ข่าวปนคน คนปนข่าว
**ประชาธิปไตยแบบโง่ๆ? เฮลั่นวันนี้หวังว่าจะไม่หลั่งน้ำตาในวันหน้า กรณีผู้ว่าฯพิษณุโลก ให้ลงมติยกมือออกเสียงไม่ปิดผับ-บาร์เมืองสองแคว
เมื่อวันก่อน “พิพัฒน์ เอกภาพันธ์”ผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก นั่งเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อจังหวัดพิษณุโลก เพื่อกำหนดมาตรการควบคุมป้องกันโรคโควิด-19 โดยเชิญผู้ประกอบการโรงแรม ที่พัก รีสอร์ต 108 แห่ง และผู้ประกอบการสถานบริการ 35 แห่ง เข้าร่วมประชุมรับฟังความคิดเห็น ที่ศาลากลางจังหวัดพิษณุโลก โดยผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลกได้สั่งปิดคาราโอเกะ บ่อนไก่ชน สนามมวย สถาบันกวดวิชา ไม่มีกำหนด และให้งดการจัดคอนเสิร์ต งานแสดงสินค้า กิจกรรมทางศาสนา... ส่วนสนามฟุตบอล สนามบาสฯ ฟิตเนส ให้ปิดเป็นระยะเวลา 14 วัน เพื่อให้ทำความสะอาด และจัดระบบป้องกันโรคโควิด-19 ให้เป็นไปตามมาตรฐานกระทรวงสาธารณสุข
กำลังจะดูดีอยู่แล้วเชียว แต่สำหรับ "สถานบันเทิง ผับ บาร์" ที่ถือเป็นหนึ่งในจุดเสี่ยงที่จะเกิดการแพร่ระบาด นั้นกลับ “ไม่ปิด”ซะงั้น
ฟังว่า ที่ประชุมได้หยิบยกข้อกฎหมายและแนวทางปฏิบัติตามนโยบายรัฐบาลมาหารือ ก่อนให้ที่ประชุมแสดงความเห็นต่อคณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อจังหวัดพิษณุโลก ว่าจะออกประกาศปิดสถานบันเทิง ผับ บาร์ ที่บางแห่งเปิดบริการจนถึง 02.00 น.ทุกคืน เพื่อสกัดกั้นการแพร่ระบาดหรือไม่
จากนั้นผู้ว่าฯ ซึ่งเป็นประธานให้ผู้เข้าร่วมประชุม “ยกมือออกเสียง”ปรากฏว่า มีเพียงผู้ประกอบการบางส่วนที่เห็นด้วยว่าควรปิด แต่ส่วนใหญ่ไม่ยอมยกมือ ทำให้ที่ประชุมมีมติ "ไม่ปิดสถานบริการ" และสร้างความพึงพอใจให้แก่ผู้เข้าประชุม “ปรบมือ”พร้อมส่งเสียง “เฮลั่น”ห้องศาลากลาง
ทั้งๆที่ รู้ๆกันว่า การแพร่ระบาดของ"ไวรัสโควิด-19" ตอนนี้ หนักหนาสาหัส และ การทำสงครามเพื่อปกป้องสุขภาพของผู้คนในสังคมให้ลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อเป็นสิ่งที่ต้องร่วมมือกันทั่วประเทศ เพื่อช่วยบุคลากรทางการแพทย์ที่เหน็ดเหนื่อยสายตัวแทบขาด ยิ่งเมื่อดูตัวเลขจากการประกาศของทางการล่าสุด มีพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอีก 60 คน เห็นได้ชัดเลยว่า มาจากสถานที่ที่มีคนไปชุมนุมกันเยอะๆ และ ยังคงเป็น “ผับ”และ “สนามมวย”สองที่นี้ เป็นหลักเลย
สนามมวยที่เจอเพิ่มล่าสุด เป็นผู้ชม ญาติ ผู้ดูแลค่ายมวย เจ้าหน้าที่ทำงานสนามมวย ส่วน สถานบันเทิง หนักกว่าเรียกว่า “ติดทั้งผับ”โดยเป็นทั้ง ดีเจ พนักงานทำความสะอาด พ่อครัว พนักงานเสิร์ฟ พิธีกร แคชเชียร์ คนเที่ยว แฟนคนเที่ยว จากย่านทองหล่อ สวนหลวงฯ รามคำแหง และ สุขุมวิท พานไปติดคนสัมผัสใกล้ชิด และคนในครอบครัวอีก
