอารยธรรม”ต่างถิ่น”ไม่ว่าจะเป็นอินเดีย จีน มอญ เขมร หรือ ฝรั่ง โดยไม่มีปมด้อย เรานำเอา “ของนอก” และ “ความคิดนอก” มาผสานผสมเข้ากับความคิดและวิถีเดิมได้อย่างสร้างสรรค์ สอง เรา “โอบอ้อมอารี” กับคนต่างถิ่นต่างด้าว ให้เข้ามาอยู่ มาค้าขาย มาทำงาน จนกลายเป็นคนไทยรุ่นใหม่ ระลอกแล้ว ระลอกเล่า ทั้งสองเรื่องนี้เป็นจุดแข็งของเรา

มาคราวนี้ โควิด-19 ก็ทำให้ได้เห็นกันทั้งโลกแล้วว่า ระบบสาธารณสุขและการแพทย์ของเรานั้น ช่างทันสมัย มีประสิทธิผล บุคคลากรของเราเก่ง มีหลักวิชา ตรงนี้ต้องยอมรับว่าระบบและบุคคลากรของเราที่เด่นระดับโลกได้นั้น ก็เป็นเพราะเราน้อมรับเอาอะไรที่ดี เอาศาสตร์ที่ดี ที่เหมาะ ของ “ตะวันตก” มาใช้ ไม่รังเกียจ “ หมอฝรั่ง” มาแต่ต้น และหากเราจะสนใจดูใบหน้า และ ดูนามสกุลของหมอ-พยาบาลจำนวนหนึ่ง “นักรบเสื้อขาว” ของเรา ก็จะเดาได้ว่าพวกเขาเป็นลูกหลานคนต่างด้าวที่สังคมไทยเคยโอบอ้อม “ยอมรับ” มาเป็น “ไทยรุ่นใหม่” ด้วยความเต็มใจ นั่นเอง

โควิด-19 ยังชี้ให้เห็นว่าคนไทยนั้นรู้ “กาละ” ว่าขณะนี้บ้านเมืองเราไม่ปกติ หากอยู่ในมหาวิกฤต ต้องสามัคคีกัน เอาบ้านเมืองให้อยู่รอด เรายอมอยู่ในระบบระเบียบที่เข้มงวดมากได้อย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่งแม้แต่ชาวญี่ปุ่น คนที่มีคุณภาพระดับโลก ยังอดชื่นชมเราไม่ได้ เขาตื่นเต้นที่เรามีหน้ากากพอ ใส่หน้ากากกันจริงจัง อยู่ห่างกันจริงในทุกสถานที่นอกบ้าน และสังคมไทยยามลำบากนั้น พลันจะเป็นคน “ใจใหญ่” ทันที ไม่ว่าคนรวย คนจน คนปานกลาง ก็จะบริจาค จะช่วยกัน ไม่ทิ้งกัน “ไม่เห็นแก่ตัว” แทบจะไม่เห็น “คนใจเล็ก” เลย ในยามนี้ น่าทึ่งไหมครับ พากันช่วยคนที่ยากลำบากกว่าเรา และดูแล “นักรบแนวหน้า” จัดหาอุปกรณ์เครื่องมือให้ หมอและพยาบาล หลายชุมชน หลายท้องถิ่น หลายจังหวัด ดูจะสวมจิตใจ “ชาวบ้านบางระจัน” สู้รบกับศัตรู “โควิด-19” ที่มองไม่เห็นกันอย่างแข็งขัน

ลูกหลานผมสองคนที่เป็น สส อยู่ คือ หลานสาว “พลัม” หรือ จุฑาฑัตต์ อายุ 34 ปี และ ลูกชาย “เขต” หรือ เขตรัฐ เหล่าธรรมทัศน์ อายุ 30 ปี เป็นคนรุ่นใหม่ ทั้งสองเป็น สส สมัยแรก ก่อนมีโควิดระบาด ก็มองไม่เห็น “ใจใหญ่” ของสองพี่น้องนี้มากนัก แม้ว่า “พลัม” จะใจบุญสุนทาน ไปวัดอยู่บ่อยๆ แต่เมื่อเกิดโควิดระบาด ทั้งสองคนก็รู้สึกว่า “เป็น สส น่าจะไม่ใช่เพียงแต่นั่งประชุมในสภา “ หรือ “เราต้องไม่เพียงแต่เรียกร้องให้รัฐบาลช่วยประชาชน และหมอพยาบาล เท่านั้น ทั้งสองรู้สึกร่วมกันว่าเวลานี้บ้านเมืองกำลัง “ร้อนร้าย” ไม่ปกติ เป็นอย่างยิ่ง ทั้งพี่ทั้งน้องอยากไปให้กำลังใจ อยากดั้นด้นไปพบหมอพยาบาลและชาวบ้าน เอาอาหารหยูกยา อุปกรณ์ต่างๆ ที่จำเป็นไปให้

สองเดือนมานี้ ผมเห็น สส พลัม กับ สส เขต ออกบ้านแทบทุกวัน เหนื่อยกันมาก แต่ยิ่งทำไปก็ดูจะยิ่งมีความสุข ทุ่มเทกันมาก ไปเยี่ยมหมอ อสม และชาวบ้าน ไม่มีหยุด เอาของที่จำเป็นไปส่งมอบให้กับมือ ที่สำคัญที่สุดคือไปฟัง ไปให้กำลังใจ พลัมเล่าให้ฟังว่า “ สส ไปเยี่ยมเขาแบบนี้ ไม่ใช่ไปแบบหาเสียง มีประโยชน์มาก ค่ะ ปกติอยู่ในสภา เราจะได้แต่ข้อมูลและรายงาน แต่ออกมาเยี่ยมชาวบ้านในยามนี้ เรา ได้ความจริงมามาก” ส่วน เขต ก็เล่าว่า “ทั้งหมอ พยาบาล และ อสม ดีใจมากครับ” และ บางครั้ง “คุยกันไป อสม ที่ปกติไม่เคยเจอ สส ก็จะน้ำตาเอ่อเบ้า “

ผมในฐานะ “อา” และ “พ่อ” ไม่เคยเห็น “ใจใหญ่” ของสองพี่น้องอย่างนี้มาก่อน ครับ วิกฤตโควิด-19 คงเปลี่ยนเขาไปได้ไม่น้อย หรือ มองอีกแง่หนึ่ง จริงๆ แล้ว โควิด-19 คงเพียงไปปลุก “ความดีแบบไทยๆ” ในจิตใจของทั้งสองคนให้ตื่นขึ้นมาเท่านั้นเอง ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน ก็ดีทั้งนั้น นี่แหละกระมังที่คนโบราณมักบอกต่อกันมาว่า “กรุงศรีอยุธยา ในยามลำบากนั้น ไม่เคยสิ้นคนดี” คนดีเที่ยวนี้มีเยอะแยะ ครับ จริงๆ สองคนนี้เป็นเสมือนน้ำหยดเล็กในมหาสมุทรอันยิ่งใหญ่ แค่นั้นเอง


กำลังโหลดความคิดเห็น