xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

หน้ากากหาย-ขายแพง พณ.ไม่ไหว – DSI รออยู่

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ป้อมพระสุเมรุ

เกมซะแล้ว!

กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) บุกเข้าจับกุม พันธ์ยศ อัครอมรพงศ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคภราดรภาพ ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาตลิ่งชัน ที่ 122/2563 ลงวันที่ 7 เม.ย.63

ฐานความผิดในคดีคดีกักตุน-ค้า “หน้ากากอนามัย” เกินราคา

น่าสนใจว่า การจับกุมครั้งนี้ “บิ๊กต่อ” พล.ต.ต.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) นายตำรวจแห่งยุค เป็นผู้นำกำลังเข้าจับกุม “เสี่ยพันธ์ยศ” ด้วยตัวเอง

สะท้อนว่า คดีนี้ “ไม่ธรรมดา” และรัฐบาลกำลัง “เอาจริง” กับการปราบปรามขบวนการกักตุน-ค้า “หน้ากากอนามัย” ซึ่งถูกยกระดับเป็น “สินค้าควบคุม” ตั้งแต่วันที่ 4 ก.พ.เป็นต้นมา

ภายหลังการจับกุม “พันธ์ยศ” ทางตำรวจได้มีการแถลงถึง “เหตุแห่งคดี” ว่า มาจากกรณีของ “เสี่ยบอย แมสก์เยอะ” ศรสุวีร์ ภู่รวีรัศวัชรี ที่โพสต์เฟซบุ๊กอ้างว่ามีหน้ากากอนามัย 200 ล้านชิ้น เชื่อมโยงกับคนใกล้ชิดนักการเมือง จนเกิดดรามาในโลกออนไลน์ ก่อนที่ตำรวจจะขยายผลมาจับกุม “พันธ์ยศ”

ส่วน “พันธ์ยศ” นั้นมีหลักฐานเชื่อมโยงพบว่าเป็น “ตัวการ” ขายหน้ากากอนามัยรายใหญ่ในประเทศ นับเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดความขาดแคลนหน้ากากอนามัยทั่วประเทศในช่วงเกิวิกฤตไวรัสโควิด-19 จนมีการกักตุน และจำหน่ายในราคาสูง

ทั้งที่รัฐบาลกำหนดเป็น “สินค้าควบคุม” และกำหนดให้จำหน่ายเพียงชิ้นละ 2.5 บาทเท่านั้น ก่อนที่จะมีการรณรงค์ใช้ “หน้ากากผ้า” ทดแทนในยามวิกฤต

นอกจากนี้ทางตำรวจยังได้สรุปข้อมูลด้วยว่า หลังมีประกาศให้ “หน้ากากอนามัย” เป็น “สินค้าควบคุม” ผู้ผลิตรายต่างๆ ต้องรายงานปริมาณจำนวนการผลิต การนำเข้า-ส่งออกต่อ “กรมการค้าภายใน” ตั้งแต่เมื่อวันที่ 4 ก.พ.ที่ผ่านมานั้น ได้มีการจับกุมผู้กระทำผิด 328 ราย ยึดของกลางหน้ากากอนามัย 2,587,578 ชิ้น, เครื่องวัดอุณหภูมิ 2,764 เครื่อง, เจลแอลกอฮอล์ 80,500 ลิตร และชุดเครื่องตรวจไวรัสโควิด 55,048 ชิ้น รวมมูลค่าทั้งหมด 71,959,665 บาท

ยังมีความน่าสนใจใน “ระหว่างบรรทัด” ด้วยว่า 1 ในคดีที่สำคัญที่เกี่ยวข้องกับภาวะการขาดแคลนหน้ากากอนามัยภายในประเทศ คือ คดีที่ วิชัย โภชนกิจ อดีตอธิบดีกรมการค้าภายใน แจ้งความต่อ ชัยยุทธ คำคูณ ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางศุลกากร ในฐานะโฆษกกรมศุลกากร กรณีแถลงข่าวการส่งออกหน้ากากอนามัย

ซึ่งล่าสุด “วิชัย” ผู้ร้องทุกข์ ที่เคยฮึดฮัดจะเอาเรื่องให้ได้ “ถอนแจ้งความ” ไปแล้ว

