xs
xsm
sm
md
lg

ทำไมต้องเลื่อนหยุดสงกรานต์ออกไป เพื่อให้คนไทยอยู่รอดปลอดภัยจาก COVID-19 ?

เผยแพร่:   โดย: ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์



ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์
หลักสูตร Ph.D. & M.Sc. in Business Analytics and Data Science
หลักสูตร Ph.D. & M.Sc. in Applied Statistics
สาขาวิชา Actuarial Science and Risk Management
คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์


ด่วนเลื่อนสงกรานต์!! คณะกรรมการบริหารสถานการณ์ โควิด-19 (ครม.โควิด) ที่นายกฯ เป็นประธาน มีมติให้ เลื่อนเทศกาลสงกรานต์ 13-15 เม.ย.นี้ ออกไปก่อนจนกว่าสถานการณ์โควิด-19 จะดีขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงการแพร่ระบาดในช่วงนี้ โดย คณะรัฐมนตรี จะประกาศ วันหยุดชดเชย อีกครั้ง นี่คือประกาศด่วนสดๆ ร้อนๆ จากนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา รายงานข่าวโดย #ARMdhiravath จากหน้าเฟซบุ๊กและทวิตเตอร์



ข้อเสนอเรื่องเลื่อนการหยุดสงกรานต์ออกไปนั้นเริ่มมาจาก ศาสตราจารย์ นายแพทย์ ยง ภู่วรวรรณ ราชบัณฑิต อาจารย์ยงเป็นอาจารย์ด้านไวรัสวิทยา (Virology) สอนที่ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวานนี้ อาจารย์ยงเพิ่งโพสต์เฟซบุ๊ก Yong Poovorawan ตอน 11 โมงเช้าว่า

โควิด 19 การเคลื่อนย้ายประชากร เป็นเหตุให้เกิดการระบาดของโรคมากขึ้น

การเคลื่อนย้ายประชากร จะเป็นเหตุของการแพร่ระบาดของโรค

ปัจจุบันเมื่อเทียบกับในอดีต มีการเคลื่อนย้ายของประชากรได้อย่างรวดเร็วทำให้ การระบาดทั่วโลกเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

ประเทศจีนควบคุมการระบาดในช่วงเทศกาลปีใหม่ ไม่ให้มีการเคลื่อนย้ายของประชากร สามารถควบคุมโรคให้อยู่ในวงจำกัดในมณฑลหูเป่ย และในที่สุดก็สามารถที่จะควบคุมได้

สำหรับประเทศไทย ถ้าการระบาดมีแนวโน้มเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

เราจะต้องคำนึงถึงช่วงเทศกาลปีใหม่ของไทย

เราจะหยุดยั้งการเคลื่อนย้ายของประชากรได้อย่างไร

ปีนี้ขอโยกย้ายปีใหม่ของไทย ในช่วงสงกรานต์ ให้ไม่เป็นวันหยุด แล้วเมื่อโรคสงบแล้ว ค่อยหยุดชดเชยให้ แทนช่วงที่มีการระบาดของโรค ถ้าเป็นเช่นนี้ทุกคนจะต้องยอมรับ

สังคมเราก็น่าจะยอมรับได้

อีกประการหนึ่ง social distance การรวมกันของคนหมู่มาก ทุกคนจะต้องเข้าใจ ว่าจะเป็นแหล่งของการกระจายโรคอย่างรวดเร็ว (super spread) งานสังคมจำเป็นที่จะต้องงด การจัดประชุมวิชาการ ก็ต้องหาทางออกด้วย tele-conference สนามมวย การแข่งขันกีฬาต่างๆ โรงเรียนกวดวิชาก็จะต้องปิดการสอน เพื่อลดการระบาดของโรคให้ได้



ผมขอสนับสนุนอาจารย์ยง และขอชมเชยการตัดสินใจที่เด็ดขาดครั้งนี้ (ซึ่งปกติไม่ค่อยจะเด็ดขาดเท่าไหร่) ของนายกรัฐมนตรีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าทำไมเราต้องเลื่อนสงกรานต์และวันหยุดออกไป

