ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์
อาจารย์ประจำสาขาวิชา Business Analytics and Intelligence
และ Actuarial Science and Risk Management
คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
อาจารย์ประจำสาขาวิชา Business Analytics and Intelligence
และ Actuarial Science and Risk Management
คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
อิตาลีก้าวทันจีน และท้ายที่สุดก็แซงจีนในเรื่องมหาโรคระบาดโควิด-19 สถิติจำนวนผู้ป่วย สถิติจำนวนคนตายจากโควิด-19 แซงหน้าชนะจีนไปหลายขุมแล้ว ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
ประการแรก คนอิตาลี เป็นคนน่ารัก สบาย ๆ รักเสรี ไม่ค่อยเชื่อฟัง และไม่ยอมทำตาม ขาดวินัย เวลารัฐบาลขอร้องให้ใส่หน้ากาก หรือให้อยู่บ้าน ก็ไม่อยู่บ้าน ไม่ทำ social distancing หรือการเว้นระยะทางสังคมอย่างที่ต้องทำ เพื่อนผมที่อิตาลีบอกว่า ทางการสั่งให้อยู่บ้านก็ยังออกไปกินกาแฟกันริมถนนเต็มไปหมด จนมาเลิกออกจากบ้านในตอนหลังที่ระบาดหนักมากแล้ว เรียกว่าไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา ไม่เชื่อฟัง ไม่ทำตาม เอาแต่ใจ รักแต่จะสนุกค่อนข้างมาก ทำให้ระบาดหนักมาก
ประการสอง อิตาลี มีธรรมเนียมการแตะเนื้อต้องตัว การกอดจูบ เมื่อเจอกัน การกอด จูบ หอมแก้ม และแม้แต่ในบ้านก็เต้นรำ หอมแก้ม จูบกัน แล้วสามีก็ออกไปรับเชื้อโควิดนอกบ้าน ภรรยาก็เช่นกัน แล้วมากอด มาหอมแก้มกัน ก็อาจจะมาติดในบ้านกันอีกอีนุงตุงนัง
ประการที่สาม เป็นสาเหตุที่ทำให้ตายเยอะเป็นเบือ คือการที่อิตาลีมีจำนวนเตียงผู้ป่วยวิกฤติและเครื่องช่วยหายใจไม่พอ อิตาลีมีประชากรหกสิบล้านคน และมีเตียงผู้ป่วยวิกฤติ/เครื่องช่วยหายใจพอ ๆ กันคือสิบเตียง/เครื่อง ต่อประชากรหนึ่งแสนคน เมื่อระบาดหนักมาก จนศักยภาพของโรงพยาบาลไม่เพียงพอที่จะรองรับผู้ป่วยจำนวนมากที่เป็นปอดอักเสบรุนแรงได้
ประการที่สี่ มีความเป็นไปได้สูงมากที่เชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์อิตาลีมีความดุกว่าสายพันธุ์อื่น ๆ ที่ระบาดในจีนหรือญี่ปุ่น อัตราการตายในอิตาลีนั้นสูงมากถึง 8.5% ของผู้ป่วย แต่ที่สูงมากขนาดนี้อาจจะไม่ได้เกิดจากประการที่สามเพียงอย่างเดียว อาจจะเกิดจากเชื้อดุกว่า ไวรัสทุกชนิดกลายพันธุ์ได้ สิ่งที่สังเกตได้ชัดเจน คือมหาพาหะ (Super spreader) ของไทยมาจากสนามมวย และมาจากผับย่านทองหล่อ ผลการสอบสวนโรคทำให้ทราบว่ามหาพาหะของสนามมวยคือเซียนมวยที่ลูกไปเที่ยวอิตาลีมา หรือพูดง่าย ๆ ว่าเป็น COVID-10 สายพันธุ์อิตาลี คนที่ติดเชื้อโควิดสายพันธุ์อิตาลีจากสนามมวยจะมีอาการหนักกว่ามากโดยเฉพาะปอดอักเสบหรือปอดบวม ในขณะที่คนที่ติดเชื้อจากผับย่านทองหล่ออาการจะไม่หนักมาก และพบปอดอักเสบไม่มาก ส่วนใหญ่จะหายเองได้ ซึ่งเป็นข้อสังเกตจากแพทย์ที่ทำงานที่สถาบันบำราศนราดูร และแพทย์อีกหลายท่าน เช่น นายแพทย์มนูญ ลีเชวงวงศ์ อายุรแพทย์โรคปอด โรงพยาบาลวิชัยยุทธ ได้ตั้งข้อสังเกตนี้ไว้เช่นกัน ดูได้จาก https://www.matichon.co.th/covid19/covid19-alert/news_2079207
