เห็นตัวเลขประมาณการ...ที่ที่ปรึกษาด้านสาธารณสุขของผู้นำอเมริกา “Dr.Anthony Fauci” นำมาอ้างอิงระหว่างการพูดคุย สนทนา ในรายการโทรทัศน์ “CNN” เมื่อช่วงวันอาทิตย์ (29 มี.ค.) ที่ผ่านมา ถึงจำนวน “ผู้ติดเชื้อ” และผู้ที่อาจต้อง “เด๊ดสะมอเร่ อิน เดอะ เท่งทึง” เพราะเชื้อ “COVID-19” ในประเทศมหาอำนาจสูงสุดอย่างอเมริกาแล้ว ต้องเรียกว่า...หนาวว์ว์ว์กันไปทั้งประเทศ หรือทั้งโลกเอาเลยก็ไม่แน่!!!...
คือจำนวนผู้ติดเชื้อ...อาจปาเข้าไปในระดับนับเป็นล้านๆ คน ส่วนจำนวนผู้ตายอาจพุ่งขึ้นไปถึง 100,000-200,000 คน แม้ว่าตัวเลขที่ว่านี้ ถูกอ้างว่านำมาจากการคาดคะเนของผู้อำนวยการองค์กร “The National Institute of Allery and Infectious Diseases” ไม่ใช่จากความคิด ความเห็นของที่ปรึกษาด้านสาธารณสุขของประธานาธิบดีอเมริกันล้วนๆ แต่ตัว “Dr.Anthony Fauci” เอง ก็ดูจะไม่ได้เห็นต่าง หรือคิดเห็นเป็นอย่างอื่นมากมายสักเท่าไหร่นัก และภายใต้สภาพเช่นนี้นี่เอง ที่ทำให้การรับมือกับปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อ “COVID-19” ในอเมริกา ที่ได้กลายเป็น “คนละเรื่องเดียวกัน” กับการรับมือการแก้ปัญหา “ภาวะเศรษฐกิจถดถอย” ในอเมริกาไปเรียบร้อยแล้ว ยิ่งเป็นอะไรที่ชุลมุน ชุลเก ซับซ้อน ซ่อนเงื่อน เพื่อนทรยศหนักขึ้นไปอีกชนิดแทบไม่รู้จะออกลูกไหนกันดี หรือแทบ “ไปไม่เป็น” เอาเลยถึงขั้นนั้น...
เรียกว่า...จะปิดบ้าน-ปิดเมือง ปิดมหานครนิวยอร์ก เหมือนอย่างที่คุณพี่จีนท่านตัดสินใจ “ปิดเมืองอู่ฮั่น” แต่เริ่มแรก ก็ออกจะลำบากยากเย็นแสนเข็ญมิใช่น้อย ไม่ใช่แต่เฉพาะผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก จะออกมาปฏิเสธ คัดค้านเสียงแข็ง ว่าไม่ได้สอดคล้องกับ “ความเป็นอเมริกัน” เอาเลยแม้แต่น้อย แต่เมื่อจำนวนตัวเลขคนติดเชื้อ คนตาย มันพุ่งพรวดๆ พราดๆ แทบไม่น้อยไปกว่าตัวเลข “คนว่างงาน” การตัดสินใจว่าจะให้น้ำหนักไปในด้านไหนกันดี ระหว่าง “ความกลัวตาย” กับ “ความกลัวไม่มีตังค์ใช้” เลย ยิ่งเป็นอะไรที่ลำบากเอามากๆ โดยเฉพาะในช่วงที่การหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดี กำลังใกล้เข้ามายิ่งขึ้นเรื่อยๆ เพราะการให้น้ำหนักไปในด้านหนึ่ง ด้านใด อาจนำมาซึ่งความฉิบหาย หรือความพ่ายแพ้ทางการเมืองได้เสมอๆ...