อันที่จริงการเดินทางในช่วงตรุษจีนหรือ Chinese New Year นั้นเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับคนจีน เพราะลูกหลานกตัญญูต้องกลับไปคารวะพ่อแม่ปู่ย่าตายาย ต้องนำหงเป่า หรืออั่งเปา อันแปลว่าซองแดง ไปมอบของขวัญ (มักจะเป็นเงิน) ให้กับพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย และต้องแจกลูกหลานด้วย ธรรมเนียมนี้ลูกหลานจีนในเมืองไทยเองก็คงทราบดีว่าสำคัญยิ่ง ทำงานแล้วไม่มีสิทธิขอแต๊ะเอียแล้ว ต้องเป็นคนให้เงินพ่อแม่ปู่ย่าตายาย ในขณะที่เด็กๆ ต่างเฝ้ารอเงินวันตรุษจีนนี้ ลูกจ้างของนายจ้างชาวจีนในประเทศไทยก็เช่นกัน เพื่อนผมทำธุรกิจให้แต๊ะเอียหลงจู๊คนช่วยดูแลทำธุรกิจให้ตั้งแต่รุ่นพ่อปีละสองสามล้านบาท หาเป็นเงินน้อยๆ ไม่

การกลับบ้านของคนจีนที่อพยพมาทำงานในเมืองใหญ่ ส่วนใหญ่ทางฝั่งริมทะเลทางตะวันออกของจีนมีคนเดินทางกลับบ้านในช่วงเวลาดังกล่าวนับร้อยล้านคนเป็นความโกลาหลและความยากลำบากมิใช่น้อย แต่คนจีนทุกคนก็อยากกลับบ้านในต่างจังหวัดในช่วงตรุษจีน อย่างน้อยก็ต้องได้กินข้าวร่วมกัน ได้ปั้นเกี๊ยวไส้ต่างๆ เช่น ไส้หมูสับ ไส้กุ่ยช่าย จิ้มน้ำส้มสายชูหมักกินรวมกันร้อนๆ ถือเป็นอาหารมงคล เพราะเกี๊ยวนั้นพับให้เหมือนหมวกขุนนางผู้มีอำนาจวาสนาได้ ในแผ่นดินจีนธรรมเนียมไหว้เจ้าเผากระดาษบูชาบรรพบุรุษนั้นหายไป อันเกิดจาก Red Guard และการปฏิวัติวัฒนธรรมอันเป็นยุคมืดของพรรคคอมมิวนิสต์จีน แต่สายใยในครอบครัวและการกลับบ้านในวันตรุษจีนนั้นยังอยู่ยงคงกระพัน

ธรรมเนียมนี้ก็ไม่ได้แตกต่างกันคนไทย ที่ต้องกลับบ้านในช่วงปีใหม่ไทย วันสงกรานต์เป็นวันผู้สูงอายุแห่งชาติ เป็นวันที่ลูกหลานจะมารดน้ำขอพร พ่อแม่ปู่ย่าตายาย ต้องไปวัดทำบุญบังสกุลโกศกระดูกบรรพบุรุษ ต้องกลับไปเล่นน้ำสงกรานต์ที่บ้าน มีการตั้งวงเหล้าฉลองจนเกิดอุบัติเหตุเสียชีวิตกันมากมายในช่วงสงกรานต์จากจีน

เมื่อผมแชร์โพสต์จากเฟซบุ๊กของอาจารย์ยง มีผู้หลักผู้ใหญ่หลายท่าน ออกมาแสดงความเห็นว่าอย่าเล่นกับความรู้สึกของคนไทย คนไทยนั้นการกลับบ้านต่างจังหวัดสำคัญมากเหลือเกิน และหากเลื่อนวันสงกรานต์ไปนั้นรัฐบาลจะอยู่ไม่ได้แน่ๆ ห้ามทำเด็ดขาด แต่ผมคิดว่าจำเป็นต้องทำเหลือเกิน

ประการแรก COVID-19 ติดง่ายมาก แม้คนที่ได้รับเชื้อมาก็สามารถเป็นพาหะนำโรคได้ แม้ตัวเองไม่ได้เจ็บป่วยอะไรเลยก็ตาม มันสามารถแพร่เชื้อได้แม้ในระยะฟักตัว (Dormancy period) ซึ่งถือว่าเก่งกว่าไวรัสตัวอื่นๆ โดยส่วนใหญ่ที่ต้องแสดงอาการก่อนจึงจะแพร่เชื้อ