ประการที่ห้า เมื่ออิตาลีมีการประกาศปิดเมือง ปิดโรงเรียน หรือพยายามทำ social distancing ในบางพื้นที่ เช่น แคว้นลอมบาร์ดี คนอิตาลีกลับรีบอพยพกลับบ้านตัวเองในแคว้นอื่น ๆ จนเชื้อกระจายว่อนไปทั่วประเทศและเกิดการระบาดหนักมากไปในที่สุด
สำหรับประเทศไทยมีความเป็นไปได้สูงมากที่จะเดินตามอิตาลี
ประการแรก คนไทยเป็นคนน่ารัก สบาย ๆ รักเสรี ไม่ค่อยเชื่อฟัง และไม่ยอมทำตาม ขาดวินัย หรือให้อยู่บ้าน ก็ไม่อยู่บ้าน ไม่ทำ social distancing หรือการเว้นระยะทางสังคมอย่างที่ต้องทำ ไม่ยอมกักตัวเอง ก็มีมาก หรือไม่ระวังพอ อย่าง super spreader จากสนามมวยก็เกิดจากลูกชายไปเที่ยวอิตาลีมา อยู่บ้านเดียวกันกับพ่อ พ่อก็ติดด้วย พ่อมาสนามมวยก็เลยระบาดไปทั่วราชอาณาจักร
ที่หาดวอนนภา จังหวัดชลบุรี นักศึกษามาสังสรรค์กันริมหาดมากมายเต็มไปหมดจากบางแสนจนจรดเขาสามมุข กินเหล้ากันริมหาด และกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันริมหาด นัวเนียกันเป็นคู่ๆ เต็มไปหมด ราวกับไม่กลัวและไม่เข้าใจว่าโควิด-19 กำลังระบาดและต้อง social distancing โปรดดูได้จาก https://board.postjung.com/1204219 พฤติกรรมแบบนี้ของนักศึกษาผมเคยไปนั่งรถตอนสามทุ่ม-สี่ทุ่ม เมื่อปีก่อน กับรุ่นพี่ที่เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยบูรพาเมื่อปีที่แล้ว ปีนี้มีโควิด-19 ระบาด ก็ยังเต็มหาดวอนนภาเหมือนเดิม ตั้งวงเหล้ากันเหมือนเดิม กอดรัดฟัดเหวี่ยงมีความสุขกันริมหาดเหมือนเดิม มหาวิทยาลัยปิดก็มาใช้ชีวิตเหมือนเดิม ขาดสติและปัญญาเป็นอย่างมาก และจะทำให้โควิด-19 ระบาดหนักมากต่อไป
มีตัวอย่างที่ผมพบด้วยตนเองแล้วตกใจมาก เช่น หลายคนถือโอกาสที่ค่าตั๋วเครื่องบินและที่พักถูกเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น อิตาลี และเกาหลี หลายคนรีบจองตั๋วไปเลย หลายคนก็ยังดื้อดึงจะไปเพราะได้จองโรงแรมหรือตั๋วเครื่องบินไว้แล้ว ราวกับไม่กลัวความตายอะไรเลย
ประการที่สอง คนไทยแม้จะไม่ได้กอดจูบ หอมแก้ม กระโดดหากันแบบคนอิตาลี แต่เราก็มีนวดไทยและร้านนวดเยอะมาก นอกจากนี้ยังมีคนมาถามศาสตราจารย์นายแพทย์ยง ภู่วรวรรณ ว่ามีเพศสัมพันธ์กันไม่ติดโควิด-19 ได้หรือไหม อาจารย์ยงตอบว่า ถ้าหากห่างกันอย่างน้อยสองเมตร จะไม่ติดโควิด-19 แม้จะฟังเป็นเรื่องขำขันที่ควรต้องระวัง แต่แสดงว่าในครอบครัวหรือในบ้านคนไทยก็อาจจะยังไม่ได้ระวังเรื่องการเว้นระยะทางสังคมภายในบ้าน แม้ในครอบครัวเดียวกันก็ต้องเว้นระยะห่างทางสังคมในบ้านระหว่างสมาชิกในครอบครัวด้วย เรื่องนี้ สสส. ควรต้องออกมาช่วยเผยแพร่ความรู้และสร้างกระแสให้รวดเร็วตามที่ตัวเองมีความชำนาญ