เรียกว่า ตั้งแต่เริ่มรายงานผู้ป่วย 12 มี.ค. เป็นต้นมา พบผู้ป่วยยืนยันในกลุ่ม “ผับ”มี 57 ราย ขณะที่ “สนามมวย”รวม 52 ราย โดย 2 กลุ่มนี้รวมกันเข้าไปก็เกิน 100 คน ทำให้ผู้ป่วยสะสมมากกว่า 200 กว่ารายแล้ว
งานนี้ไม่รู้ว่า ผู้ว่าฯเมืองสองแควท่านใช้หลักคิดอย่างไร ให้มีการยกมือออกเสียงลงมติ "แบบประชาธิปไตย" เอาเสียงข้างมากจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย มาใช้กับภาวะฉุกเฉินวิกฤตแบบนี้ จริงอยู่การปิดผับ บาร์ สถานบันเทิง จะทำให้คนที่เกี่ยวข้องขาดรายได้ กระทบกับชีวิตการครองชีพ แต่ วันนี้พิสูจน์ชัดมิใช่หรือว่า “สถานบันเทิง”ต้องงดบริการ หากต้องการยับยั้งลดความเสี่ยงในการแพร่ระบาด
ปชตบงงจพรต. "ประชาธิปไตยแบบโง่ๆ? จะพาพวกเราตาย" ...ไม่ปิด=เพิ่มวิกฤตให้หนักขึ้นไปอีกหรือไม่ ฉุกคิดสักนิด วันนี้ชาติต้องการความเด็ดขาด เข้มงวด และเข้มแข็ง ยอมเจ็บเพื่อจบ ดีกว่ามั้ย
เสียงเฮลั่นวันนี้ จะกลายเป็นหลั่งน้ำตาในวันหน้าหรือเปล่า ?
ขออย่าให้เป็นเช่นนั้นเลย.
** ประชาธิปัตย์ฟัดกันนัว ระหว่าง"ทีมมัลลิกา"กับ "เทพไท" กรณีหน้ากากอนามัยฉาว ที่พรรคพยายามตัดจบ แต่จบไม่ลง !!
เรื่องหน้ากากอนามัยฉาว ที่ตอนแรกแค่ถูก"ปูด" แต่ตอนนี้เป็นเรื่อง"เปิด" ที่ร้อนแรงในสื่อหลัก โซเชียลฯ ทั้งนอกพรรค ในพรรคประชาธิปัตย์
เริ่มเรื่องจาก "อัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์" ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ที่ไลฟ์สดผ่านเพจเฟซบุ๊กของชมรมฯ "ปูด"ว่า มีหญิงสาวที่ปรึกษารัฐมนตรีในรัฐบาลนี้ มีส่วนพัวพันกับการกักตุน ส่งออกหน้ากากอนามัยไปนอก...แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นใคร ชื่ออะไร แค่บอกลักษณะให้ไปมโนกัน...
จากนั้น "มัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข" ที่ปรึกษา "จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์" รมว.พาณิชย์ ก็ส่งทนายไปแจ้งความดำเนินคดีกับ "อัจฉริยะ" ในความผิดเรื่องหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา และนำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ทำให้ประชาชนเข้าใจผิด ...
เมื่อ"มัลลิกา"เปิดหน้าออกมาเองอย่างนี้ ทางโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ จึงต้องออกมาแถลงว่าทางพรรค จะตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ถ้ามีมูลความผิดจริง ... ก็ต้องถูกไล่ออกจากพรรค
แต่แล้ว...ถัดมาแค่วันเดียว"อลงกรณ์ พลบุตร" รองหัวหน้าพรรค ก็ออกมาแถลง"ตัดจบ"ว่า...จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงภายในพรรค พบว่า"มัลลิกา"ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกักตุนหน้ากากอนามัย ส่งออกนอก ...
