รอยเตอร์/เอเจนซีส์ - จำนวนผู้ป่วยด้วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ “โควิด-19” ในสหรัฐฯ พุ่งพรวดทะลุระดับ 82,000 รายในวันพฤหัสบดี (26 มี.ค.) กลายเป็นชาติซึ่งมีเคสมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ของโลก แซงหน้ายอดผู้ติดเชื้อทั่วประเทศของทั้งจีนและอิตาลี ขณะที่นิวยอร์ก, นิวออลีนส์ และจุดฮอตสปอต อื่นๆ มีคนป่วยทะลักเข้าโรงพยาบาลแบบพุ่งพรวด จนทำท่าว่าจะเจอปัญหาขาดแคลนทั้งพวกซัปพลาย โดยเฉพาะเครื่องช่วยหายใจ, เจ้าหน้าที่การแพทย์ และเตียงผู้ป่วย
จำนวนผู้ติดเชื้อโรคโควิด-19 ทั้งหมดในสหรัฐฯ นับถึงวันพฤหัสบดี (26) มีทั้งสิ้นอย่างน้อย 82,153 คน ทั้งนี้ ตามการแจงนับของสำนักข่าวรอยเตอร์จากข้อมูลตัวเลขของพวกสำนักงานสาธารณสุขทั้งในระดับมลรัฐและระดับท้องถิ่นแห่งต่างๆ ขณะที่จีน ซึ่งเป็นประเทศที่ปรากฏโรคระบาดร้ายแรงนี้เป็นที่แรกเมื่อปลายปีที่แล้ว ยังคงมีเคสผู้ป่วยสูงเป็นอันดับ 2 นั่นคือ 81,285 ราย ตามมาด้วยอิตาลี ซึ่งอยู่ที่ 80,539 ราย
ในส่วนของผู้เสียชีวิตในสหรัฐฯ นั้น การแจงนับของรอยเตอร์บอกว่า ตัวเลขอยู่ที่อย่างน้อย 1,204 คน
ขณะเดียวกัน อุปกรณ์ทางการแพทย์ต่างๆ ในสหรัฐฯ กำลังลดต่ำลงเรื่อยๆ โดยเฉพาะพวกเครื่องช่วยหายใจ และหน้ากากป้องกัน รวมทั้งถูกซ้ำเติมด้วยศักยภาพความสามารถในการตรวจทดสอบโรคที่มีอยู่อย่างจำกัด
แอนดรูว์ คูโอโม ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก กล่าวในการแถลงข่าววันพฤหัสบดี (26) ว่า “ฉากทัศน์ภาพสมมุติสถานการณ์ใดๆ ก็ตามทีที่สอดคล้องกับความเป็นจริง จะต้องระบุว่าจะเกิดการท่วมท้นเกินกว่าศักยภาพความสามารถของระบบดูแลสุขภาพแล้ว” เขาพูดถึงจำนวนของเครื่องช่วยหายใจซึ่งรัฐของเขาคาดหมายว่าจะขาดแคลนไม่พอใช้ว่า อยู่ในระดับ “มหาศาล”
“มันไม่เหมือนกับว่าพวกเขามีเครื่องเหล่านี้นอนรออยู่ในโกดังนะครับ” คูโอโม กล่าวต่อ “มันไม่มีเลยในสต็อกที่จะหามาใช้ได้”
มีโรงพยาบาลในนครนิวยอร์กอย่างน้อยที่สุด 1 แห่ง ได้แก่ ศูนย์การแพทย์นิวยอร์ก-เพรสไบทีเรียน/มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ซึ่งตั้งอยู่ในเขตแมนแฮตตัน ได้เริ่มทดลองให้คนไข้ 2 คนแบ่งกันใช้เครื่องช่วยหายใจ 1 เครื่อง
ขณะที่นิวยอร์กมีสภาพเป็นศูนย์กลางของไวรัสโคโรนาในสหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้ คลื่นลูกใหญ่ของกระแสการติดเชื้อลูกต่อไปดูเหมือนจะบังเกิดขึ้นในรัฐลุยเซียนา โดยที่ความต้องการใช้เครื่องช่วยหายใจได้เพิ่มทวีขึ้นเป็น 2 เท่าตัวเรียบร้อยแล้ว ในเมืองนิวออร์ลีนส์ ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ที่สุดของมลรัฐนี้ เชื่อกันว่า งานเฉลิมฉลองเทศกาลมาร์ดีกราส์ เมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา คือตัวเติมเชื้อเพลิงให้แก่การระบาด
จอห์น เบล เอดเวิร์ดส์ ผู้ว่าการรัฐลุยเซียนา กล่าวว่า นิวออร์ลีนส์จะอยู่ในภาวะไม่มีเครื่องช่วยหายใจเหลืออยู่เลยภายในวันที่ 2 เมษายน รวมทั้งมีความเป็นไปได้ที่จะไม่มีเตียงคนไข้เหลือแล้วภายในวันที่ 7 เมษายน “ถ้าหากเรายังไม่สามารถทำให้เส้นเคิร์ฟการติดเชื้อแบนราบลงมาได้ในเร็วๆ นี้”
“มันไม่ใช่การคาดเดา มันไม่ใช่ทฤษฎีซึ่งไม่น่าเชื่อถืออะไรบางอันหรอกนะ” เอดเวิร์ดส์กล่าวในการประชุมแถลงข่าว “นี่คือสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นมา”