ประการสอง COVID-19 ทำให้เกิดปอดบวม ปอดอักเสบ เมื่อปอดอักเสบมากๆ ก็หายใจเองไม่ได้ ก็ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ที่ตายกันเยอะๆ ไม่ได้เพราะอะไร ไม่ใช่เพราะมหาโรคระบาด (Pandemic) ที่ต้องเกิดพร้อมๆ กันหลายๆ ประเทศทั่วโรค แค่เกิดโรคระบาดใหญ่ (Outbreak) ก็เป็นปัญหาแล้ว เพราะโรงพยาบาลในหลายๆ ประเทศ (แม้กระทั่งจีนเอง) ก็มีบุคลากรทางการแพทย์และอุปกรณ์คือเครื่องช่วยหายใจไม่เพียงพอที่จะช่วยชีวิตผู้ป่วยทั้งหมดไว้ได้ อิตาลีเองก็เจอปัญหานี้เพราะโรงพยาบาลไม่มีอุปกรณ์พอ นอกจากนี้การกักตัว (Quarantine) ก็ต้องใช้ห้องผู้ป่วยที่มีประตูสองชั้นและห้องชั้นในมีความดันอากาศต่ำเพื่อไม่ให้เชื้อโรคแพร่กระจายออกไป ซึ่งเราไม่ได้มีห้องกักตัวไว้มากขนาดนั้น

ที่ตายกันมากๆ เมื่อเกิดการระบาดในประเทศต่างๆ จาก COVID-19 ไม่ใช่เพราะรักษาไม่ได้ แต่ตายเพราะอุปกรณ์และบุคลากรไม่พอ

ลองถามว่าประเทศไทยพร้อมหรือไม่สำหรับการระบาดใหญ่ (Outbreak) ที่ว่า ห้องพยาบาล โรงพยาบาล หมอ พยาบาล เภสัชกร จะพอหรือไม่ เราจะมีเครื่องช่วยหายใจพอจำนวนผู้ป่วยหรือไม่ พี่ตูน บอดี้แสลม วิ่งหาเงินช่วยโรงพยาบาลได้เงินมานับพันล้านบาทก็ยังไม่พอหรอกครับ คนไทยได้รับพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวมาช่วยโรงพยาบาลต่างๆ กว่า 2,400 ล้านบาทอันมีส่วนหนึ่งเป็นเงินที่ประชาชนร่วมใจน้อมเกล้าถวายในงานพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร นับเป็นที่อุ่นใจและตื้นตันใจสำหรับคนไทยยิ่ง

แต่ในความเป็นจริง ระบบสาธารณสุขของเราทั้งบุคลากรและเครื่องมืออุปกรณ์ ไม่เพียงพอที่จะรองรับโรคระบาดใหญ่ได้ เมื่อถึงเวลานั้นอาจจะต้องมีการเลือกใส่เครื่องช่วยหายใจให้เฉพาะคนหนุ่มสาวที่มีโอกาสรอดมากกว่าคนแก่

ประการที่สาม ปกติไวรัสจะชอบเด็กและคนแก่ แต่ COVID-19 ชอบคนแก่มากเป็นพิเศษที่เสียชีวิตมากๆ ส่วนใหญ่คือคนแก่ที่มีโรคประจำตัวอยู่แล้ว ที่อิตาลีหรือที่จีน ที่เสียชีวิตมากๆ ก็เป็นคนแก่เช่นกัน คนแก่อายุมากกว่า 80 ปี ขึ้นไปมีอัตราการเสียชีวิตถึง 14.8% ในขณะที่เด็กอายุ 10-19 ปี มีอัตราการเสียชีวิตจาก COVID-19 แค่ 0.2% จากสถิติการเสียชีวิตในจีนจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าอัตราการเสียชีวิตมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วตามอายุของผู้ติดเชื้อ COVID-19


การกลับบ้านไปกราบพ่อแม่ปู่ย่าตายาย จะกลายเป็นการนำโรค COVID-19 ไปแพร่ให้พ่อแม่ปู่ย่าตายายหรือไม่ เทศกาลสงกรานต์จะกลายเป็นลูกหลานเป็นยมฑูตนำความตายมาสู่พ่อแม่ปู่ย่าตายาย และทำให้โรคระบาดหนักกว่าเดิมหรือไม่