ขณะที่"ถวิล ไพรสณฑ์" หัวหน้าฝ่ายกฎหมายของพรรค ซึ่งตามปกติแล้วจะเป็นผู้ที่ต้องรับรู้ หรือมีส่วนรับผิดชอบ กับการตั้งกรรมการสอบสมาชิกพรรค กลับบอกว่า ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ จากคณะกรรมการบริหารพรรค หรือมีคำสั่งใดๆ ลงมาให้ฝ่ายกฎหมายพรรคทำหน้าที่ตรวจสอบใคร
เมื่อคนในพรรคไปกันคนละทิศละทางแบบนี้ โซเชียลฯ ก็วิพากษ์วิจารณ์กัน "ไฟลุก"
วันรุ่งขึ้น "เทพไท เสนพงศ์" ส.ส.นครศรีธรรมราช ของพรรค ก็ออกมาแถลงว่า ได้ทำหนังสือถึง"จุรินทร์" หัวหน้าพรรค รวมทั้ง คณะกรรมการบริหารพรรค ให้ตั้งคณะกรรมการสอบเรื่องนี้ และเรียกร้องให้คณะกรรมการบริหารพรรค มีมติให้ นางมัลลิกา ลาออกจากตำแหน่งที่ปรึกษา รมว.พาณิชย์ ไว้ก่อน ตามข้อบังคับของพรรค หากมีเรื่องส่อทุจริตเกิดขึ้น.... ถ้าการสอบสวนได้ข้อยุติว่า ไม่มีความผิดค่อยแต่งตั้งเข้ามาใหม่ได้
"เทพไท"ยังบอกว่า ตามมาตรฐานของพรรคที่เคยปฏิบัติกันมา ... หากใครถูกกล่าวหาว่ามีพฤฒิกรรมเข้าไปเกี่ยวข้องกับการทุจริต ก็จะต้องพิจารณาตัวเอง ลาออกจากตำแหน่งเพื่อแสดงความรับผิดชอบในทันที... พร้อมยกตัวอย่างกรณีของ ..."วิฑูรย์ นามบุตร" อดีต รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับปลากระป๋องเน่า...กรณี "วิทยา แก้วภราดัย" อดีตรมว.สาธารณสุข ถูกข้อกล่าวหาว่ามีเรื่องไม่มีความโปร่งใสในการจัดทำงบประมาณ...กรณี"อภิรักษ์ โกษะโยธิน" อดีตผู้ว่าฯกทม. ที่ถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด ในคดีจัดซื้อรถดับเพลิง ล้วนแสดงสปิริต ลาออกตามมาตรฐานของพรรค
คล้อยหลังจากที่ "เทพไท" ออกมาแถลงข่าวนี้ ก็เจอสมาชิกพรรค "สวนกลับ" ในกลุ่มไลน์ของพรรค ก็เกิดการโต้เถียงแบบ "ไฟลุก"เช่นกัน โดยสมาชิกจำนวนมากเห็นว่า เรื่องยังไม่เกิดขึ้นเลย ยังไม่มีใครกล่าวหาว่า"มัลลิกา" ทุจริต แต่"เทพไท" กลับถือโอกาสออกมาขับไล่เพื่อน ซึ่งไม่เป็นธรรม...แถมยังขุดเรื่องเก่า คดีทุจริตการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่ง"เทพไท"และน้องชาย "มาโนช เสนพงศ์" ตกเป็นจำเลย.. คดีมีการสืบพยานในชั้นศาล ตกเป็นผู้ต้องหาอย่างชัดเจน... ทำไมไม่เห็นมีใครยึด"มาตรฐาน" ของพรรค ลาออกเลยสักคน...
ระหว่างที่ชุลมุนกันอยู่นั้น "ราเมศ รัตนะเชวง" โฆษกพรรค ก็ออกมาแถลงว่า เรื่องตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริง กรณี "มัลลิกา" นั้น หัวหน้าพรรคได้มีคำสั่งตั้งกรรมการสอบแล้วตั้งแต่ วันที่ 17 มี.ค.ที่ผ่านมา โดยให้ "องอาจ คล้ามไพบูลย์" เป็นประธาน มี อิสสระ สมชัย ...สามารถ ราชพลสิทธิ์ ...วิรัช ร่มเย็น เป็นกรรมการ และ อภิชาต ศักดิเศรษฐ์ เป็นเลขานุการ ...แน่นอนว่า เรื่องนี้ก็โดนโซเชียลฯ ถล่มอีกระลอก เพราะเห็นว่า ตั้งคนในพรรคมาสอบกันเอง โดยไม่มีคนนอกเลย ...ผลสอบออกมาก็ไม่แคล้วฟอกขาวกันเอง ...
