หนึ่งความคิด
สุรวิชช์ วีรวรรณ
สิ่งที่คนหนุ่มสาวต้องรู้ก็คือความขัดแย้งที่ต่อเนื่องมากว่า 10 ปี ที่คนหนุ่มสาวกำลังจะรับไม้ต่อจากฟากฝั่งหนึ่งนั้นคืออะไร ไม้ที่รับนั้นมีความเกี่ยวเนื่องกันมาอย่างไรในช่วงที่เราจะเป็นเด็กแบเบาะก่อนเข้ามาเรียนในมหาวิทยาลัย
ในวันที่ “ทักษิณ” ขึ้นสู่อำนาจเด็กอายุ18-20ปี วันนี้นั้นบางคนยังไม่เกิดและบางคนยังแบบเบาะกำลังหัดเดิน ทักษิณขึ้นสู่อำนาจด้วยความหวังของคนหมู่มากที่เบื่อหน่ายกับการบริหารของนักการเมืองอาชีพ ทุกคนล้วนคิดว่า นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จนั้นจะพาชาติไปสู่ความมั่นคั่งได้ คนที่มาขับไล่ทักษิณในภายหลังไม่ว่าจะเป็น พล.ต.จำลอง ศรีเมือง หรือสนธิ ลิ้มทองกุล ฯลฯต่างพากันสนับสนุนทักษิณ สนธิถึงกับเชื่อว่าทักษิณจะเป็นนายกรัฐมนตรีที่ดีที่สุด
ทักษิณประกาศตัวว่า รวยแล้วไม่โกง แต่เมื่อมีอำนาจทักษิณกลับใช้นโยบายฉ้อฉลเพื่อให้กลุ่มทุนของตัวเองได้ประโยชน์ในยุคนั้นเขาเรียกกันว่า ทุจริตเชิงนโยบายหรือผลประโยชน์ทับซ้อน
เชื่อไหมครับว่า วารสารการเงินธนาคารซึ่งร่วมกับอาจารย์ประจำคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเคยระบุในปี 2544 ที่ทักษิณเข้าสู่การเมืองนั้นตระกูลชินวัตรมีมูลค่าหุ้นรวม 12,768.20 ล้านบาท แต่ปี 2547 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายของรัฐบาลทักษิณสมัยแรก ตระกูลชินวัตรมีมูลค่าหุ้นถึง 31,543.75 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2546 กว่า 70 % และเพิ่มขึ้นจากปี 2544 ปีแรกของรัฐบาลทักษิณถึง 147 %
แต่เราจะมองมูลค่าหุ้นที่เพิ่มขึ้นของตระกูลชินวัตรอย่างเดียวไม่ได้ ต้องมองไปที่ตระกูลดามาพงศ์ด้วย เพราะเป็นกลุ่มที่ตระกูลที่ถือหุ้นโยงกันไปมา ตระกูลดามาพงศ์ นามสกุลเดิมของคุณหญิงพจมาน มีมูลค่าหุ้นในปี 2544 จำนวน 6,470 ล้านบาท แต่ปี 2547 มีมูลค่าหุ้นถึง 15,267.24 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 135 % นั่นคือ เพิ่มขึ้นเกือบๆ 3 เท่าเช่นเดียวกัน
เมื่อรวม 2 ตระกูลเข้าด้วยกัน ปี 2544 มีมูลค่าหุ้น 19,239.08 ล้านบาท แต่ปี 2547 มีมูลค่าหุ้นรวมกันถึง 46,810.99 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 143 %
ตัวเลขจำนวน 46,810.99 ล้านบาท เป็นมูลค่าหุ้นของตระกูลชินวัตรกับเครือญาติเท่านั้น ยังไม่ได้รวมทรัพย์สินอื่นๆ รวมถึงเงินสดที่ฝากไว้ในธนาคาร เห็นได้ชัดว่าตระกูลชินวัตรและเครือญาติร่ำรวยขึ้นมาอย่างมหาศาลเมื่อเข้าสู่การเมือง
ในปี 2548 น้องนักศึกษาหลายคนอาจเริ่มเข้าเรียนชั้นอนุบาลแล้ว พ่อแม่ของน้องหลายคนออกมาชุมนุมร่วมกับ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง และสนธิ ลิ้มทองกุล รวมทั้งแกนนำคนอื่นที่รวมตัวเป็นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ออกมาขับไล่ทักษิณ ซึ่งนอกจากร่ำรวยจากการทุจริตเชิงนโยบายแล้ว เขายังทำตัวจาบจ้วงหลายครั้งซึ่งทำให้คนที่จงรักภักดีจำนวนมากทนไม่ได้จึงออกมาชุมนุมกับพันธมิตรฯจำนวนมาก