อีกทั้งการ “แก้ปัญหาเศรษฐกิจอเมริกา” ในช่วงภาวะการระบาดของเชื้อไวรัส “COVID-19” ก็ไม่ได้ง่ายๆ สบายๆ เหมือนอย่างครั้งการแก้ปัญหาเศรษฐกิจยุค “วิกฤตการเงิน” ปีค.ศ. 2008 เอาเลยแม้แต่น้อย ครั้งนั้น...หลังการล้มละลายของบริษัทการเงินอย่าง “Lehman Brothers” แค่ไม่กี่วัน รัฐมนตรีคลังและประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ ช่วงนั้น ตัดสินใจพิมพ์เงิน อัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบประมาณ 700,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อ “อุ้ม” สถาบันการเงิน จนสามารถประคับประคองระบบการเงินทั้งระบบ ไม่ให้พินาศ ฉิบหายกันต่อหน้าต่อตา โดยเฉพาะเมื่อรัฐบาลและธนาคารกลางประเทศอื่นๆ พร้อมร่วมด้วยช่วยกันอย่างเป็นระบบ ทุกสิ่งทุกอย่าง...ก็เลยสามารถรอดพ้น “วิกฤต” มาได้ไม่ยากส์ส์ส์...
แต่สำหรับคราวนี้...มันคงไม่ได้เกี่ยวแต่เฉพาะสถาบันการเงินหรือภาคธุรกิจการเงินเท่านั้น เพราะไม่ว่าภาคการผลิต การบริการการท่องเที่ยว เดินทาง การขนส่ง การค้า-การลงทุน ฯลฯ ต่างถูก “COVID-19” ตามไปเล่นงาน ไปด้วยกันทั้งสิ้น ชนิดไม่ว่าจะเป็น “Demand” หรือ “Supply” มีแต่ต้อง “เหี่ยวปลาย” ไปด้วยกันทั้งนั้น ชนิดใครก็ตาม...ที่ไม่สามารถ “เอาอยู่” หรือไม่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสตัวนี้ได้อยู่หมัด โอกาสที่จะ “แก้ปัญหาเศรษฐกิจ” ภายในประเทศตัวเอง แทบเป็นไปไม่ได้เอาเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าจะอัด จะฉีดกันในแบบไหนและอย่างไรก็ตาม...
ดังนั้น...การที่ประเทศ “มหาอำนาจคู่แข่ง” อย่างประเทศจีน สามารถประสบความสำเร็จในการควบคุม บังคับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสตัวนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผลเอามากๆ จนพลิกสถานะตัวเอง จากประเทศต้นตอ ต้นกำเนิดเชื้อไวรัส กลายมาเป็นประเทศที่ “ส่งออกความช่วยเหลือ” ไปยังนานาประเทศทั่วโลก ไม่ว่าเอเชีย ยุโรป แอฟริกา ตะวันออกกลาง สามารถเริ่มต้นกระบวนการผลิต สามารถเริ่มเรียงร้อยห่วงโซ่แห่งอุปทานให้กับภาคธุรกิจและการผลิตต่างๆ ในระดับทั่วทั้งโลกได้บ้างแล้ว จึงทำให้นักวิเคราะห์ผู้เชี่ยวชาญด้าน “ความเสี่ยง” ทางการเมืองและเศรษฐกิจ อย่าง “นายEric Kraus” ถึงกับตัดสินใจ “ฟันธง” ไว้กับสำนักข่าว “รัสเซีย ทูเดย์” เมื่อวัน-สองวันที่ผ่านมาว่า โอกาสที่จะเกิดการ “ร่นระยะเวลาการเปลี่ยนแปลง” จากความเป็นมหาอำนาจหนึ่งไปสู่อีกมหาอำนาจหนึ่ง หรือจากความเป็นมหาอำนาจสูงสุดของอเมริกา ไปสู่การผงาดขึ้นมาแทนที่ของจีน ไม่ว่าทางการเมือง หรือเศรษฐกิจ จะปรากฏให้เห็นไม่เกิน “กลางทศวรรษหน้า” จริง-ไม่จริง...คงต้องคอยจับตากันต่อไป อย่างมิอาจกะพริบตาได้โดยเด็ดขาด...