ด้าน"อัจฉริยะ" ที่ถูก"มัลลิกา"ส่งทนายไปแจ้งความดำเนินคดี ก็ไปแจ้งความกลับบ้างที่ สน.ทุ่งสองห้อง ในข้อหาแจ้งความเท็จ...แถมยังปูดข้อมูลเรื่องหน้ากากอนามัยเพิ่มเติมว่า ... ที่กระทรวงพาณิชย์ ออกมาบอกว่า มีโรงงานผลิตหน้ากากอนามัยแค่ 11 โรงนั้น ตามข้อมูลที่เขาไปสืบค้นมา ปรากฏว่า มีบริษัทผลิตหน้ากากอนามัยทั้งหมด 242 แห่ง แต่มีเพียง 7 บริษัท ที่ได้รับอนุญาตให้ส่งออกเท่านั้น ... แล้วหน้ากากอนามัยที่ผลิตจากบริษัทที่เหลืออีก 235 บริษัท หายไปไหน... ทำไมถึงไม่ส่งให้กรมการค้าภายในจัดสรรจำหน่าย หากนำหน้ากากที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ส่งออก มากระจายในประเทศ ก็จะเพียงพอต่อความต้องการของประชาชน ไม่ต้องขาดแคลนอย่างทุกวันนี้...แต่ที่เป็นอย่างนี้ ประชาชนเดือดร้อนอย่างนี้ เพราะมีกระบวนการที่พยายามนำหน้ากากเหล่านั้นส่งออก...
ไม่เพียงเท่านั้น "อัจฉริยะ" ยังได้ไปยื่นหนังสือถึง "พล.ต.ท.สุทิน ทรัพย์พ่วง" ผบช.ก. ร้องทุกข์กล่าวโทษดำเนินคดีอาญาต่อ "วิชัย โภชนกิจ" อดีตอธิบดีกรมการค้าภายในกับพวก ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 พร้อมมอบเอกสารหลักฐาน หนังสืออนุญาตการส่งออกไปนอกราชอาณาจักรซึ่งหน้ากากอนามัย ที่มีความไม่ชอบมาพากลด้วย ...
เรื่อง "หน้ากากอนามัยหายไปไหน" ที่ฉาวโฉ่อยู่ขณะนี้ กำลังรุมเร้า พัวพันอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ เพราะ "จุรินทร์" ในฐานะรมว.พาณิชย์ ที่กำกับดูแลกรมการค้าภายใน ก็ไม่จัดการให้เคลียร์ จน"ลุงตู่" ต้องลงมาเซ็นคำสั่งย้ายให้ไปประจำสำนักนายกฯด้วยตัวเอง... และในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีสมาชิกพรรคเป็นที่ปรึกษา ถูกล่าวหาว่ามีส่วนพัวพัน ...การพยายาม "ตัดจบ" อย่างที่มีคนในพรรคพยายามทำให้เห็นว่าโปร่งใสนั้น สังคมยังมีข้อกังขา โดยเฉพาะการกรรมการสอบที่ล้วนแต่เป็น "คนใน"...