ประการที่สาม ประเทศไทยมีอุปกรณ์เครื่องมือ โดยเฉพาะเครื่องช่วยหายใจและบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข ไม่เพียงพอต่อการระบาดของโควิด-19 อิตาลีมีประชากร 60 ล้านคน มีเตียงผู้ป่วยวิกฤติ 12 เตียงต่อประชากรแสนคน เตียงไอซียูนี้จะมีเครื่องช่วยหายใจใกล้เคียงกับจำนวนเตียงมากหากเครื่องช่วยหายใจไม่เสีย ไทยมีประชากร 67 ล้านคน มีเตียงผู้ป่วยวิกฤติ 10.5 เตียงต่อประชากรแสนคน ดังนั้นถ้าหากโควิด-19 ระบาดเท่ากับอิตาลี ไทยเราจะมีคนตายมากกว่าอิตาลีนิดหน่อย เพราะไม่มีเครื่องมือพอในการรักษาพยาบาลปอดอักเสบจากโควิด-19 (โปรดอ่านรายละเอียดได้จาก คนไทยจะตายมากแค่ไหนหากเกิดมหาโรคระบาด “โควิด-19” เมื่อพิจารณาจากทรัพยากรทางการแพทย์ของเรา ? https://mgronline.com/daily/detail/9630000027840)
อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ได้รับการปัดเป่าให้บรรเทาเบาบางลงไปได้บ้างด้วยพระมหากรุณาธิคุณปกเกล้าปกกระหม่อมปวงชนชาวไทย เพราะพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และทรงทราบว่าโรงพยาบาลในเมืองไทยมีเครื่องมือแพทย์ไม่เพียงพอหากสถานการณ์รุนแรงขึ้น จึงทรงจัดซื้อและหาอุปกรณ์ทางการแพทย์ โดยเบื้องต้นเป็นเครื่องช่วยหายใจ 100 เครื่อง รวมทั้งเครื่องมือแพทย์ต่าง ๆ มอบให้แก่โรงพยาบาลต่าง ๆ เพื่อรับมือสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ ขอพระองค์ทรงพระเจริญ
ประการที่สี่ จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศไทยในเวลานี้ ส่วนใหญ่ติดมาจากสนามมวย หรือติดต่อจากผู้ที่ติดมาจากสนามมวยอีกที ทำให้จำนวนผู้ป่วยส่วนใหญ่ติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์อิตาลี ซึ่งดุกว่าสายพันธุ์ที่ระบาดในจีน ทำให้สถานการณ์ในไทยน่าจะคล้ายกับอิตาลีมาก ที่น่าห่วงที่สุดคือติดตามตัวผู้ที่เข้าไปในสนามมวยในวันนั้นได้เพียงน้อยนิดเพียงราวห้าสิบคนจากห้าร้อยคน ทำให้เกิดการแพร่กระจายอย่างลุกลามรวดเร็วในประเทศไทย
ประการที่ห้า คนไทยเกิดการอพยพใหญ่ ไม่ยอมอยู่ในกรุงเทพ กลับต่างจังหวัดมากเหลือเกิน และจะนำโรคโควิด-19 ไประบาดทั่วราชอาณาจักร และเป็นยมฑูตความตายกลับไปหาพ่อแม่ปู่ย่าตายายที่บ้านเกิด