ประการที่สี่ เราควรเรียนรู้บทเรียนจากจีนว่า สถิติอุบัติการณ์ใหม่ (Incidence rate) ของจำนวนผู้ป่วยรายใหม่ พุ่งพรวดทะลุถล่มทลายในช่วงตรุษจีนพอดี กราฟล่างด้านขวาแสดงให้เห็นชัดว่าจำนวนผู้ป่วยรายใหม่ของ COVID-19 ของโลกพุ่งพรวดในช่วงเทศกาลตรุษจีนพอดี ส่วนกราฟด้านล่างด้านซ้ายเป็นจำนวนผู้ป่วยสะสม (ทั้งรายเก่าและรายใหม่) มีสองเส้น เส้นหนึ่งของโลก อีกเส้นของจีน จะเห็นได้ว่ามีความชันพรวดในช่วงเทศกาลตรุษจีนเช่นกัน

ที่มา https://ourworldindata.org/coronavirus
ประการที่ห้า เป็นสิ่งที่น่าสนใจมากคืออู่ฮั่นมีประชากรประมาณ 10 ล้านคน แต่ออกนอกเมืองไปก่อนตรุษจีนห้าล้านคน คำสั่งปิดเมืองมาช้าไปและไม่ได้ผล หายออกไปยังเมืองต่างๆ ทั้งในจีนและนอกจีนประมาณห้าล้านคน มาเมืองไทยก็เยอะมากเช่นกัน ทำให้การกักกันตัว (Quarantine) ด้วยการปิดเมืองไม่ได้ผลเท่าที่ควร โปรดดูได้จาก >> https://multimedia.scmp.com/infographics/news/china/article/3047038/wuhan-virus/index.html

ดังรูปด้านล่างนี้ ซึ่งวาดโดย South China Morning Post เราจะพบว่าท้ายที่สุดการสั่งปิดเมืองห้ามคนเดินทางออกนั้นทำได้ยากมาก และท้ายที่สุดก็ห้ามได้ยากอยู่ดี แต่ก็ยังควรต้องห้าม ไม่ให้เกิดการแพร่เชื้อมากนัก หรืออย่างน้อยก็กันได้ในระยะเวลาหนึ่ง




ประการที่หก มีนักวิจัยที่สร้างตัวแบบพยากรณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 แล้วพบว่าตัวแปรจำนวนผู้โดยสารที่เดินทางไปยังเมืองต่างๆ พยากรณ์จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ได้ดี โดย Shengjie Lai, Isaac Bogoch, Nick Ruktanonchai, Alexander Watts, Xin Lu, Weizhong Yang, Hongjie Yu, Kamran Khan, View ORCID ProfileAndrew J Tatem ในบทความชื่อ Assessing spread risk of Wuhan novel coronavirus within and beyond China, January-April 2020: a travel network-based modelling study จาก https://www.medrxiv.org/content/10.1101/2020.02.04.20020479v2 ซึ่งพบว่าความเสี่ยงจากการมีคนเดินทางเข้ามาในเมือง (ทั้งในจีนและในประเทศอื่นๆ) สัมพันธ์ทางบวกกับจำนวนผู้ป่วย COVID-19 อย่างชัดเจน


ประการที่เจ็ด มีการศึกษาวิจัยตีพิมพ์ในปี 2007 โดยอาศัยข้อมูลประวัติศาสตร์มหาโรคระบาดไข้หวัดใหญ่สเปนในปี 1918 เปรียบเทียบการทิ้งระยะห่างทางสังคม (Social distancing) การทิ้งระยะห่างทางสังคม คือให้คนมาเจอกันทางกายภาพหรือทางสังคมให้น้อยที่สุด งดการสังสรรค์ งานปาร์ตี้ งานพาเหรด งานกีฬา งานสังคม การจัดคอนเสิร์ตต่างๆ ให้งดไปโรงเรียน ให้งดไปมหาวิทยาลัย ให้สับหว่างเวลาในการไปทำงาน หรือเข้าไปโรงอาหารให้มีคนน้อยๆ หรือต่างคนต่างมากิน ให้ข้องเกี่ยวหรือพบเจอกันตัวต่อต่อ หน้าต่อหน้า ให้น้อยที่สุด