เรื่องนี้หาก"จุรินทร์" ไม่เข้ามาจัดการให้เด็ดขาด ให้สังคมสิ้นข้อกังขาแล้ว จะไม่เพียงเสียหายเฉพาะตัวบุคคล...แต่ประชาธิปัตย์ จะเน่าไปทั้งพรรค
-------------
รูป- พิพัฒน์ เอกภาพันธ์--ผู้ประกอบการโรงแรม ที่พัก สถานบันเทิงในจ.พิษณุโลกที่มาร่วมประชุม
-- เทพไท เสนพงศ์ - มัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข - จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ - อัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์
**ประชาธิปไตยแบบโง่ๆ? เฮลั่นวันนี้หวังว่าจะไม่หลั่งน้ำตาในวันหน้า กรณีผู้ว่าฯพิษณุโลก ให้ลงมติยกมือออกเสียงไม่ปิดผับ-บาร์เมืองสองแคว
เมื่อวันก่อน “พิพัฒน์ เอกภาพันธ์”ผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก นั่งเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อจังหวัดพิษณุโลก เพื่อกำหนดมาตรการควบคุมป้องกันโรคโควิด-19 โดยเชิญผู้ประกอบการโรงแรม ที่พัก รีสอร์ต 108 แห่ง และผู้ประกอบการสถานบริการ 35 แห่ง เข้าร่วมประชุมรับฟังความคิดเห็น ที่ศาลากลางจังหวัดพิษณุโลก โดยผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลกได้สั่งปิดคาราโอเกะ บ่อนไก่ชน สนามมวย สถาบันกวดวิชา ไม่มีกำหนด และให้งดการจัดคอนเสิร์ต งานแสดงสินค้า กิจกรรมทางศาสนา... ส่วนสนามฟุตบอล สนามบาสฯ ฟิตเนส ให้ปิดเป็นระยะเวลา 14 วัน เพื่อให้ทำความสะอาด และจัดระบบป้องกันโรคโควิด-19 ให้เป็นไปตามมาตรฐานกระทรวงสาธารณสุข
กำลังจะดูดีอยู่แล้วเชียว แต่สำหรับ "สถานบันเทิง ผับ บาร์" ที่ถือเป็นหนึ่งในจุดเสี่ยงที่จะเกิดการแพร่ระบาด นั้นกลับ “ไม่ปิด”ซะงั้น
ฟังว่า ที่ประชุมได้หยิบยกข้อกฎหมายและแนวทางปฏิบัติตามนโยบายรัฐบาลมาหารือ ก่อนให้ที่ประชุมแสดงความเห็นต่อคณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อจังหวัดพิษณุโลก ว่าจะออกประกาศปิดสถานบันเทิง ผับ บาร์ ที่บางแห่งเปิดบริการจนถึง 02.00 น.ทุกคืน เพื่อสกัดกั้นการแพร่ระบาดหรือไม่
จากนั้นผู้ว่าฯ ซึ่งเป็นประธานให้ผู้เข้าร่วมประชุม “ยกมือออกเสียง”ปรากฏว่า มีเพียงผู้ประกอบการบางส่วนที่เห็นด้วยว่าควรปิด แต่ส่วนใหญ่ไม่ยอมยกมือ ทำให้ที่ประชุมมีมติ "ไม่ปิดสถานบริการ" และสร้างความพึงพอใจให้แก่ผู้เข้าประชุม “ปรบมือ”พร้อมส่งเสียง “เฮลั่น”ห้องศาลากลาง
ทั้งๆที่ รู้ๆกันว่า การแพร่ระบาดของ"ไวรัสโควิด-19" ตอนนี้ หนักหนาสาหัส และ การทำสงครามเพื่อปกป้องสุขภาพของผู้คนในสังคมให้ลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อเป็นสิ่งที่ต้องร่วมมือกันทั่วประเทศ เพื่อช่วยบุคลากรทางการแพทย์ที่เหน็ดเหนื่อยสายตัวแทบขาด ยิ่งเมื่อดูตัวเลขจากการประกาศของทางการล่าสุด มีพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอีก 60 คน เห็นได้ชัดเลยว่า มาจากสถานที่ที่มีคนไปชุมนุมกันเยอะๆ และ ยังคงเป็น “ผับ”และ “สนามมวย”สองที่นี้ เป็นหลักเลย