แรกเริ่มเพราะรัฐบาลต้องการไม่ให้เกิดการเดินทางหรือเคลื่อนคนมากจนเกินไปจึงได้ประกาศเลื่อนสงกรานต์ออกไป อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ทำไมต้องเลื่อนหยุดสงกรานต์ออกไป เพื่อให้คนไทยอยู่รอดปลอดภัยจาก COVID-19? จาก https://mgronline.com/daily/detail/9630000026766
อย่างไรก็ตามเมื่อผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พลตำรวจเอกอัศวิน ขวัญเมือง ประกาศตัดสินใจปิดห้างสรรพสินค้า ร้านนวด และกิจการต่าง ๆ อีกมากมาย เพื่อให้เกิด social distancing ในกรุงเทพมหานครและผู้ว่าราชการจังหวัดปริมณฑลอีกห้าจังหวัดรอบกรุงเทพก็ออกประกาศเดียวกัน กลับทำให้เกิดความแตกตื่น และความสับสน แตกตื่นเพราะรีบออกไปแออัดออกันซื้ออาหารมากักตุน และสับสน เพราะโฆษกรัฐบาลแถลงไม่ตรงกับผู้ว่า กทม. ทำให้สังคมงุนงงและสับสนมาก
อย่างไรก็ตามการหยุดงานยาวนาน และคนระดับรากหญ้าไม่มีรายได้ โดยเฉพาะลูกจ้างรายวันในกรุงเทพหรือแม้แต่แม่ค้าริมถนนย่อมได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง ย่อมไม่สามารถอยู่ในกรุงเทพต่อไปได้ เช่น ไม่มีเงินจ่ายค่าเช่า หรือไม่มีเงินเก็บพอที่จะซื้ออาหารกินเองได้ แรงงานจากต่างจังหวัดในเมืองหลวงจำนวนมากมายจึงแห่กลับบ้านกันอย่างมโหฬาร
พลอากาศตรีหญิง แพทย์หญิง สุรีย์พร บุญจง แห่งโรงพยาบาลภูมิพล กองทัพอากาศไทย ได้โพสสเตตัสบนเฟซบุ๊ค Sureeporn Boonjong ไว้ว่า
คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเช่นนี้ หลังจากปรึกษากับอาจารย์หมอหลายคน รัฐบาลลงมติไม่หยุดวันสงกรานต์ เพื่อไม่ให้แรงงานใน กทม.เดินทางเอาไวรัสโควิด19 ไปติดผู้เฒ่าผู้แก่ต่างจังหวัด และลดความเสี่ยงในการติดไวรัสเพราะแออัดกันไปในรถโดยสารสาธารณะ ดูจะดี พอ กทม.ประกาศปิดศูนย์การค้า และสถานบริการต่าง ๆ มากมาย เปิดแต่ส่วนอาหาร และยา ก็เกิดการว่างงานกระทันหัน แล้วแรงงานพากันอพยพกลับต่างจังหวัดกันดังรูป จะห้ามเขาได้อย่างไร ยังไม่ทันห้ามด้วย หมดกัน social distancing ที่พยายามให้เกิด จะทำอย่างไรกันดี — feeling sad. |
อาจารย์ ดร. อิสริยะ สัตกุลพิบูลย์ จากคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้วิเคราะห์ไว้อย่างน่ารับฟังยิ่งบนเฟซบุ๊ก Yas Suttakulpiboon ว่า
ภาพนี้ไม่ใช่สาเหตุของการแพร่ระบาด แต่เป็นผลจากสภาพสังคมที่ฝังมานานในประเทศเราแล้ว เป็นความจริงใต้พรมที่คนเมืองอาจจะมองไม่เห็น เป็นความเหลื่อมล้ำที่ "เงิน-งาน" กับ "บ้าน" มันไม่ได้อยู่ด้วยกัน เราห้ามไม่ได้แน่นอน เพราะมันเป็น "กระบวนการของสังคม" ลองเป็นคนหาเช้ากินค่ำ ที่ได้เงินวันละไม่กี่ร้อย แล้วขาดรายได้ 1 เดือนเต็ม ๆ นะครับ แล้วค่อยตัดสินว่าภาพนี้คืออะไร เอาจริง ๆ เราก็เห็นคนไทยหลายคนที่เรียนหรือทำงานต่างประเทศบินกลับมาไทยถูกมั้ยครับ? แต่กลับมาแล้วเค้าก็ถูกเช็คที่สนามบิน ถึงบ้านก็กักตัว 14 