ผลการวิจัยนี้ชื่อ Public health interventions and epidemic intensity during the 1918 influenza pandemic โดย Richard J. Hatchett, Carter E. Mecher, and Marc Lipsitch ตีพิมพ์ลงใน Proceedings of the National Academy of Sciences of the United States ในเดือน May 1, 2007 ฉบับที่104 (18) หน้าที่7582-7587 สามารถดาวน์โหลดได้ที่ https://doi.org/10.1073/pnas.0610941104 โดยศึกษาสถิติทางระบาดวิทยาและผลของการทิ้งระยะห่างทางสังคมเพื่อตรวจสอบผลของการทิ้งระยะห่างทางสังคมของหลายเมือง (อย่างน้อย 17 เมือง) แล้วพบว่า การทิ้งระยะห่างทางสังคมของเมืองสองเมืองคือคือฟิลาเดลเฟียกับเซนต์หลุยส์ ทำให้อัตราการตายในช่วงนั้นแตกต่างกันมากเหลือเกิน

เมืองฟิลาเดลเฟียจัดงานพาเหรดยิ่งใหญ่คนออกมาร่วมงานสองแสนกว่าคนในขณะที่เกิดไข้หวัดใหญ่สเปนอันเป็นมหาโรคระบาดกำลังระบาดหนักในปี 1918 ดังรูปด้านล่างนี้

ที่มา https://qz.com/1816060/a-chart-of-the-1918-spanish-flu-shows-why-social-distancing-works/

ที่มา https://doi.org/10.1073/pnas.0610941104
ผลคือทำให้ไข้หวัดสเปนระบาดหนักมากและมีคนตายมากเหลือเกินในขณะที่เมืองเซนต์หลุยส์ สามารถชะลอการตายจากการระบาดของโรคได้ เรียกว่า flattening the curve ดังรูปด้านล่างนี้

หนังสือพิมพ์ Washington Post ในวันที่ 14 มีนาคมนี้ ได้สร้าง animation แสดงผลของการระบาดและมาตรการต่างๆ เพื่อแก้ปัญหา COVID-19 (https://www.washingtonpost.com/graphics/2020/world/corona-simulator/) อันสวยงามและเข้าใจได้ง่ายอย่างยิ่ง โดย Harry Stevens ในบทความชื่อ Why outbreaks like coronavirus spread exponentially, and how to “flatten the curve” โดยใช้การจำลองเชิงระบาดวิทยา แล้วเปรียบเทียบ 4 มาตรการ คือ

มาตรการหนึ่ง ปล่อยเสรีไม่ทำอะไรเลยให้เกิดการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ (Herd immunization) ปล่อยให้ระบาดอย่างเต็มที่จนทุกคนมีภูมิต้านทาน ผลจะเป็นดังรูปแรกด้านซ้ายมือคือมีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว (แน่นอนเมื่อเกินกว่ากำลังความสามารถของระบบสาธารณสุขก็จะมีคนตายมหาศาล) แต่เมื่อ peak แล้วก็จะมีภูมิต้านทานและจำนวนผู้ป่วยรายใหม่ลดลงอย่างรวดเร็ว (จีนนั้นเข้าเฟสที่ทุกคนเกิด herd immunization) แล้ว ในขณะที่สปสช NHS ของอังกฤษออกมาแถลงว่ารองรับไม่ไหวและอาจจะต้องปล่อยให้เกิด herd immunization เช่นนั้น อนึ่งคำว่า herd อาจจะหมายถึงแห่ตามกัน หรือหมายถึง ฝูงวัวควาย เช่น a herd of cattle สีส้มตรงกลางคือจำนวนผู้ป่วย สีเข้มด้านบนขวาคือจำนวนคนที่หายป่วย (Recovered) ส่วนสีอ่อนด้านซ้ายของรูปคือคนที่ยังสุขภาพดีไม่ป่วย ซึ่งท้ายที่สุดทุกคนก็จะติด COVID-19 กันหมด ตามเวลาที่ผ่านไปในแนวแกนนอน

