ผู้สื่อข่าวรายงานจากกระทรวงพาณิชย์ว่า คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการบริหารจัดการหน้ากากอนามัย ที่ นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัด พณ.ได้แต่งตั้งขึ้นเมื่อกลางเดือนมี.ค.63 โดยมีนายสุพพัต อ่องแสงคุณ รองปลัดพณ. เป็นประธาน และมีตัวแทนจากหน่วยงานต่างๆ เป็นกรรมการ เช่น ตำรวจ , กฤษฎีกา, อย. เป็นต้น ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าวเสร็จแล้ว และได้ส่งผลสอบไปให้ นายบุณยฤทธิ์แล้ว เมื่อวันที่ 31 มี.ค.63 ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาและยังไม่มีคำสั่งใดๆ ออกมา
สำหรับผลการตรวจสอบได้ตั้งประเด็นว่า การบริหารจัดการหน้ากากอนามัย ของศูนย์บริหารจัดการหน้ากากอนามัย กระทรวงพาณิชย์ในช่วงที่ผ่านมา ที่มีนายวิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายใน ดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้ง อย. องค์การเภสัชกรรม เป็นต้น มีช่องโหว่จริงหรือไม่ จนนำมาซึ่งการกักตุนหน้ากากอนามัย และส่งออก
ทั้งนี้ หลังจากการตรวจสอบเอกสารหลักฐานต่างๆ รวมถึงสอบถามจากเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดของกรมการค้าภายใน พบว่า ตั้งแต่เวลา 07.00-17.00 น. ที่มีการส่งเจ้าหน้าที่กรมการค้าภายใน และทหาร ไปเฝ้าที่โรงงานผลิตหน้ากากอนามัยทั้ง 11 แห่ง เพื่อเช็กสต๊อก และต้องส่งทุกชิ้นที่ผลิตได้ ให้ศูนย์บริหารจัดการฯ นำไปกระจายต่อให้กับ รพ. บุคลากรทางการแพทย์ กลุ่มเสี่ยง และประชาชน ไม่มีช่องโหว่ที่จะทำให้หน้ากากอนามัยหลุดลอดเข้าสู่ช่องทางการค้าปกติได้
แต่หลังจากพ้นช่วงเวลาควบคุม หรือตั้งแต่ 17.01 น. เป็นต้นไป พบว่ามีช่องโหว่จริง เพราะไม่สามารถรับรู้ได้ว่าหน้ากากอนามัยที่ผลิตได้นั้น จะเป็นยังไงต่อ เพราะอาจจะมีความเป็นไปได้ที่โรงงานจะแอบขายหลังโรงงานให้กับผู้ที่ต้องการ เพราะกรมการค้าภายใน กำหนดให้ขายให้ศูนย์บริหารจัดการฯ เพียงชิ้นละ 2 บาท หรือทำการกักตุน หรือซุกซ่อนบางส่วนที่ผลิตไว้ แล้วขายทำกำไรภายหลัง เพราะตอนนั้นมีการแจ้งกำลังการผลิตเพียงวันละ 1.2 ล้านชิ้น แต่ต่อมาสามารถเพิ่มขึ้นเป็น 2.3 ล้านชิ้น และจะเพิ่มเป็น 2.8 ล้านชิ้นในเร็วๆ นี้
อย่างไรก็ตาม ผลการตรวจสอบในครั้งนี้ ไม่ได้พุ่งเป้าไปที่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่พุ่งเป้าไปที่วิธีการบริหารจัดการ และผลการตรวจสอบนี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องหน้ากากอนามัยทั้งหมด ที่มีการร้องเรียนผ่านหลายหน่วยงาน ทั้งการกักตุน การส่งออก และการเอาเปรียบประชาชนในรูปแบบต่างๆ โดยการตรวจสอบข้อเท็จจริงของหน่วยงานอื่น มีการสอบลงลึกมากกว่าของกระทรวงพาณิชย์ เพราะมีการสอบไปถึงเส้นทางการเงินของผู้เกี่ยวข้อง และผู้ถูกกล่าวหาว่าอยู่ในขบวนการกักตุน และส่งออกด้วย