วัน เราก็ไม่ได้ judge อะไรเค้ากลุ่มนั้นเท่าไหร่ การกลับบ้านไปหาคนที่เรารัก หรือเพราะหนีสภาวะอดตาย มันไม่ผิดหรอกนะผมว่า... ภาพนี้แสดงให้เห็นว่าสังคมเรามันเบี้ยวมานานแล้วครับ ไวรัสมันมาเร่งให้เห็นภาพนี้ชัดขึ้นแค่นั้นเอง และจงอย่าแปลกใจหากตัวเลขของไทยมันจะสูงกว่าที่อื่น เพราะสภาพสังคมเราก็เป็นตัวเร่งที่สำคัญตัวหนึ่งเหมือนกัน เหมือนกับว่า บ้านเราสร้างด้วยไม้อ่ะ เจอไฟนิดนึงก็ลามละ แต่บ้านอื่นประเทศอื่นเค้าสร้างบ้านแข็งแรงทนทาน เลยไม่เสียหายมาก แต่หวังว่าเมื่อกลับถึงภูมิลำเนาแล้ว เจอคนที่ท่านรักแล้ว ท่านจะรับผิดชอบต่อสังคมรอบข้างของท่านด้วยนะครับ และให้กำลังใจบุคลากรทางการแพทย์ของไทยทุกท่านครับ เพราะท่านต้องมารับต้นทุนที่หนักหนาครั้งนี้มากกว่ากลุ่มคนอื่น ๆ ในประเทศ... เอาใจช่วยครับ อาชีพพวกท่านน่านับถือมาก #Empathy #รับกรรม |
ประการที่หก สถิติจำนวนผู้ป่วยสะสมนับจากผู้ป่วยโควิด-19 หนึ่งร้อยรายแรก แสดงดังกราฟข้างล่างเราพบว่าอัตราการเพิ่มของจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ของไทยเส้นกราฟกำลังพุ่งชันเท่ากับอิตาลี และกำลังเข้า Exponential function ที่จะเติบโตแบบทบเท่าทวีคูณ จากตัวแบบ SIR (จำนวนผู้เข้าข่ายต้องสงสัย จำนวนผู้ติดเชื้อ และจำนวนผู้ป่วยที่หายป่วย Susceptible, infected, and recovered people) ทำให้หลายฝ่ายคาดการณ์ว่าประเทศไทยจะมีจำนวนผู้ป่วยโควิด-19 รวมเกินหนึ่งหมื่นหรือสองหมื่นราย ภายในหนึ่งหรือสองอาทิตย์ การพยากรณ์ด้วยตัวแบบนี้หากไม่แม่นยำบ้างก็เป็นการดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคาดการณ์แล้วค่าสถิติจริงที่เกิดขึ้นต่ำกว่าที่คาดการณ์
อย่างไรก็ตาม ศาสตราจารย์ นายแพทย์สมเกียรติ วัฒนศิริชัยกุล อดีตผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข ได้ส่งกราฟด้านล่างนี้มาให้ผมดู วันอาทิตย์ที่ 22 มีนาคม นี้ อ. สมเกียรติ คาดว่าจะมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ 140 ราย แต่สถิติจริงสูงถึง 188 ราย กลายเป็นว่าอุบัติการณ์ (incidence) รายใหม่ในวันอาทิตย์กลับสูงมาก จนน่ากังวลใจอย่างยิ่ง
ทั้งนี้ admin ของ Facebook 1412 cardiology ซึ่งเป็นแพทย์ ได้เขียนข้อความที่ควรรับฟังอย่างยิ่งว่า
เรากำลังเข้าสู้มหันตภัยร้ายครั้งใหญ่ ทุกท่านโปรดเตรียมตัวกันไว้ให้ดี ๆ รพ. ในส่วนภูมิภาค ผสส อสม เจ้าหน้าที่สาธารณสุข เทคนิคการแพทย์ รังสีแพทย์ อายุรแพทย์ ความหวังของประเทศอยู่ในมือท่านแล้ว เตรียมปรอทไว้ วัดให้แม่น ๆ หาให้เจอ CBC CT chest Throat swab กันผู้ป่วยไว้จากครอบครัวและญาติผู้ใหญ่ อย่าให้แพร่เชื้อเด็ดขาด โชคดีครับเพื่อนๆ |