สนามมวยที่เจอเพิ่มล่าสุด เป็นผู้ชม ญาติ ผู้ดูแลค่ายมวย เจ้าหน้าที่ทำงานสนามมวย ส่วน สถานบันเทิง หนักกว่าเรียกว่า “ติดทั้งผับ”โดยเป็นทั้ง ดีเจ พนักงานทำความสะอาด พ่อครัว พนักงานเสิร์ฟ พิธีกร แคชเชียร์ คนเที่ยว แฟนคนเที่ยว จากย่านทองหล่อ สวนหลวงฯ รามคำแหง และ สุขุมวิท พานไปติดคนสัมผัสใกล้ชิด และคนในครอบครัวอีก
เรียกว่า ตั้งแต่เริ่มรายงานผู้ป่วย 12 มี.ค. เป็นต้นมา พบผู้ป่วยยืนยันในกลุ่ม “ผับ”มี 57 ราย ขณะที่ “สนามมวย”รวม 52 ราย โดย 2 กลุ่มนี้รวมกันเข้าไปก็เกิน 100 คน ทำให้ผู้ป่วยสะสมมากกว่า 200 กว่ารายแล้ว
งานนี้ไม่รู้ว่า ผู้ว่าฯเมืองสองแควท่านใช้หลักคิดอย่างไร ให้มีการยกมือออกเสียงลงมติ "แบบประชาธิปไตย" เอาเสียงข้างมากจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย มาใช้กับภาวะฉุกเฉินวิกฤตแบบนี้ จริงอยู่การปิดผับ บาร์ สถานบันเทิง จะทำให้คนที่เกี่ยวข้องขาดรายได้ กระทบกับชีวิตการครองชีพ แต่ วันนี้พิสูจน์ชัดมิใช่หรือว่า “สถานบันเทิง”ต้องงดบริการ หากต้องการยับยั้งลดความเสี่ยงในการแพร่ระบาด
ปชตบงงจพรต. "ประชาธิปไตยแบบโง่ๆ? จะพาพวกเราตาย" ...ไม่ปิด=เพิ่มวิกฤตให้หนักขึ้นไปอีกหรือไม่ ฉุกคิดสักนิด วันนี้ชาติต้องการความเด็ดขาด เข้มงวด และเข้มแข็ง ยอมเจ็บเพื่อจบ ดีกว่ามั้ย
เสียงเฮลั่นวันนี้ จะกลายเป็นหลั่งน้ำตาในวันหน้าหรือเปล่า ?
ขออย่าให้เป็นเช่นนั้นเลย.
** ประชาธิปัตย์ฟัดกันนัว ระหว่าง"ทีมมัลลิกา"กับ "เทพไท" กรณีหน้ากากอนามัยฉาว ที่พรรคพยายามตัดจบ แต่จบไม่ลง !!
เรื่องหน้ากากอนามัยฉาว ที่ตอนแรกแค่ถูก"ปูด" แต่ตอนนี้เป็นเรื่อง"เปิด" ที่ร้อนแรงในสื่อหลัก โซเชียลฯ ทั้งนอกพรรค ในพรรคประชาธิปัตย์
เริ่มเรื่องจาก "อัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์" ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ที่ไลฟ์สดผ่านเพจเฟซบุ๊กของชมรมฯ "ปูด"ว่า มีหญิงสาวที่ปรึกษารัฐมนตรีในรัฐบาลนี้ มีส่วนพัวพันกับการกักตุน ส่งออกหน้ากากอนามัยไปนอก...แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นใคร ชื่ออะไร แค่บอกลักษณะให้ไปมโนกัน...
จากนั้น "มัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข" ที่ปรึกษา "จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์" รมว.พาณิชย์ ก็ส่งทนายไปแจ้งความดำเนินคดีกับ "อัจฉริยะ" ในความผิดเรื่องหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา และนำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ทำให้ประชาชนเข้าใจผิด ...
เมื่อ"มัลลิกา"เปิดหน้าออกมาเองอย่างนี้ ทางโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ จึงต้องออกมาแถลงว่าทางพรรค จะตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ถ้ามีมูลความผิดจริง ... ก็ต้องถูกไล่ออกจากพรรค
แต่แล้ว...ถัดมาแค่วันเดียว"อลงกรณ์ พลบุตร" รองหัวหน้าพรรค ก็ออกมาแถลง"ตัดจบ"ว่า...จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงภายในพรรค พบว่า"มัลลิกา"ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกักตุนหน้ากากอนามัย ส่งออกนอก ...
