เอเอฟพี/เอเจนซีส์ - ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ตัดสินใจเมื่อคืนวันเสาร์ (28 มี.ค.) ไม่ประกาศมาตรการล็อกดาวน์นิวยอร์กและรัฐเพื่อนบ้านเป็นเวลา 2 สัปดาห์ หลังจากมีเสียงต่อต้านอย่างแรงจากผู้นำทางการเมืองของท้องถิ่น ตลอดจนคำเตือนที่ว่าอาจกลายเป็นชนวนทำให้เกิดแพนิกความแตกตื่นขึ้นมาได้
อย่างไรก็ดี ศูนย์กลางเพื่อการควบคุมและการป้องกันโรค (ซีดีซี) ของสหรัฐฯ ก็ได้ออกคำแนะนำในคืนวันเสาร์ (28) เช่นกัน ขอให้ชาวบ้านชาวเมืองในอาณาบริเวณดังกล่าวงดการเดินทาง เว้นแต่มีความจำเป็นเท่านั้น
“การกักกันโรคจะไม่มีความจำเป็นอะไร” ทรัมป์ทวิตเช่นนี้ ราว 8 ชั่วโมงหลังจากเขาสร้างความตะลึงงันให้แก่เขตมหานครนิวยอร์ก ซึ่งกำลังกลายเป็นศูนย์กลางการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ “โควิด-19” ในสหรัฐฯอยู่ในปัจจุบัน ด้วยการเสนอว่าจะสั่งกักกันโรคพื้นที่ตรงนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้ชาวบ้านชาวเมืองเดินทางออกจากบ้านไปไหน
หากมีการประกาศใช้การล็อกดาวน์ในลักษณะดังกล่าว มันก็จะกลายเป็นมาตรการเข้มงวดรุนแรงที่สุดเท่าที่รัฐบาลสหรัฐฯเคยนำออกมาบังคับใช้เพื่อชะลอการแพร่กระจายของเชื้อโรคร้ายนี้
ก่อนหน้านี้ ในตอนที่เขาแสดงท่าทีว่าจะประกาศนั้น เขาระบุว่าเขากำลังตอบสนองความวิตกกังวลในรัฐอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งฟลอริดา ที่หวั่นกลัวว่า พวกผู้เดินทางจากมหานครนิวยอร์กและปริมณฑล อาจแพร่กระจายโควิด-19 ในชุมชนของพวกเขา
ทรัมป์บอกกับพวกผู้สื่อข่าวว่า ชาวนิวยอร์ก “ที่ติดเชื้อกันอย่างหนักหน่วง” คือภัยคุกคามต่อฟลอริดา รัฐทางภาคใต้ของประเทศซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางเพื่อการพักผ่อนวันหยุดยอดนิยมสำหรับผู้คนในภาคตะวันออกเฉียงเหนืออย่างนิวยอร์ก
แต่หลังจากคำเตือนแรงๆ ทั้งจาก แอนดรูว์ คูโอโม ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก และ เน็ด ลามอนต์ ผู้ว่าการรัฐนิวเจอร์ซีย์ ซึ่งอยู่ติดกัน ว่าความเคลื่อนไหวเช่นนี้จะเป็นชนวนทำให้เกิดความแตกตื่นตระหนก และก่อให้เกิดความเสียหายมากขึ้นอีกแก่พวกตลาดการเงิน ทรัมป์ก็ยอมเลี้ยวกลับ 180 องศา และบอกว่าจะเพียงแค่ออกคำเตือนว่าผู้คนในพื้นที่ดังกล่าวไม่ควรเดินทางไปไหนเท่านั้น