ด้วยเหตุผลหลายประการที่ได้กล่าวไปข้างต้น ผมมีความหวั่นวิตกว่า มหาโรคระบาดโควิด-19 ในประเทศไทยจะหนักมาก จะระบาดรุนแรงมาก และจะมีคนตายเป็นเบือ การใช้ยาแรงมากเพื่อให้ social distancing ได้ผล และสามารถ flattening the curve ได้จึงจำเป็นมากเหลือเกิน
ยาแรงที่ว่ามีสามขนานหลัก
ขนานแรก คือ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548
ขนานที่สอง คือ พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551
ขนานที่สาม คือ พระราชบัญญัติกฎอัยการศึก 2457 (สามารถอ่านสรุปความแตกต่างความเหมือนของยาสามขนานนี้ได้ใน ผ่า "พ.ร.ก.ฉุกเฉิน" เทียบคุมม็อบเมืองกรุง-ชายแดนใต้ https://www.isranews.org/isranews/26796-law_26796.html)
ในความเห็นส่วนตัวผม จำเป็นต้องมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติกฎอัยการศึก 2457 อันเป็นยาขนานแรงสุด
ทั้งนี้พระราชบัญญัติกฎอัยการศึก 2457 มาตรา 2 ได้กำหนดไว้ว่า
ใช้พระราชบัญญัติที่ใดเมื่อใดต้องประกาศ เมื่อเวลามีเหตุอันจำเป็นเพื่อรักษาความเรียบร้อยปราศจากภัย ซึ่งจะมาจากภายนอกหรือภายในราชอาณาจักรแล้ว จะได้มีประกาศพระบรมราชโองการให้ใช้กฎอัยการศึกทุกมาตราหรือแต่บางมาตรา หรือข้อความส่วนใดส่วนหนึ่งของมาตรา ตลอดจนการกำหนดเงื่อนไขแห่งการใช้บทบัญญัตินั้นบังคับในส่วนหนึ่งส่วนใดของราชอาณาจักรหรือตลอดทั่วราชอาณาจักร และถ้าได้ประกาศใช้เมื่อใด หรือ ณ ที่ใดแล้ว บรรดาข้อความในพระราชบัญญัติหรือบทกฎหมายใด ๆ ซึ่งขัดกับความของกฎอัยการศึกที่ให้ใช้บังคับ ต้องระงับ และใช้บทบัญญัติของกฎอัยการศึกที่ให้ใช้บังคับนั้นแทน |
กฎอัยการศึกสามารถระงับใช้รัฐธรรมนูญบางมาตราได้ ในกรณีที่มีความเสี่ยงอันเป็นภัยต่อความมั่นคงแห่งรัฐ และในกรณีนี้ มหาโรคระบาด (Pandemic) โควิด-19 ไม่ได้แตกต่างจากสงครามใหญ่ที่จะคร่าชีวิตคนไทยไปเป็นอันมาก
สิ่งแรกที่ต้องทำคือประกาศ curfew ห้ามออกนอกเคหสถานหากไม่ได้รับอนุญาต จะทำเช่นนี้ได้ ต้องให้ทหารออกมาควบคุมการเดินทางการออกจากบ้าน เหมือนเวลาที่มีรัฐประหาร จีงจะเอาอยู่ ยาแรงขนาดนี้จำเป็น พลเอกอภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบกต้องช่วยรัฐบาล พาทหารลงถนน ออกมาคุมสถานการณ์ได้แล้วครับ ไม่เช่นนั้น COVID-19 จะระบาดไม่หยุดไปทั่วราชอาณาจักร จะมีคนตายอีกมากมาย ต้องมีความเด็ดขาด เพราะอำนาจรัฐนั้นก็อยู่ที่ปลายกระบอกปืน อย่าปล่อยให้คนไทยตายเป็นเบือเท่ากับอิตาลีซึ่งในขณะนี้มีผู้ป่วยตายเป็นอันดับหนึ่งของโลกแล้ว
ศาสตราจารย์ ดร.นพนันท์ อรุณวงศ์ ณ อยุธยา ได้เขียนอธิบายการควบคุมสถานการณ์เมื่อโควิด-19 ระบาดในจีนในการจำกัดการเดินทางและ social distancing ไว้อย่างน่ารับฟังว่า