“แม้ผลสอบของกระทรวงพาณิชย์ ไม่ได้พุ่งเป้าไปที่การหาความผิดของบุคคลที่เกี่ยวข้อง แต่การจะเอาผิด หรือไม่เอาผิดกับผู้เกี่ยวข้อง ก็สามารถพิจารณาจากเจตนาของการกระทำ และข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องได้ เช่น ประมาทเลินเล่อ จนทำให้เกิดช่องโหว่หรือไม่ หรือมีผลประโยชน์ร่วมกันกับโรงงานหรือไม่ หรือตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 ที่กำหนดให้เจ้าหน้าที่มีอำนาจเข้าไปตรวจสอบโรงงานทุกซอกทุกมุม ได้มีการดำเนินการแล้วหรือไม่ เป็นต้น ซึ่งขึ้นอยู่กับการพิจารณาของปลัดกระทรวงพาณิชย์”รายงานข่าว ระบุ
** บุกจับ "พันธ์ยศ"เอี่ยวค้าหน้ากากอนามัย
วานนี้ (8 เม.ย.) พล.ต.ต.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) นำกำลังตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) เข้าจับกุมนายพันธ์ยศ อัครอมรพงศ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคภราดรภาพ ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ตลิ่งชัน ที่ 122/2563 ลงวันที่ 7 เม.ย.63 ฐานความผิด จงใจทำให้ราคาต่ำเกินสมควร หรือสูงเกินสมควร หรือทำให้เกิดความปั่นป่วนซึ่งราคาของสินค้า (หน้ากากอนามัย) อันมีความผิดตาม มาตรา 29 และมีโทษตาม มาตรา 41 พ.ร.บ.ว่าด้วยสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 และข้อหาเป็นผู้ผลิตไม่แจ้งปริมาณตามสถานที่เก็บ ต้นทุน ค่าใช้จ่าย แผนการผลิต กระบวนการผลิต และวิธีการจำหน่ายสินค้าหรือบริการควบคุมต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ อันมีความผิดตามมาตรา 25 และมีโทษตามมาตรา 38 พ.ร.บ.ว่าด้วยสินค้าและบริการ พ.ศ.2542
โดยเจ้าหน้าที่ชุดจับกุม ได้ทำการสอบปากคำนายพันธ์ยศ ที่คอนโดฯ แห่งหนึ่ง ย่านเพชรเกษม และในวันนี้ (9 เม.ย.) เวลา 10.00 น. พล.ต.อ. สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข รอง ผบ.ตร. จะแถลงรายละเอียดและพฤติการณ์แห่งคดี ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
สำหรับผลการตรวจสอบได้ตั้งประเด็นว่า การบริหารจัดการหน้ากากอนามัย ของศูนย์บริหารจัดการหน้ากากอนามัย กระทรวงพาณิชย์ในช่วงที่ผ่านมา ที่มีนายวิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายใน ดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้ง อย. องค์การเภสัชกรรม เป็นต้น มีช่องโหว่จริงหรือไม่ จนนำมาซึ่งการกักตุนหน้ากากอนามัย และส่งออก
ทั้งนี้ หลังจากการตรวจสอบเอกสารหลักฐานต่างๆ รวมถึงสอบถามจากเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดของกรมการค้าภายใน พบว่า ตั้งแต่เวลา 07.00-17.00 น. ที่มีการส่งเจ้าหน้าที่กรมการค้าภายใน และทหาร ไปเฝ้าที่โรงงานผลิตหน้ากากอนามัยทั้ง 11 แห่ง เพื่อเช็กสต๊อก และต้องส่งทุกชิ้นที่ผลิตได้ ให้ศูนย์บริหารจัดการฯ นำไปกระจายต่อให้กับ รพ. บุคลากรทางการแพทย์ กลุ่มเสี่ยง และประชาชน ไม่มีช่องโหว่ที่จะทำให้หน้ากากอนามัยหลุดลอดเข้าสู่ช่องทางการค้าปกติได้