มาตรการสอง พยายามกักกันตัว (Quarantine) และปิดเมือง ซึ่งจีนใช้วิธีการนี้แม้จะช้าไปหน่อยแต่ก็ชะลอการระบาดไปได้บ้าง แต่ในที่สุดการกักกันตัวนั้นย่อมมีการรั่วไหล ควบคุมไม่ได้ และทำให้ระบาดออกไปภายนอกอยู่ดี โปรดดูรูปที่สองจากซ้ายมือ

มาตรการสาม และ สี่ เป็นการทิ้งระยะห่างทางสังคมปานกลางและเข้มงวด (Moderate and extensive social distancing) ซึ่งพบว่าจำนวนผู้ป่วยจะน้อยมาก เส้นโค้งจะแบนแต่ลากยาวทำให้ระบบสาธารณสุขรองรับได้ เช่นมีเครื่องช่วยหายใจหรือแพทย์ที่จะรักษาเพียงพอ โอกาสที่จะหายรอดเกือบ 100% ของไทยเราก็ตายน้อยแค่รายเดียว เพราะระบบสาธารณสุขเราในขณะนี้ยังรองรับได้ไหวอยู่ อีกทั้งหมอ พยาบาล เทคนิคการแพทย์ เภสัชกรของไทยเราก็เก่งระดับต้นๆ ของโลก

ที่มา https://www.washingtonpost.com/graphics/2020/world/corona-simulator
ภาพวาดด้านล่างนี้แสดงการ flattening the curve สำหรับมหาโรคระบาด จำเป็นต้องทำเพื่อไม่ให้ป่วยมากจนตายหมู่มากมายเพราะรักษาไม่ไหว รักษาไม่ทัน ปอดบวม ปอดอักเสบ เครื่องช่วยหายใจไม่พอ


ประการที่แปด ประเทศไทยเริ่มมี super spreader หรือมหาพาหะผู้แพร่เชื้อแล้ว ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดเกิดขึ้นที่เวทีมวยลุมพินี โดยมีดาราแมทธิว ดีน เจ้าของค่ายมวย ไปเป็นพิธีกร ซึ่งน่าจะติดจากมหาพาหะผู้แพร่เชื้อ แบบเดียวกับคุณป้าเมืองแทกูเข้าโบสถ์ที่เกาหลีใต้ ทำให้คุมไม่อยู่ เราจะเข้าเฟสสามอย่างรวดเร็วอย่างแน่นอน มีเซียนมวยห้าคนไปติดโรค มีเจ้ากรมสวัสดิการทหารบกไปติดโรคมาจากสนามมวย ลิเดีย ภรรยาของแมทธิว ดีนก็ติดโรคด้วยจากสามี ส่วนนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดแปดริ้วก็ไปติดโรคมาเช่นกัน และไปออกงานต่างๆ อีกมากมายโดยรู้เท่าไม่ถึงการและไม่มีการจัดการเรื่อง การทิ้งระยะห่างทางสังคม (Social distancing) ที่ดีพอ

มีมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งย่านทุ่งบางกะปิ ทำท่าจะดีเข้าใจเรื่องนี้ โดยให้งดการสอน offline ให้หมด ให้มาสอนออนไลน์ให้หมด แต่อธิการบดีขาดสติสัมปชัญญะ เกิดอยากได้คะแนนเสียงของอาจารย์ในมหาวิทยาลัยหรือไม่ก็ไม่ทราบ ตามที่เคยทำๆ กันมา จึงนัดอาจารย์มาเจอกันเพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการสอนออนไลน์ พูดง่ายๆ มาตั้งห้องเรียนออฟไลน์รวมอาจารยด้วยกันเพื่อสอนวิธีการสอนออนไลน์ โดยนัดกันทางไลน์ โดยห้องหนึ่ง 20 กว่าคน จัดสองห้องเลย และมีการเลี้ยงอาหารกันด้วย box set เอ่อ คงเข้าใจคำว่า social distancing ที่ใช้ได้ผลในการป้องกันการแพร่ระบาดของ COVID-19 หรือไม่ หรือสั่งโดยไม่ใช่สติจึงได้ทำเช่นนี้

