รอยเตอร์ - ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ เลิกล้มเป้าหมายยุติล็อกดาวน์เพื่อพลิกฟื้นเศรษฐกิจก่อนเทศกาลอีสเตอร์ โดยแนะนำให้ชาวอเมริกันเก็บตัวอยู่กับบ้านต่อไปจนถึงสิ้นเดือน เม.ย. พร้อมกล่าวหาโรงพยาบาลว่ามีการ ‘กักตุน’ เครื่องช่วยหายใจ ขณะที่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเตือนไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ ‘โควิด-19’ อาจคร่าชีวิตชาวอเมริกันมากถึง 200,000 คน
การปรับแผนของทรัมป์ ซึ่งเจ้าตัวระบุว่าจะแถลงรายละเอียดให้ทราบในวันอังคารนี้ (31 มี.ค.) มีขึ้นหลังจากที่ยอดผู้เสียชีวิตในอเมริกาพุ่งกว่า 2,400 ราย และมีผู้ติดเชื้อสะสมมากกว่า 142,000 ราย ถือว่ามากที่สุดในโลกขณะนี้
“อัตราการเสียชีวิตสูงสุดคาดว่าจะมาถึงภายใน 2 สัปดาห์” ผู้นำสหรัฐฯ เปิดแถลงข่าวที่สวนกุหลาบในทำเนียบขาวโดยมีที่ปรึกษาระดับสูงและผู้นำภาคธุรกิจยืนประกบ “ไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่าการประกาศชัยชนะ ก่อนที่เราจะได้ชัยชนะนั้นมา”
“ยิ่งพวกคุณให้ความร่วมมือดีเท่าไหร่ ฝันร้ายนี้ก็จะจบเร็วขึ้นเท่านั้น”
ทรัมป์ ซึ่งถูกวิจารณ์อื้ออึงว่าเอาแต่โยนความผิดให้ผู้อื่น ยังออกมากล่าวหาสถานพยาบาลว่ามีการกักตุนเครื่องช่วยหายใจ (ventilators) และเตือนว่าโรงพยาบาลแห่งใดที่มีเครื่องมืออยู่แต่ไม่ได้ใช้ ก็ขอให้นำออกมาเสีย
“มีบุคลากรทางการแพทย์บางคนและโรงพยาบาลบางแห่งที่กักตุนเครื่องไม้เครื่องมือ รวมถึงเครื่องช่วยหายใจ” ทรัมป์ ระบุ “เราต้องนำเครื่องช่วยหายใจเหล่านั้นออกมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงพยาบาลที่ไม่มีความจำเป็นต้องใช้มัน”
ก่อนหน้านั้น 2 วัน ทรัมป์ได้ใช้อำนาจฉุกเฉินบังคับให้บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส โค (จีเอ็ม) ผันตัวมาผลิตเครื่องช่วยหายใจรองรับผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีจำนวนเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ และตำหนิค่ายรถอันดับ 1 ของสหรัฐฯ ว่ามัวแต่ชักช้าจนทำให้ “เสียเวลา”
อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ ได้กล่าวชื่นชมจีเอ็มวานนี้ (29) ว่ากำลัง “เร่งทำงานอย่างหนัก”
ดร.แอนโทนี เฟาซี ผู้อำนวยการสถาบันโรคติดต่อและโรคภูมิแพ้แห่งชาติของสหรัฐฯ (NIH) ให้สัมภาษณ์กับซีเอ็นเอ็นวานนี้ (29) ว่า การแพร่ระบาดทั่วโลกของไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ อาจทำให้มีผู้เสียชีวิตในสหรัฐอเมริกามากถึง 100,000-200,000 คน ก่อนจะออกมาปลอบขวัญพลเมืองว่าตัวเลขดังกล่าวเป็นเพียงแบบจำลองสถานการณ์ขั้นเลวร้าย (worst-case scenario) หากชาวอเมริกันเพิกเฉยไม่ทำตามคำแนะนำให้เก็บตัวอยู่บ้าน
ดร.เดบราห์ บริกซ์ หนึ่งในทีมตอบสนองไวรัสของทรัมป์ เรียกร้องผ่านรายการ ‘Meet the Press’ ทางสถานีโทรทัศน์ NBC ให้ผู้ว่าการรัฐต่างๆ รวมถึงนายกเทศมนตรีไปติดตามเสาะหาว่า “เครื่องช่วยหายใจของพวกคุณถูกเก็บไว้ที่ไหนกันบ้าง”
ทรัมป์ ได้ออกคำสั่งบริหารเมื่อวันที่ 25 มี.ค. ห้ามบุคคลหรือองค์กรใดๆ กักตุนอุปกรณ์การแพทย์ที่จำเป็นสำหรับการต่อสู้ไวรัสโคโรนา รวมถึงเครื่องช่วยหายใจและหน้ากากอนามัย โดยผู้ฝ่าฝืนจะมีความผิดอาญา
รอยเตอร์รายงานว่า บุคลากรของสถานพยาบาลบางแห่งในรัฐนิวยอร์กซึ่งถูกไวรัสโจมตีอย่างหนักหน่วงยอมรับว่าพวกเขาต้องซ่อนหน้ากาก N95, หน้ากากอนามัย และอุปกรณ์ที่จำเป็นไม่ให้เพื่อนร่วมงานในแผนกอื่นเห็น เนื่องจากเกรงว่าจะถูกแย่งเอาไปใช้ในช่วงที่ของกำลังขาดแคลน
จากข้อมูลเมื่อวันอาทิตย์ (29) รัฐนิวยอร์กมีผู้ติดเชื้อสะสมแล้วเกือบ 60,000 คน ขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นถึง 237 คนในรอบ 24 ชั่วโมงรวมเป็น 965 คน
บิลล์ เดอ บลาซิโอ นายกเทศมนตรีนครนิวยอร์ก บอกกับซีเอ็นเอ็นว่ามหานครแห่งนี้จะต้องใช้เครื่องช่วยหายใจเพิ่มอีกหลายร้อยตัวภายใน 2-3 วันข้างหน้า และยังต้องการหน้ากาก เสื้อกาวน์แพทย์ และอุปกรณ์อื่นๆ เพิ่มเติมภายในวันที่ 5 เม.ย.