แต่หลังจากพ้นช่วงเวลาควบคุม หรือตั้งแต่ 17.01 น. เป็นต้นไป พบว่ามีช่องโหว่จริง เพราะไม่สามารถรับรู้ได้ว่าหน้ากากอนามัยที่ผลิตได้นั้น จะเป็นยังไงต่อ เพราะอาจจะมีความเป็นไปได้ที่โรงงานจะแอบขายหลังโรงงานให้กับผู้ที่ต้องการ เพราะกรมการค้าภายใน กำหนดให้ขายให้ศูนย์บริหารจัดการฯ เพียงชิ้นละ 2 บาท หรือทำการกักตุน หรือซุกซ่อนบางส่วนที่ผลิตไว้ แล้วขายทำกำไรภายหลัง เพราะตอนนั้นมีการแจ้งกำลังการผลิตเพียงวันละ 1.2 ล้านชิ้น แต่ต่อมาสามารถเพิ่มขึ้นเป็น 2.3 ล้านชิ้น และจะเพิ่มเป็น 2.8 ล้านชิ้นในเร็วๆ นี้
อย่างไรก็ตาม ผลการตรวจสอบในครั้งนี้ ไม่ได้พุ่งเป้าไปที่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่พุ่งเป้าไปที่วิธีการบริหารจัดการ และผลการตรวจสอบนี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องหน้ากากอนามัยทั้งหมด ที่มีการร้องเรียนผ่านหลายหน่วยงาน ทั้งการกักตุน การส่งออก และการเอาเปรียบประชาชนในรูปแบบต่างๆ โดยการตรวจสอบข้อเท็จจริงของหน่วยงานอื่น มีการสอบลงลึกมากกว่าของกระทรวงพาณิชย์ เพราะมีการสอบไปถึงเส้นทางการเงินของผู้เกี่ยวข้อง และผู้ถูกกล่าวหาว่าอยู่ในขบวนการกักตุน และส่งออกด้วย
“แม้ผลสอบของกระทรวงพาณิชย์ ไม่ได้พุ่งเป้าไปที่การหาความผิดของบุคคลที่เกี่ยวข้อง แต่การจะเอาผิด หรือไม่เอาผิดกับผู้เกี่ยวข้อง ก็สามารถพิจารณาจากเจตนาของการกระทำ และข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องได้ เช่น ประมาทเลินเล่อ จนทำให้เกิดช่องโหว่หรือไม่ หรือมีผลประโยชน์ร่วมกันกับโรงงานหรือไม่ หรือตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 ที่กำหนดให้เจ้าหน้าที่มีอำนาจเข้าไปตรวจสอบโรงงานทุกซอกทุกมุม ได้มีการดำเนินการแล้วหรือไม่ เป็นต้น ซึ่งขึ้นอยู่กับการพิจารณาของปลัดกระทรวงพาณิชย์”รายงานข่าว ระบุ
** บุกจับ "พันธ์ยศ"เอี่ยวค้าหน้ากากอนามัย
วานนี้ (8 เม.ย.) พล.ต.ต.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) นำกำลังตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) เข้าจับกุมนายพันธ์ยศ อัครอมรพงศ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคภราดรภาพ ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ตลิ่งชัน ที่ 122/2563 ลงวันที่ 7 เม.ย.63 ฐานความผิด จงใจทำให้ราคาต่ำเกินสมควร หรือสูงเกินสมควร หรือทำให้เกิดความปั่นป่วนซึ่งราคาของสินค้า (หน้ากากอนามัย) อันมีความผิดตาม มาตรา 29 และมีโทษตาม มาตรา 41 พ.ร.บ.ว่าด้วยสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 และข้อหาเป็นผู้ผลิตไม่แจ้งปริมาณตามสถานที่เก็บ ต้นทุน ค่าใช้จ่าย แผนการผลิต กระบวนการผลิต และวิธีการจำหน่ายสินค้าหรือบริการควบคุมต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ อันมีความผิดตามมาตรา 25 และมีโทษตามมาตรา 38 พ.ร.บ.ว่าด้วยสินค้าและบริการ พ.ศ.2542
โดยเจ้าหน้าที่ชุดจับกุม ได้ทำการสอบปากคำนายพันธ์ยศ ที่คอนโดฯ แห่งหนึ่ง ย่านเพชรเกษม และในวันนี้ (9 เม.ย.) เวลา 10.00 น. พล.ต.อ. สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข รอง ผบ.ตร. จะแถลงรายละเอียดและพฤติการณ์แห่งคดี ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