และสิ่งที่น่าสนใจเอามากๆ ก็คือว่า...การเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้ ยังไม่ได้หมายถึงเพียงแค่อำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังหมายรวมไปถึง “ค่านิยมทางสังคม” หรือความคิด ความอ่านของผู้คนที่มีต่อระบบ หรือระบอบต่างๆ ควบคู่ไปอีกด้วย ที่อาจต้องเกิดความเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย ไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง อันเป็นความคิด ความเห็น ที่ออกจะสอดคล้องต้องกันกับนักทฤษฎีชาวเช็ก อย่าง “Dr.Lubos Motl” อดีตผู้ช่วยศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ที่ได้มองการมาถึง หรือการแพร่ระบาดของเจ้าเชื้อไวรัส “COVID-19” ตัวนี้ ไปถึงขั้นอาจก่อให้เกิด “Decadent like the late Roman Empire” อันเนื่องมาจาก “The West is committing suicide through its irrational response to COVID-19” หรือเกิด “ความเสื่อม” ต่อ “อารยธรรมตะวันตก” ไม่ต่างไปจากครั้งปลายยุคจักรวรรดิโรมัน ด้วยเหตุเพราะการฆ่าตัวตายอย่างไร้เหตุไร้ผลของบรรดาประเทศตะวันตกทั้งหลาย ในการเผชิญหน้ากับภาวะการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส “COVID-19” เอาเลยถึงขั้นนั้น...
โดยข้อเขียน บทความของนักทฤษฎีชาวเช็กรายนี้ ที่ตั้งชื่อไว้ตามที่ได้กล่าวไปแล้ว เสนอแง่คิด แง่มุม ที่ออกจะน่าสนใจไม่น้อย ถึงบรรดา “ความเสื่อม” ในลักษณะต่างๆ ของอารยธรรมตะวันตก หรือแนวคิดแบบตะวันตก ที่คงไม่ได้ถือเป็น “เรื่องใหม่” สำหรับบรรดานักคิดและนักทฤษฎีทั้งหลาย เพราะสิ่งเหล่านี้เคยถูกนำไปใช้เป็น “หัวข้อการประชุม” หรือประเด็นในการประชุมด้านความมั่นคงของบรรดาประเทศตะวันตก ที่เรียกๆ กันย่อๆ ว่า การประชุม “MSC” หรือ “Munich Security Conference” ครั้งที่ 55 ที่กรุงมิวนิก ประเทศเยอรมนี เมื่อช่วง 2 เดือนที่แล้ว (14-16 ก.พ.) นี่เอง นั่นคือประเด็นหรือหัวข้อการประชุมอันว่าด้วยเรื่อง “Westlessness” หรือเรื่องความไร้บทบาท อิทธิพล แห่ง “ความเป็นตะวันตก” ที่ชักออกอาการเสื่อมลงๆ ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ...
ยิ่งเมื่อต้องเจอกับการออกฤทธิ์ ออกเดช ของเจ้าเชื้อไวรัส “COVID-19” ตัวนี้...การแสดงอาการหันรี-หันขวางกับการหาจุดสมดุลระหว่าง “เสรีภาพส่วนบุคคล” หรือ “สิทธิมนุษยชน” กับการใช้อำนาจของรัฐแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด หรือแบบเผด็จการ ยิ่งทำให้เกิดความสับสน ความชุลมุนวุ่นวายต่อความเป็น “ประชาธิปไตยแบบตะวันตก” ยิ่งขึ้นไปอีก และทำให้ความสำเร็จของประเทศเผด็จการอย่างจีน ที่สามารถเอาชนะปัญหา อุปสรรคต่างๆ ไม่ว่าตั้งแต่ความยากจนของผู้คน ความเจริญเติบโตและความเสมอภาคทางเศรษฐกิจ ไปจนถึงสามารถเอา “เชื้อโรค” ได้อีกต่างหาก ฯลฯ เริ่มกลายเป็นตัวตั้ง “คำถาม” ต่ออารยธรรมตะวันตก หรือแนวคิดแบบตะวันตกที่มีสภาพไม่ต่างจาก “จักรวรรดิโรมัน” ยุคปลาย หรือยุคใกล้จะเสื่อมสลาย ยิ่งเข้าไปทุกที...