ปลายเดือนมกราคม หลังจากเกิดการระบาด Covid-19 ที่เมืองอู๋ฮั่น เท่าที่ผมจำได้ สิ่งแรกที่กรุงปักกิ่งทำก็คือสั่งให้รถโดยสารระหว่างเมืองหยุดบริการ
แม้กระนั้นคนจีนในกรุงปักกิ่งยังไม่ตื่นตัวกันนัก ผู้คนยังคงใช้ชีวิตปรกติ ผมเริ่มใส่หน้ากาก ขณะที่คนจีนไม่ใส่ ผมถามพ่อค้าของชำว่าทำไมไม่ใส่ เขาก็หัวเราะแหะ ๆ บอกว่าไม่เป็นอะไรหรอก
กรุงปักกิ่งก็คล้าย ๆ กรุงเทพฯ ในบางแง่มุม คือ มีคนจากต่างมณฑลเข้ามาทำงานกันในกรุงปักกิ่งมากมาย เช่นเดียวกับพ่อค้าของชำคนนี้ซึ่งมาจากมณฑลซานตง
คงเป็นโชคดีที่ผมอยู่ในกรุงปักกิ่งนานสิบกว่าปี ทำให้ผมเคยพบเห็นอะไรมาบ้างด้วยตัวเองรวมทั้งสถานการณ์เมื่อคราวไข้หวัดนกระบาดในปี 2009 ผมจึงพอจะเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปตามความเชื่อของผมเองที่ว่า จีนไม่มีทางปล่อยให้กรุงปักกิ่งล่มสลายและรัฐบาลจีนจะต้องปิดเมือง เมื่อคิดได้ดังนั้นผมจึงรีบออกจากกรุงปักกิ่งและประเทศจีนโดยเร็วที่สุดทันที
หลังจากนั้นแค่ไม่กี่วัน แท็กซี่ในกรุงปักกิ่งก็ถูกสั่งให้วิ่งได้เฉพาะในเขตเมืองของกรุงปักกิ่ง ถนนเข้าออกเมืองก็เริ่มถูกปิดกั้นโดยเมืองเล็ก ๆ และหมู่บ้านรอบ ๆ กรุงปักกิ่ง ทำให้กรุงปักกิ่งถูกปิดกั้นทางรถยนต์และรถโดยสารโดยปริยาย ขณะที่สถานีรถไฟและสนามบินก็ถูกคุมเข้มในเวลาต่อมา
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นก่อนที่จะมีคำสั่งให้ปิดห้างสรรพสินค้า บริษัทห้างร้าน และสถานที่ชุมชนต่าง ๆ รวมทั้งการกดดันขอร้องแกมบังคับให้ผู้คนอยู่แต่ในบ้าน
หากกรุงปักกิ่งสั่งปิดห้างสรรพสินค้า บริษัทห้างร้าน และสถานที่ชุมชนต่าง ๆ ก่อนที่จะปิดกั้นเส้นทางเข้าออกเมือง เชื่อได้ว่าคนจีนจากต่างมณฑลที่เข้ามาทำงานในกรุงปักกิ่งก็จะรีบกลับภูมิลำเนาทันทีเพราะไม่มีงานทำ ขณะที่ชาวกรุงปักกิ่งที่กำลังเดินทางเยี่ยมญาติช่วงตรุษจีนอยู่รอบนอกก็จะรีบกลับบ้านในกรุงปักกิ่งเช่นกัน ท้ายที่สุดผู้ติดเชื้อซึ่งไม่รู้ตัวเพราะยังไม่แสดงอาการหรือไม่แสดงอาการอะไรเลยก็จะเดินทางกระจายไปทั่วประเทศจีนและแพร่เชื้อต่อ ๆ กันไปอีกเรื่อย ๆ
ไม่ใช่แค่กรุงปักกิ่ง แต่แทบทุกเมืองในจีนก็เริ่มจากปิดกั้นการเข้าออกเมืองแล้วจึงปิดแหล่งชุมชนในเมืองเป็นลำดับต่อไปรวมทั้งเมืองอู่ฮั่นด้วยเช่นกัน ทำให้โอกาสที่ผู้ติดเชื้อจะเดินทางแพร่เชื้อไปทั่วประเทศจีนลดลง และทำให้จีนสามารถควบคุมแต่ละพื้นที่ได้จนสถานการณ์ดีขึ้นมากในปัจจุบัน
อย่างน้อยกองทัพบกควรแสดงความรับผิดชอบในฐานะผู้ดูแลสนามมวยลุมพินีอันเป็นสถานที่ที่ทำให้เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างรุนแรงในประเทศไทย
โปรดประกาศกฎอัยการศึก สู้ศึกโควิด-19 ก่อนไทยจะตายเท่าหรือมากกว่าอิตาลี เสียเถิดครับกองทัพไทย ก่อนที่คนไทยจะตายเป็นเบือ