โดยครั้ง “วิชัย” เดินทางไปยัง ปอท.ด้วยตัวเอง เพื่อแจ้งความดำเนินคดี ในข้อหาการหมิ่นประมาทโดยการประชาสัมพันธ์ เพราะเอาข้อมูลที่ไม่เป็นความจริงมาออกสื่อ ทำให้กรมการค้าภายใน ได้รับความเสียหายจากการที่ โฆษกกรมศุลกากร แถลงข่าวรายงานการส่งออกหน้ากากอนามัยในเดือน ม.ค.ถึง ก.พ.2563 ว่ามีการส่งออกหน้ากากอนามัยทั้งสิ้นกว่า 330 ตัน คิดเป็นมูลค่า 160 ล้านบาท โดยเป็นการให้ส่งออกหน้ากากอนามัย ตามใบอนุญาตของกรมการค้าภายใน

เข้าใจได้ว่า “วิชัย” ที่ถูกย้ายจากตำแหน่ง และออกจากราชการไปแล้ว เห็นว่าเป็น “ความผิดเฉพาะตัว” ที่มีต่อตำแหน่งอธิบดีกรมการค้าภายใน จึงตัดสินใจถอนแจ้งความ

ก็ต้องถามต่อว่าแล้ว กระทรวงพาณิชย์ ในฐานะกำกับ กรมการค้าภายใน ที่เป็นผู้ดูแลสต๊อกหน้ากากอนามัยในขณะนั้น ไม่รู้สึกรู้สาต่อ “ข้อกล่าวหาร้ายแรง” ที่ยอมปล่อยให้มีการส่งออกหน้ากากอนามัยทั้งที่บุคลากรทางการแพทย์ที่ต่อสู้กับไวรัสโควิด-19 ไม่มีใช้ และประชาชนไม่สามารถหาซื้อได้

ไม่ได้ต้องการยุแยงให้ข้าราชการมีปัญหาฟ้องร้องกันเอง หากแต่ชี้ให้เห็นว่า หากไม่มีการดำเนินการใดๆ “ข้อกล่าวหาร้ายแรง” ดังกล่าวถือเป็นความจริงหรือไม่

เพราะยังสะท้อนถึงความไม่ชอบมาพากลของการบริหารจัดการหน้ากากอนามัยของกระทรวงพาณิชย์ที่ผ่านมาด้วย

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ช่วงที่ไวรัสโควิด-19 เริ่มแพร่ระบาดแล้ว “อู๊ดด้า" จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ คุยโวว่า หน้ากากอนามัยไม่ขาดแคลนแน่นอน พร้อมให้ข้อมูลเสร็จสรรพว่า ทั้งประเทศมีโรงงานขนาดใหญ่อยู่ 11 โรง กำลังการผลิต (ตอนนั้น) รวมวันละ 1.2 ล้านชิ้น

“และยังมีในสต๊อกอีก 200 ล้านชิ้น” เพียงพอที่จะใช้ไปได้อีก 4-5 เดือนสบายๆ

ผ่านไปร่วม 2 เดือน เพิ่งมีการชี้แจงว่า “200 ล้านชิ้น” ที่ว่า หมายถึง “วัตถุดิบ” ในการผลิต

แต่ปรากฏว่า หน้ากากอนามัยขาดแคลนและราคาแพงตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา หรือช่วงปลายเดือน ม.ค.และมีปริมาณส่งออก “มากผิดปกติ” จนถึงก่อนวันที่ 4 ก.พ.ก่อนการประกาศเป็นสินค้าควบคุม

ที่สำคัญ หน้ากากอนามัยที่หายไปจากท้องตลาดแบบหาซื้อไม่ได้เลย แต่ไปโผล่ใน “ตลาดมืด-ตลาดออนไลน์” ในราคาสูงขึ้นกว่าปกติหลายเท่าตัว อีกทั้งยังมีความเชื่อมโยงมาถึง “คนใกล้ตัวรัฐมนตรี” ด้วย

ปัญหากินเวลามากกว่า 1 เดือน จน “บิ๊กตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต้องสั่งย้ายอธิบดีกรมการค้าภายใน เข้ากรุที่ทำเนียบรัฐบาล พร้อมให้กระทรวงพาณิชย์ ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง

จนมาถึงการประกาศ “สถานการณ์ฉุกเฉิน” และริบอำนาจการบริหารจัดการหน้ากากอนามัย ของศูนย์บริหารจัดการหน้ากากอนามัย กระทรวงพาณิชย์ ไปให้ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ดูแลแทน

ขณะที่กระบวนการตรวจสอบภายในกระทรวงพาณิชย์ ได้มีการตั้ง สุพพัต อ่องแสงคุณ รองปลัดปลัดกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธาน โดยมีตัวแทนจาก ตำรวจ คณะกรรมการกฤษฎีกา และคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ร่วมเป็นกรรมการสอบสวน ตั้งแต่เมื่อกลางเดือน มี.ค. และมีรายงานข่าวว่า สรุปผลสอบส่งให้ บุณยฤทธิ์ กัลป์ยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ไปแล้ว ตั้งแต่วันที่ 31 มี.ค.

ซึ่งยังไม่มีการยืนยัน และยังไม่มีข้อสั่งการใดๆออกมาจากทั้งรัฐมนตรี หรือปลัดกระทรวง

ทั้งนี้ในรายงานสรุปได้ชี้ให้เห็น “ช่องโหว่” ของกระบวนการผลิต ว่ามีการผลิตเกินกว่าจำนวนที่แจ้งกับทางราชการ โดยทำการผลิตในช่วงนอกเวลาที่มีเจ้าหน้าที่รัฐปสังเกตการณ์

ตรงกับข้อมูลของคณะกรรมาธิการ ป.ป.ช. สภาผู้แทนราษฎร ที่ตั้งข้อสังเกตว่า ปริมาณการใช้ไฟฟ้าของโรงงานผลิตหน้ากากอนามัย “สูงขึ้นผิดปกติ” มีการตั้งข้อสังเกตต่อว่า มีการ “ลักลอบ” ผลิตหน้ากากอนามัยนอกเหนือจากที่แจ้งกับทางราชการ

หากใช้รายงานสรุปตัวนี้ “ตัดตอน” เอาผิดเฉพาะ “เอกชน” โรงงานผู้ผลิตก็คงไม่พ้นถูกโห่ว่า “ล้มมวย” อย่างแน่นอน

เพราะอย่าลืมว่า นอกจากหน้ากากอนามัยในตลาดมืดแล้ว ยังมีการส่งออกไปต่างประเทศในช่วงที่เป็นสินค้าควบคุมอีกจำนวนมาก โดยอำนาจของอธิบดีกรมการค้าภายใน ตามข้อมูลของกรมศุลกากรอีกด้วย

นอกจากจะสรุปถึง “ขบวนการ” ดังกล่าวแล้ว ต้องไม่ลืมสอบถึง “เส้นทางการเงิน” ว่ามีข้าราชการระดับสูง หรือนักการเมือง เกี่ยวข้องหรือไม่อย่างไร

สอบเชิงลึกขนาดนั้น คงใช้กลไกภายในกระทรวงพาณิชย์ สาวไปไม่ถึง

วันก่อนเห็นข่าวประชาสัมพันธ์ของ “ดีเอสไอ” กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้จัดตั้ง “ศูนย์ป้องกันปราบปรามอาชญากรรมพิเศษในสถานการณ์การแพร่เชื้อระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019" หรือ “ศูนย์ DSI COVID-19” ขึ้น

มีภารกิจหน้าที่สำคัญเรื่องหนึ่งคือ การป้องกัน ปราบปราม สืบสวนสอบสวนอาชญากรรมพิเศษเกี่ยวกับการฉ้อโกง กักตุน ปัจจัยการแก้ไขปัญหาการระบาดของโรคโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ไว้ด้วย มีช่องทางรับแจ้งข้อมูลการกระทำความผิดเกี่ยวกับสินค้าควบคุม หลายช่องทาง ทั้งเวบไซต์ สายด่วน

ถ้า “รมต.จุรินทร์” อยากเคลียร์คัทตัดจบ ไร้ครหา ก็ติดต่อไปได้ เห็นว่า สมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม รอสายอยู่

พวกขี้ฉ้อหากินบนความเป็นความตาย ความเดือดร้อนของประชาชนแบบนี้ ธรรมดาไม่ได้ ต้องพิเศษใส่ไข่

กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ลับมีดรออยู่แล้ว.



กำลังโหลดความคิดเห็น