การนำเรื่องการจาบจ้วงมาโจมตีทักษิณของพันธมิตรฯนั้นถูกกล่าวหาว่า เป็นการโหนสถาบันแต่จริงๆ แล้ว เขาต้องการปกป้องสถาบันจากคนที่จาบจ้วงต่างหาก แต่การโจมตีพันธมิตรฯ แบบนี้ก็ทำให้คนที่ไม่ชอบสถาบันจำนวนมากหันไปร่วมกับทักษิณที่จัดตั้งมวลชนขึ้นมาปะทะกับมวลชนของพันธมิตรฯ จนทหารนำโดย พล.อ.สนธิ บุณยรัตตกลิน ออกมายึดอำนาจ โดยอ้างเหตุหนึ่งว่าจะเกิดการนองเลือดถ้ากองทัพไม่ออกมายึดอำนาจ ทำให้ทักษิณได้แนวร่วมเพิ่มขึ้นจากคนที่ไม่ชอบเผด็จการและต่อต้านรัฐประหาร
การยึดอำนาจของทหารและการออกมาปกป้องสถาบันของพันธมิตรฯ ยังทำให้นักวิชาการในมหาวิทยาลัยจำนวนหนึ่งหันไปยืนข้างทักษิณ แม้หลายคนมีพฤติการณ์ที่ชัดเจนว่าแสดงออกว่าสนับสนุนฝ่ายไหน แต่ตอนนั้นก็ไม่ชอบให้ใครเรียกว่าเป็นคนเสื้อแดง แต่การเอาความรู้ไปหล่อหลอมนักศึกษาในมหาวิทยาลัยจำนวนหนึ่งก็ทำให้ฝ่ายทักษิณมีความชอบธรรมมากขึ้น กระทั่งเรียกฝ่ายทักษิณว่า ฝ่ายประชาธิปไตย ซึ่งผลักให้ฝ่ายที่ต่อต้านทักษิณเป็นฝ่ายต่อต้านประชาธิปไตยไปโดยปริยาย
แต่เพราะนโยบายประชานิยมที่ทักษิณหว่านลงไปถึงคนส่วนมากของประเทศ จนเกิดคำว่า “ประชาธิปไตยกินได้” และ “ทุจริตไม่เป็นไรของให้ประชาชนได้ด้วย” ทำให้ทักษิณยังครองใจคนส่วนมากไว้ได้ เพราะเขาไม่สนว่าทักษิณจะทุจริตเพื่อให้บริษัทขอตัวเองร่ำรวยขึ้นมา
และเมื่อเลือกตั้งกี่ครั้งฝ่ายทักษิณก็ยังเอาชนะได้ ไม่มีใครไปขัดขวางชัยชนะของฝ่ายทักษิณที่เข้ามาด้วยการเลือกตั้ง ดังนั้นไม่มีใครต่อต้านประชาธิปไตย เขาปล่อยให้นอมินีของทักษิณครองอำนาจ แต่ทุกครั้งที่ครองอำนาจก็กลับใช้อำนาจอย่างเหิมเกริมแทรกแซงองค์กรอิสระ แสวงหาประโยชน์ เล่นพรรคเล่นพวกกลั่นแกล้งข้าราชการที่ไม่สวามิภักดิ์ กระทั่งไม่ดูแลจังหวัดที่ไม่เลือกพรรคของตัวเอง ทำให้พันธมิตรฯ ต้องขับไล่นอมินีของทักษิณสองคนถือ สมัคร สุนทรเวช และสมชาย วงศ์สวัสดิ์
ฝ่ายทักษิณพยายามสร้างวาทกรรมว่า สมัครทำกับข้าวออกทีวีก็ผิด ทั้งที่สมัครซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรียังไปรับงานพิธีกรในรายการโทรทัศน์โดยมีประโยชน์ตอบแทนเป็นรายเดือนซึ่งเป็นกฎต้องห้ามของกฎหมาย ป.ป.ช. ผิดเพราะรับประโยชน์ไม่ใช่ผิดเพราะทำกับข้าวออกทีวี
การชุมนุมของพันธมิตรฯ นั้นมีผู้บาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก เพราะถูกกองกำลังไม่ทราบฝ่ายยิงอาวุธสงครามใส่เกือบทุกคืน
เมื่อ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะมี ส.ส.ของฝั่งทักษิณที่นำโดย เนวิน ชิดชอบ มายกมือหนุนอภิสิทธิ์ในสภา ฝ่ายทักษิณจึงปลุกปั่นมวลชนเสื้อแดงที่เคยจัดตั้งขึ้นมาต่อสู้กับพันธมิตรฯออกมาขับไล่รัฐบาลอภิสิทธิ์ กระทั่งมีชายเสื้อดำเอาอาวุธสงครามมายิงใส่ทหารที่สีแยกคอกวัว ถนนราชดำเนิน ทำให้ทหารเมื่อเข้าไปสลายการชุมนุมจึงต้องติดอาวุธหนักเข้าไป จนเกิดการปะทะกันขึ้น แน่นอนว่า กองกำลังเสื้อดำที่จัดตั้งขึ้นไม่อาจทานกำลังของฝ่ายทหารได้แน่ แต่น่าเสียใจว่ามีประชาชนจำนวนมากที่ต้องมาสังเวยชีวิตในครั้งนี้ด้วย
