เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงหนีไม่พ้นต้องแวะไปดูคุณพ่ออเมริกากันก่อนเป็นอันดับแรก เพราะการที่ต้องเจอกับการบุก การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส “COVID-19” คราวนี้ ต้องเรียกว่า...ออกจะเป็นอะไรที่หนักหนา-สาหัส ในระดับอ้วกแตก-อ้วกแตนพอสมควร ชนิดเห็นว่าล่าสุด...ถึงขั้นผงาดขึ้นเป็น “ประมุขโรค” หรือ “ผู้นำโรค” กันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คือจำนวน “ผู้ติดเชื้อ” พุ่งทะลุหลักแสน ตายไปแล้วเป็นพันๆ มาแรงแซงโค้งนำหน้าทุกๆ ประเทศ อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้เลย...
แล้วยังงี้...โอกาสที่จะ “รี-โอเพ่น” โอกาสที่จะเลิกชัตดาวน์ ล็อกดาวน์ กลับมา “เปิดอเมริกากันใหม่” ในช่วงก่อนวันอีสเตอร์ หรือช่วงกลางเดือนเมษาฯ ที่จะถึงนี้ ตามคำประกาศแบบชนิด “บ้า...ก็...บ้าวะ” ของผู้นำประเทศอย่าง “ทรัมป์บ้า” ยังไงๆ...ก็น่าจะยากส์ส์ส์เอามากๆ ยิ่งไม่ว่าหน้ากาก เวชภัณฑ์ เครื่องตรวจเชื้อ เครื่องช่วยหายใจ ฯลฯ ดันขาดๆ แคลนๆ ชนิดต้องขอร้อง วิงวอน ประเทศต่างๆ ให้ส่งออก หรือส่งความช่วยเหลือ เป็นการด่วน ทุกสิ่งทุกอย่างก็มีแต่น่าจะลำบากยิ่งขึ้นไปใหญ่ และนั่นย่อมหนีไม่พ้นที่จะต้องส่งผลให้ “เศรษฐกิจอเมริกา” ที่เคยหวังๆ ว่าจะ “Great Again” อาจต้อง “Dead Again” เอาง่ายๆ...
อย่างที่นักวิเคราะห์เศรษฐกิจฟิลิปปินส์ 2 ราย คือ “Manuel M. Dayrit” และ “Ronald U. Mendoza” เขาได้ให้ความคิด ความเห็น ไว้ในข้อเขียน บทความ เรื่อง “COVID-19 : Countering Economic Contagion” ในเว็บไซต์ “The Diplomat” ตั้งแต่เมื่อช่วงต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมานั่นแหละว่า การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส “COVID-19” คราวนี้ มันก่อให้เกิดการแพร่ระบาด 2 รูป 2 แบบ หรือ 2 ลักษณะด้วยกัน คือในรูปการแพร่ระบาดของ “ตัวเชื้อโรค” กับการแพร่ระบาดของ “ผลกระทบทางเศรษฐกิจ” ที่ต่างก็หนักหนาสาหัสไม่น้อยไปกว่ากัน ดังนั้น...ขณะคุณพ่ออเมริกาท่านเจอกับการแพร่ระบาดของตัวเชื้อโรค จนต้องผงาดขึ้นเป็น “ผู้นำโรค” กันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โอกาสที่จะหันมาระงับยับยั้งการแพร่ระบาดของ “ผลกระทบทางเศรษฐกิจ” ด้วยการเลิกชัตดาวน์ ล็อกดาวน์ เลิกกำหนดระยะห่างทางสังคม ฯลฯ เพื่อให้ทุกสิ่งทุกอย่างหันมาดำเนินไปตามปกติ ก็ยิ่งแทบเป็นไปไม่ได้เอาเลย...
เศรษฐกิจอเมริกา...ที่ต้องเจอกับ “ตัวเลขการว่างงาน” ตามการประมาณการของผู้บริหารธนาคารกลางสาขาเซนต์หลุยส์ อย่าง “นายJames Bullard” ที่ออกมาคาดคะเนไว้เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ว่าอาจพุ่งขึ้นไปถึง 30 เปอร์เซ็นต์ เลยกลายเป็นตัวเลขประมาณการที่สูงซะยิ่งไปกว่าตัวเลขการว่างงาน เมื่อครั้ง “The Great Depression” หรือเมื่อครั้งวิกฤตเศรษฐกิจปี ค.ศ. 1930 ที่พุ่งขึ้นไปเพียงแค่ 24 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ส่วน “ตัวเลข GDP” ที่ว่ากันว่าอาจลดลงไปเกือบครึ่งหนึ่ง หรือประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ ในช่วงไตรมาส 2 นั้น แต่ถ้าทุกสิ่งทุกอย่างมันยังไม่สามารถกลับมา “รี-โอเพ่น” กันได้ อย่างที่ผู้นำอเมริกาปรารถนาและต้องการให้เป็นเช่นนั้น โอกาสที่จะ “Dead Again” ไม่ว่าทั้งเศรษฐกิจอเมริกา หรือทั้งชาวอเมริกันที่แม้จะได้รับแจกเงินเป็นฟ่อนๆ ไปแล้วก็ตาม ย่อมมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ...