“จากข้อเสนอแนะของทีมงานเฉพาะกิจไวรัสโคโรนาของทำเนียบขาว (White House CoronaVirus Task Force) และด้วยการปรึกษาหารือกับผู้ว่าการของรัฐนิวยอร์ก, รัฐนิวเจอร์ซีย์, และรัฐคอนเนตทิคัต ผมของขอให้ (ซีดีซี) ออกคำแนะนำอย่างแข็งขันจริงจังในเรื่องการเดินทาง” เขาระบุเช่นนี้ในทวิตเตอร์
หลังจากนั้น ซีดีซี ก็ได้เผยแพร่คำแนะนำของตน ซึ่งรบเร้าประชาชนของรัฐที่อยู่ติดต่อกันทั้ง 3 แห่งนี้ “ละเว้นการเดินทางภายในประเทศที่ไม่มีความจำเป็นทั้งหลาย เป็นระยะเวลา 14 วันโดยมีผลบังคับในทันที”
ศูนย์กลางการระบาดในสหรัฐฯ
ตามข้อมูลที่รวบรวมโดยมหาวิทยาจอห์นส์ฮอปกินส์ นับถึงวันเสาร์ (28) รัฐนิวยอร์กรายงานว่ามีผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่กว่า 53,000 คน จากทั่วทั้งสหรัฐฯซึ่งอยู่ที่มากกว่า 124,000 คน (หากนับถึงตอนเช้ามืดวันจันทร์ ตามเวลาทางภาคตะวันออกของสหรัฐฯ รัฐนิวยอร์กมีผู้ติดเชื้อแล้วกว่า 59,000 คน จากทั่วทั้งประเทศซึ่งอยู่ที่กว่า 143,000 คน)
เฉพาะในนครนิวยอร์กแห่งเดียว มีผู้เสียชีวิตพุ่งขึ้นมากว่า 155 คนในวันเสาร์ ทำให้ทั่วทั้งนครมียอดตายเป็น 672 คน ประมาณหนึ่งในสามของผู้เสียชีวิต 2,185 คนทั่วทั้งสหรัฐฯ (นับถึงตอนเช้ามืดวันจันทร์ ยอดรวมผู้เสียชีวิตในนิวยอร์กเพิ่มขึ้นเป็น 776 คน ยังคงสูงกว่า 1 ใน 3 ของยอดรวมทั้งประเทศซึ่งอยู่ที่ 2,513 คน)
สำหรับรัฐนิวเจอร์ซีย์ รายงานในวันเสาร์ว่ามีผู้ติดเชื้อมากกว่า 11,100 คน ขณะที่เมื่อถึงเช้ามืดวันจันทร์ ได้เพิ่มขึ้นเป็นกว่า 13,000 คน
คูโอโม ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก บอกกับโทรทัศน์ข่าวซีเอ็นเอ็นก่อนหน้านี้ว่า การใช้มาตรการล็อกดาวน์ห้ามเดินทางเข้าและออกจากนครนิวยอร์ก ซึ่งเป็นศูนย์กลางการเงินและการค้าระดับโลก เป็นเรื่องที่ทั้งผิดกฎหมายและทั้งไม่สมเหตุสมผล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมื่อได้มีประกาศของระดับท้องถิ่นเพื่อควบคุมความเคลื่อนไหวของผู้คนไปเรียบร้อยแล้ว
“ทำไมคุณจึงต้องการเพียงแค่สร้างความโกลาหลอลหม่านอย่างเบ็ดเสร็จขึ้นมาอีก บนยอดของการเกิดโรคระบาดใหญ่อยู่แล้วล่ะ ผมคิดไม่ออกจริงๆ”
เขาเปรียบเทียบว่า การที่รัฐบาลกลางสหรัฐฯประกาศกักกันโรคในรัฐต่างๆ ก็จะเท่ากับ “การประกาศทำสงครามของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ (กับรัฐต่างๆ)” รวมทั้งยังเป็น “ความวิปริต” และสายตาสั้น ในเมื่อส่วนอื่นๆ ของสหรัฐฯก็กำลังมีเคสผู้ป่วยเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน
“ถ้าคุณเริ่มต้นสร้างกำแพงกั้นล้อมพื้นที่ต่างๆ ในตลอดทั่วทั้งประเทศ มันก็จะทั้งแปลกประหลาด, ไม่สมด้วยเหตุผล, แอนตี้อเมริกัน, และแอนตี้สังคม โดยสิ้นเชิง” คูโอโม บอกกับซีเอ็นเอ็น พร้อมสำทับว่า การล็อกดาวน์นครนิวยอร์กที่เป็นนครหลวงทางการเงินของประเทศชาติ จะทำให้ตลาดหลักทรัพย์ช็อก และ “ทำให้เศรษฐกิจเป็นอัมพาต” ในเวลาที่ทรัมป์แสดงท่าทีว่าต้องการให้เศรษฐกิจหวนกลับเข้าร่องเข้ารอย
สำหรับ ลามอนต์ ผู้ว่าการรัฐนิวเจอร์ซีย์ ก็ย้ำเช่นกันว่า นครนิวยอร์ก, นิวเจอร์ซีย์, และภาคใต้ของคอนเนตทิคัต คือ “เมืองหลวงระดับโลกของพิภพนี้” ในด้านการค้าและการเงิน
“ถ้าคุณรู้สึกแคร์มากพอๆ กับท่านประธานาธิบดีในเรื่องที่จะทำให้เศรษฐกิจเดินหน้าได้อีกครั้งแล้ว คุณก็จำเป็นต้องระมัดระวังให้มากๆ เกี่ยวกับสิ่งที่คุณพูด และเกี่ยวกับสิ่งที่คุณจะไม่พูด” เขากล่าว
“อย่าเดินทางมาแถวนี้”
กระนั้น ทรัมป์ก็ดูเหมือนกำลังสะท้อนความวิตกกังวลของรัฐอื่นๆ ในเรื่องที่การเดินทางไปเยือนของชาวนิวยอร์ก อาจเพิ่มการระบาดของไวรัสโคโรนา
ในรัฐโรดไอแลนด์ ซึ่งอยู่ห่างจากนครนิวยอร์กไปทางตะวันออกเฉียงเหนือราว 210 กิโลเมตร พวกตำรวจและกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิ กำลังเที่ยวเคาะประตูบ้านซึ่งมีรถยนต์ติดป้ายทะเบียนของนิวยอร์ก เพื่อเตือนพวกเขาในเรื่องข้อกำหนดเกี่ยวกับการกักกันโรคตัวเอง
ขณะที่ฟลอริดา ถึงแม้มีประชากรจำนวนมากทีเดียวเป็นคนวัยเกษียณอายุ แต่จนถึงเวลานี้ยังรายงานว่าพบเคสติดโควิด-19 มากกว่า 4,000 คนเท่านั้น
รอน เดอแซนทิส ผู้ว่าการรัฐฟลอริดา ซึ่งเป็นพันธมิตรทางการเมืองคนหนึ่งของทรัมป์ ได้ออกคำสั่งฝ่ายบริหารเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว บังคับให้ใครก็ตามที่เพิ่งเดินทางมาจากนิวยอร์ก และลุยเซียนา อันเป็นรัฐที่เป็นจุดฮอตของโรคระบาดในสหรัฐฯอีกจุดหนึ่ง จะต้องกักกันโรคตัวเองเป็นระยะเวลา 14 วัน
เขาบอกด้วยว่า ตำรวจจะจัดตั้งด่านตรวจขึ้นตามเส้นพรมแดนของรัฐ เพื่อเตือนผู้คนให้ทราบถึงข้อกำหนดนี้
“ทั้งหมดที่เรากำลังพยายามทำอยู่ก็คือ รักษาให้ชาวรัฐของเราที่นี่มีความปลอดภัย ถ้าคุณกำลังมาจากจุดศูนย์กลาง (ของการระบาด) แล้วล่ะก้อ ... ไม่ต้องเดินทางมาแถวนี้หรอก เพราะเรากำลังพยายามปกป้องคุ้มครองชาวบ้านชาวเมืองของเราอยู่” เขากล่าว