ประมาณ 80% ของคนไข้ในหออภิบาล (ไอซียู) ของทั่วทั้งมลรัฐลุยเซียนา เวลานี้กำลังหายใจได้ด้วยเครื่องช่วยหายใจ สูงขึ้นมากจากอัตราปกติซึ่งอยู่ที่ 30-40% นี่เป็นคำกล่าวของ วอร์เนอร์ โธมัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ ระบบสุขภาพออชส์เนอร์ ซึ่งเป็นกลุ่มโรงพยาบาลของรัฐนี้
อันที่จริง การขาดแคลนทั้งหน้ากากอนามัย, ถุงมือ, เสื้อกาวน์, และเครื่องสวมป้องกันตา สำหรับแพทย์และพยาบาล กำลังกลายเป็นปัญหาระดับชาติขึ้นมาแล้ว โดยที่มีรายงานข่าวจำนวนมากระบุว่า พวกผู้ทำงานด้านดูแลสุภาพกำลังรีไซเคิลหน้ากากอนามัยเก่า หรือทำของตัวเองขึ้นมาใช้งาน หรือกระทั่งใช้ถุงใส่ขยะ เพื่อปกป้องคุ้มครองพวกเขาเอง
“พยาบาลของเราทั่วทั้งประเทศไม่ได้มีอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล ที่จำเป็นสำหรับดูแลคนไข้โควิด หรือคนไข้ใดๆ ของพวกเขา” บอนนี แคสทิลโล ประธานของ เนชั่นแนล เนิร์ส ยูไนเต็ด สหภาพแรงงานของพยาบาลใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ บอกกับสื่อ เอ็มเอสเอ็นอีซี
ทรัมป์ว่ายังไงที่สหรัฐฯ กลายเป็นแชมป์ผู้ติดเชื้อ?
เมื่อถูกสอบถามเกี่ยวกับตัวเลขผู้ป่วยล่าสุด ในระหว่างการแถลงสรุปประจำวันที่ทำเนียบขาวเมื่อบ่ายวันพฤหัสบดี (26) ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวว่า มันเป็น “ของขวัญเครื่องบรรณาการจากการตรวจทดสอบจำนวนมากที่เรากำลังทำกันอยู่”
ขณะที่รองประธานาธิบดี ไมค์ เพนซ์ รีบสนับสนุนโดยบอกว่า การทดสอบไวรัสโคโรนาเวลานี้กระทำได้ในทั้ง 50 มลรัฐของสหรัฐฯ และมีการตรวจทดสอบทั่วประเทศไปแล้วมากกว่า 552,000 ครั้ง
ทรัมป์ยังแสดงความข้องใจสงสัยตัวเลขที่ออกมาจากปักกิ่ง โดยกล่าวกับพวกผู้สื่อข่าวว่า “คุณไม่รู้หรอกว่าตัวเลขในจีนเป็นยังไงกันแน่”
แต่ในเวลาต่อมา เขาทวีตว่าเขาได้มี “การสนทนาที่ดีมากๆ” กับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีนทางโทรศัพท์
“จีนกำลังก้าวผ่านไปได้เยอะแล้ว และได้พัฒนาความรู้ความเข้าใจอันแข็งแกร่งเกี่ยวกับไวรัสนี้” ทรัมป์บอกในทวิตเตอร์ “เรากำลังทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด เคารพนับถือมาก!”
ทรัมป์ยังประกาศเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ ตั้งเป้าหมายที่จะกลับเปิดประเทศกันอีกครั้งในวันอีสเตอร์ซันเดย์ ซึ่งปีนี้ตรงกับวันที่ 12 เมษายน และปรากฏว่าถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักหน่วง กระนั้น แผนการนี้ดูเหมือนได้แรงหนุนเนื่องเพิ่มมากในวันพฤหัสบดี (26) เมื่อมีการเปิดเผยตัวเลขว่า มีชาวอเมริกันถึง 3.3 ล้านคนถูกเลย์ออฟกลายเป็นคนว่างงาน และยื่นขอรับเงินสวัสดิการการว่างงาน สืบเนื่องจากโควิด-19 จำนวนระดับนี้ถือเป็นตัวเลขสูงสุดเป็นสถิติใหม่
ระหว่างการแถลงสรุปวันพฤหัสบดี ทรัมป์กล่าวว่า “พวกเขา (ประชาชนชาวอเมริกัน) ต้องกลับไปทำงาน ประเทศของเราต้องกลับไปทำงาน ประเทศของเราวางพื้นฐานอยู่ที่เรื่องนี้ และผมคิดว่ามันกำลังจะเกิดขึ้นมาในเวลาอันรวดเร็วมาก”
“เราอาจจะใช้วิธีแบ่งประเทศของเราออกเป็นหลายๆ ส่วน เราน่าจะมีส่วนใหญ่ๆ ของประเทศเราที่ไม่ได้ถูกกระทบกระเทือนร้ายแรงอะไรนัก เราอาจจะทำกันในวิธีนี้ก็ได้”
เขากล่าวต่อไปว่า “คนจำนวนมากตีความผิดเมื่อผมพูดว่ากลับไปทำงาน เพราะพวกเขาจะยังคงปฏิบัติเหมือนอย่างที่คุณทำกันอยู่เป็นจำนวนมาก ยังคงมีการเว้นระยะห่างทางสังคม, ล้างมือของพวกคุณ และไม่จับมือกัน ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราพูดกันเอาไว้”
เขาให้สัญญาว่าจะแถลงรายละเอียดเพิ่มมากขึ้นในสัปดาห์หน้า