ขณะที่"ถวิล ไพรสณฑ์" หัวหน้าฝ่ายกฎหมายของพรรค ซึ่งตามปกติแล้วจะเป็นผู้ที่ต้องรับรู้ หรือมีส่วนรับผิดชอบ กับการตั้งกรรมการสอบสมาชิกพรรค กลับบอกว่า ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ จากคณะกรรมการบริหารพรรค หรือมีคำสั่งใดๆ ลงมาให้ฝ่ายกฎหมายพรรคทำหน้าที่ตรวจสอบใคร
เมื่อคนในพรรคไปกันคนละทิศละทางแบบนี้ โซเชียลฯ ก็วิพากษ์วิจารณ์กัน "ไฟลุก"
วันรุ่งขึ้น "เทพไท เสนพงศ์" ส.ส.นครศรีธรรมราช ของพรรค ก็ออกมาแถลงว่า ได้ทำหนังสือถึง"จุรินทร์" หัวหน้าพรรค รวมทั้ง คณะกรรมการบริหารพรรค ให้ตั้งคณะกรรมการสอบเรื่องนี้ และเรียกร้องให้คณะกรรมการบริหารพรรค มีมติให้ นางมัลลิกา ลาออกจากตำแหน่งที่ปรึกษา รมว.พาณิชย์ ไว้ก่อน ตามข้อบังคับของพรรค หากมีเรื่องส่อทุจริตเกิดขึ้น.... ถ้าการสอบสวนได้ข้อยุติว่า ไม่มีความผิดค่อยแต่งตั้งเข้ามาใหม่ได้
"เทพไท"ยังบอกว่า ตามมาตรฐานของพรรคที่เคยปฏิบัติกันมา ... หากใครถูกกล่าวหาว่ามีพฤฒิกรรมเข้าไปเกี่ยวข้องกับการทุจริต ก็จะต้องพิจารณาตัวเอง ลาออกจากตำแหน่งเพื่อแสดงความรับผิดชอบในทันที... พร้อมยกตัวอย่างกรณีของ ..."วิฑูรย์ นามบุตร" อดีต รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับปลากระป๋องเน่า...กรณี "วิทยา แก้วภราดัย" อดีตรมว.สาธารณสุข ถูกข้อกล่าวหาว่ามีเรื่องไม่มีความโปร่งใสในการจัดทำงบประมาณ...กรณี"อภิรักษ์ โกษะโยธิน" อดีตผู้ว่าฯกทม. ที่ถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด ในคดีจัดซื้อรถดับเพลิง ล้วนแสดงสปิริต ลาออกตามมาตรฐานของพรรค
คล้อยหลังจากที่ "เทพไท" ออกมาแถลงข่าวนี้ ก็เจอสมาชิกพรรค "สวนกลับ" ในกลุ่มไลน์ของพรรค ก็เกิดการโต้เถียงแบบ "ไฟลุก"เช่นกัน โดยสมาชิกจำนวนมากเห็นว่า เรื่องยังไม่เกิดขึ้นเลย ยังไม่มีใครกล่าวหาว่า"มัลลิกา" ทุจริต แต่"เทพไท" กลับถือโอกาสออกมาขับไล่เพื่อน ซึ่งไม่เป็นธรรม...แถมยังขุดเรื่องเก่า คดีทุจริตการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่ง"เทพไท"และน้องชาย "มาโนช เสนพงศ์" ตกเป็นจำเลย.. คดีมีการสืบพยานในชั้นศาล ตกเป็นผู้ต้องหาอย่างชัดเจน... ทำไมไม่เห็นมีใครยึด"มาตรฐาน" ของพรรค ลาออกเลยสักคน...
ระหว่างที่ชุลมุนกันอยู่นั้น "ราเมศ รัตนะเชวง" โฆษกพรรค ก็ออกมาแถลงว่า เรื่องตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริง กรณี "มัลลิกา" นั้น หัวหน้าพรรคได้มีคำสั่งตั้งกรรมการสอบแล้วตั้งแต่ วันที่ 17 มี.ค.ที่ผ่านมา โดยให้ "องอาจ คล้ามไพบูลย์" เป็นประธาน มี อิสสระ สมชัย ...สามารถ ราชพลสิทธิ์ ...วิรัช ร่มเย็น เป็นกรรมการ และ อภิชาต ศักดิเศรษฐ์ เป็นเลขานุการ ...แน่นอนว่า เรื่องนี้ก็โดนโซเชียลฯ ถล่มอีกระลอก เพราะเห็นว่า ตั้งคนในพรรคมาสอบกันเอง โดยไม่มีคนนอกเลย ...ผลสอบออกมาก็ไม่แคล้วฟอกขาวกันเอง ...