เพราะการแจกเงิน แจกทอง การอัดฉีดเศรษฐกิจในลักษณะเช่นนี้...มันคงไม่ได้ช่วยอะไรขึ้นมามากมายสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะในระยะยาว และโดยเฉพาะประเทศที่เต็มไปด้วย “หนี้สิน” อย่างอเมริกา ที่ปริมาณหนี้ปาเข้าไปกว่า 23 ล้านล้านดอลลาร์ไปเรียบร้อยแล้ว แถมอาจส่งผลให้ปริมาณเงินดอลลาร์ที่แทบ “ท่วมโลก” อยู่แล้ว ก่อให้เกิดภาวะเงินเฟ้อในระดับโลกได้ไม่ยากส์ส์ส์ และนั่นเอง...ที่อาจเป็นเหตุผลหนึ่ง ซึ่งทำให้ระดับผู้อำนวยการบริหารกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) “นางKristalina Georgiva” เลยไม่ได้ลังเลเอาเลยแม้แต่นิด ที่จะออกมา “ฟันธง” แบบเต็มผืน เต็มด้าม ไปเมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ว่าคงไม่เป็นที่สงสัยอีกต่อไปแล้วว่า “เศรษฐกิจโลก...ได้เข้าสู่ภาวะถดถอยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว” เพียงแต่ว่าจะถอยหนัก ถอยแรง ไปถึงขั้นไหน แต่ที่แน่ๆ ก็คือ...ไม่น่าจะถอยน้อยไปกว่าครั้งที่เคยเกิด “วิกฤตการเงินโลก” เมื่อช่วงสิบกว่าปีที่แล้ว...
หรือถ้าว่ากันตามตัวเลขประมาณของหน่วยงานเศรษฐกิจ “OECD” (Organisation for Economic Co-operation and Development) เมื่อช่วงต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ตัวเลข “GDP” ของโลกทั้งโลกนั้น น่าจะลดลงไปไม่น้อยกว่า 0.5 เปอร์เซ็นต์หรือจากที่เคยโตๆ ประมาณ 2.9 อาจเหลือแค่ 2.4 แต่ถ้าว่ากันตัวเลขประมาณของ “Blomberg Economics” อาจหนักหนาสาหัสยิ่งไปกว่านั้น คืออาจเหลือแค่ 0 เปอร์เซ็นต์ หรือออกอาการ “Zero Growth” เอาง่ายๆ เพราะ “การแพร่ระบาดของเชื้อโรค” ที่มันกลายเป็น “คนละเรื่องเดียวกัน” กับ “การแพร่ระบาดของผลกระทบทางเศรษฐกิจ” นั้น ได้ทำให้ตัวเลขประมาณการ GDP ของแต่ละประเทศ ล้วนแล้วแต่หัวทิ่มดินกันไปเป็นรายๆ ไม่ว่าอเมริกา อียู จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไปจนถึงสิงคโปร์ ฯลฯ ที่ถือเป็น “โรงงานแห่งเอเชีย” ทั้งหลาย หรือทำให้ไม่ว่าทั้ง “Demand” และ “Supply” หรือทั้งอุปสงค์และอุปทานต่างออกอาการ “เหี่ยวปลาย” ไปด้วยกันทั้งสิ้น...
ภาวะเศรษฐกิจโลกนับจากนี้เป็นต้นไป...จึงทำท่าว่า เผลอๆ...อาจต้องเป็นไปตามที่บรรดา “นักเศรษฐศาสตร์กระแสรอง” จำนวนไม่น้อย ไม่ว่าประเภทที่ถูกเรียกขานกันในนาม “เศรษฐศาสตร์สิ่งแวดล้อม” (Ecological Economy) “เศรษฐศาสตร์เชิงพุทธ” (Buddhist Economy) “เศรษฐกิจพึ่งตนเอง” (Self-Reliant Economy) “เศรษฐกิจยั่งยืน” (Sustainable Economy) ฯลฯ เคยเรียกร้องต้องการมานานแล้ว นั่นคือการเรียกร้องให้บรรดาประเทศต่างๆ ทั่วทั้งโลก หันมาใช้แนวทางเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ แบบที่เรียกว่า “การจำกัดการเติบโต” (The Limits to Growth) หรือ “การลดระดับการเติบโต” (Degrowth) หรือ “การเติบโตเท่ากับศูนย์” (Zero Growth) ฯลฯ ด้วยเหตุผลที่ว่า...เนื่องจากการพัฒนาเศรษฐกิจของแต่ละประเทศในโลกนี้ ที่มักอยู่ภายใต้การครอบงำโดยแนวคิดที่เรียกว่า “Growth mania” หรือ “บ้าการเติบโต” ของพวก “นักเศรษฐศาสตร์กระแสหลัก” ทั้งหลาย ตลอดช่วงระยะกว่า 200 ปี นับจากการ “ปฏิวัติอุตสาหกรรม” เป็นต้นมา กำลังส่งผลให้โลกทั้งโลก “เดินหน้าไปสู่ความฉิบหาย” อย่างเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้นทุกที...
แต่ก็นั่นแหละ...ด้วยเหตุเพราะบรรดา “นักเศรษฐศาสตร์กระแสรอง” เหล่านี้ ล้วนแต่ปราศจากอำนาจอิทธิพลใดๆ ไม่ว่าในทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคมมาโดยตลอด กระแสความเรียกร้องต้องการ ในทำนองนี้ มันจึงเงียบหาย หรือไม่ได้ส่งผลให้เกิดอะไรที่เป็นจริง เป็นจัง เอาเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าใครต่อใครจะพอเริ่มมองเห็น “ความฉิบหาย” ของโลกทั้งโลกชัดเจนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าโดยการเปลี่ยนแปลงของสภาวะอากาศ ความพังพินาศของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และอะไรต่อมิอะไรที่อาจต้องใช้เวลาพอสมควร ถึงจะฉิบหายกันแบบต่อหน้าต่อตา แต่ครั้นเมื่อหันไปพึ่งบริการ “COVID-19” แค่พักเดียวเท่านั้น ทุกสิ่งทุกอย่างก็ทำท่าอาจต้องเป็นไปตามข้อเรียกร้องของบรรดาพวก “นักเศรษฐศาสตร์กระแสรอง” อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ แบบชนิดแทบจะฉับพลัน-ทันที!!!