ผมว่าอันนี้คือการกระทำที่โง่ ไร้ปัญญามาก ไม่ให้เด็กนักศึกษามาเรียนในมหาวิทยาลัย แต่อาจารย์นัดมาเจอกันประชุมร่วมกัน หายใจรดกันให้มหาวิทยาลัย 40 กว่าคน ถ้ามันเกิดติด COVID-19 ขึ้นมา รู้ไปถึงไหนก็จะอายไปทั่วประเทศไทย ว่าคนระดับ ศาสตราจารย์ ดร. รศ. ดร. ก็ขาดสติและปัญญาเป็นเหมือนกันหนา ที่พูดเช่นนี้เพราะเป็นห่วง ไม่อยากให้เกิดความเสี่ยงที่จะเกิดข่าวหน้าหนึ่ง ทำไมไม่นัดกันออนไลน์ ใช้ line ในห้องกันทุกคน เอาเหอะ ทำอะไรก็ขอให้มีสติกันบ้าง อายประชาชนกันบ้างเหอะ

อย่าออกมาบ่นและด่าลุงตู่กันเรื่องนี้เลย ลุงตู่และรัฐบาลทำไม่ถูกก็ด่าได้นะครับ แต่ถ้าทำในสิ่งที่ถูกต้องตามหลักเพื่อให้คนไทยอยู่รอด เพื่อให้คนไทยไม่ตาย ไม่ได้หยุดสงกรานต์ ไม่ได้กลับบ้านสงกรานต์คงไม่ถึงตาย แต่กลับบ้านต่างจังหวัดช่วงสงกรานต์จะนำโรคร้ายและความตายกลับไปหาบุพการี

คนที่จะรอดตายแน่ๆ คือคนมีเงินหากเกิด outbreak หรือการระบาดใหญ่ คือการมีเงินซื้อเครื่องช่วยหายใจ ซื้อเตียงห้องพักพิเศษในโรงพยาบาลเอกชน แต่โปรดฟังอีกครั้งหนึ่ง ผมสอบถามผู้บริหารโรงพยาบาลเอกชนแล้วว่าเขาก็ไม่พร้อมรับการระบาดใหญ่ของ COVID-19 เหมือนกัน ป่วยกันมามากๆ จนล้นโรงพยาบาล หมอไม่พอ เครื่องช่วยหายใจไม่พอ เขาก็ทำอะไรไม่ได้ ก็ต้องปล่อยให้ตายเหมือนกัน ยกเว้นคนมีเงินจริงๆ จะสั่งเครื่องช่วยหายใจมารอไว้ก่อนเลย เพื่อตัวเองและครอบครัวป่วยจะได้มีเครื่องช่วยหายใจ ถ้าครอบครัวมีสิบคนก็ต้องสั่งซื้อสิบเครื่องหลายล้านบาทอยู่นะครับ ถ้าไม่รวยจริงทำไม่ได้หรอกครับ

การลิดรอนสิทธิของคนไทยเพื่อทำให้คนไทยส่วนรวมอยู่รอด ไม่ให้ป่วยกันมากๆ จนล้นโรงพยาบาลแล้วตายกันหมดจึงเป็นเรื่องจำเป็นและถูกต้องตามหลักวิชาการอย่างยิ่ง นายกรัฐมนตรีหากต้องใช้มาตรการที่เป็น social distancing แบบรุนแรงกว่านี้ก็โปรดจงเด็ดขาด ให้สมกับที่เคยเป็นเผด็จการทหารมาจากรัฐประหาร ไม่ควรทำตัวเหลาะแหละแบบนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งทะเลาะกันไม่เสร็จเสียที อำนาจหากมีก็ต้องใช้ให้หมดจดเด็ดขาดเข้มแข็งเพื่อประเทศชาติและประชาชน

ไม่กลับบ้านสงกรานต์ ไม่ตายหรอก กลับบ้านสงกรานต์จะทำให้ตายกันทั้งประเทศ เลื่อนหยุดสงกรานต์ออกไปเถิดครับ นี่คือการบริหารความเสี่ยงที่ผมสอนอยู่ เป็นเรื่องที่ผมพอจะมีความรู้และอยากจะแบ่งปันครับ


กำลังโหลดความคิดเห็น