ด้าน"อัจฉริยะ" ที่ถูก"มัลลิกา"ส่งทนายไปแจ้งความดำเนินคดี ก็ไปแจ้งความกลับบ้างที่ สน.ทุ่งสองห้อง ในข้อหาแจ้งความเท็จ...แถมยังปูดข้อมูลเรื่องหน้ากากอนามัยเพิ่มเติมว่า ... ที่กระทรวงพาณิชย์ ออกมาบอกว่า มีโรงงานผลิตหน้ากากอนามัยแค่ 11 โรงนั้น ตามข้อมูลที่เขาไปสืบค้นมา ปรากฏว่า มีบริษัทผลิตหน้ากากอนามัยทั้งหมด 242 แห่ง แต่มีเพียง 7 บริษัท ที่ได้รับอนุญาตให้ส่งออกเท่านั้น ... แล้วหน้ากากอนามัยที่ผลิตจากบริษัทที่เหลืออีก 235 บริษัท หายไปไหน... ทำไมถึงไม่ส่งให้กรมการค้าภายในจัดสรรจำหน่าย หากนำหน้ากากที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ส่งออก มากระจายในประเทศ ก็จะเพียงพอต่อความต้องการของประชาชน ไม่ต้องขาดแคลนอย่างทุกวันนี้...แต่ที่เป็นอย่างนี้ ประชาชนเดือดร้อนอย่างนี้ เพราะมีกระบวนการที่พยายามนำหน้ากากเหล่านั้นส่งออก...
ไม่เพียงเท่านั้น "อัจฉริยะ" ยังได้ไปยื่นหนังสือถึง "พล.ต.ท.สุทิน ทรัพย์พ่วง" ผบช.ก. ร้องทุกข์กล่าวโทษดำเนินคดีอาญาต่อ "วิชัย โภชนกิจ" อดีตอธิบดีกรมการค้าภายในกับพวก ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 พร้อมมอบเอกสารหลักฐาน หนังสืออนุญาตการส่งออกไปนอกราชอาณาจักรซึ่งหน้ากากอนามัย ที่มีความไม่ชอบมาพากลด้วย ...
เรื่อง "หน้ากากอนามัยหายไปไหน" ที่ฉาวโฉ่อยู่ขณะนี้ กำลังรุมเร้า พัวพันอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ เพราะ "จุรินทร์" ในฐานะรมว.พาณิชย์ ที่กำกับดูแลกรมการค้าภายใน ก็ไม่จัดการให้เคลียร์ จน"ลุงตู่" ต้องลงมาเซ็นคำสั่งย้ายให้ไปประจำสำนักนายกฯด้วยตัวเอง... และในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีสมาชิกพรรคเป็นที่ปรึกษา ถูกล่าวหาว่ามีส่วนพัวพัน ...การพยายาม "ตัดจบ" อย่างที่มีคนในพรรคพยายามทำให้เห็นว่าโปร่งใสนั้น สังคมยังมีข้อกังขา โดยเฉพาะการกรรมการสอบที่ล้วนแต่เป็น "คนใน"...
เรื่องนี้หาก"จุรินทร์" ไม่เข้ามาจัดการให้เด็ดขาด ให้สังคมสิ้นข้อกังขาแล้ว จะไม่เพียงเสียหายเฉพาะตัวบุคคล...แต่ประชาธิปัตย์ จะเน่าไปทั้งพรรค
-------------
รูป- พิพัฒน์ เอกภาพันธ์--ผู้ประกอบการโรงแรม ที่พัก สถานบันเทิงในจ.พิษณุโลกที่มาร่วมประชุม
-- เทพไท เสนพงศ์ - มัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข - จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ - อัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์