เมื่ออภิสิทธิ์ยุบสภา พรรคของทักษิณที่จัดตั้งขึ้นก็ชนะอีก เพราะมนต์ขลังประชานิยมของทักษิณยังคงตรึงใจคนทั่วไป ไม่มีใครขัดขวางพรรคของทักษิณที่เชิดน้องสาวคือ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีเลย เขาปล่อยให้ยิ่งลักษณ์บริหารประเทศ กระทั่งเหิมเกริมแก่อำนาจจะออกมาแก้กฎหมายล้างผิดให้ทักษิณนั่นแหละเขาจึงออกมาชุมนุมขับเคลื่อนเป็น กปปส.ที่นำโดย นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ซึ่งล้มตายจำนวนมากจากการถูกยิงด้วยอาวุธสงครามเช่นเดียวกัน
ถึงตอนนี้น้องๆ หลายคนที่เรียนมหาวิทยาลัยก็อาจจะจำความได้แล้ว จากพ่อแม่ที่ออกไปชุมนุม ตอนนั้นความขัดแย้งไม่อาจลงตัว บ้านเมืองกำลังกลายเป็นกลียุค รัฐล้มเหลวไม่มีใครยอมใคร ฝ่ายหนึ่งเรียกร้องให้มีการปฏิรูป ฝ่ายหนึ่งยุบสภาเพื่อให้เลือกตั้งใหม่ แต่ฝ่ายเสนอปฏิรูปขัดขวางการเลือกตั้ง เพราะเห็นว่าการเลือกตั้งไม่ใช่ทางออกของวิกฤตต้องปฏิรูปเสียก่อน ทำให้ทหารจำเป็นต้องเข้ามายึดอำนาจอีกครั้ง
นั่นจึงกลายเป็นรัฐบาลเผด็จการทหารที่นำโดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อีกครั้ง แต่อนิจจา 5 ปีที่ครองอำนาจรัฐบาลทหารไม่ได้ปฏิรูปเลย กลับออกแบบรัฐธรรมนูญที่ให้ตัวเองสืบทอดอำนาจ แล้วออกแบบให้ส.ว.ที่ตัวเองตั้งขึ้นมีสิทธิ์เลือกนายกรัฐมนตรีด้วย จนตั้งพรรคการเมืองแล้วชนะการเลือกตั้งกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีได้ ผมเล่าถึงตอนนี้เพียงย่นย่อเพราะน้องๆ เริ่มโตกันแล้ว
แต่ในการเลือกตั้งครั้งนี้นอกจากพรรคของทักษิณแล้ว ยังมีพรรคใหม่เกิดขึ้นคือ พรรคอนาคตใหม่ ของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ได้รับการสนับสนุนจากสื่อบางค่าย และผลักดันจนธนาธรกลายเป็น “พ่อ” ของคนรุ่นน้อง เป็นความหวังเพราะอยู่ในวัยใกล้เคียงกัน แต่พฤติกรรมของธนาธรและแกนนำพรรคนี้อย่าง ปิยบุตร แสงกนกกุล อาจารย์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของนักศึกษาจำนวนมาก และพรรณิการ์ วานิช มีทัศนคติเชิงลบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างชัดแจ้ง ซึ่งยิ่งทำให้คนที่เคยต่อต้านทักษิณจำนวนมากรับไม่ได้
เมื่อประจวบเหมาะกับที่ธนาธรนำอนาคตใหม่ไปยืนกับฝั่งของทักษิณ เพราะมีแนวคิดสอดคล้องกันหลายเรื่อง ก็ยิ่งทำให้คนกลุ่มหนึ่งจึงไม่ยอมรับพรรคของธนาธรไปโดยปริยาย
ทีนี้เมื่อเกิดความผิดพลาดของธนาธรเองในเรื่องหุ้นสื่อและการให้พรรคกู้ยืมเงิน ก็ต้องเข้าสู่การพิจารณาของศาล แม้เรื่องกู้เงินจะมีอาจารย์นิติศาสตร์จำนวนหนึ่งออกมาบอกว่าไม่เห็นด้วยกับการยุบพรรค แต่ถ้าไปอ่านคำวินิจฉัยของตุลาการรัฐธรรมนูญความเป็นเหตุเป็นผลนั้นเทียบกันไม่ได้เลย และถ้าธนาธรเตรียมตัวให้ดีไม่เปิดช่องที่ตัวเองทำผิดพลาดไว้ก็ไม่มีใครสามารถไปยุบพรรคอนาคตใหม่ได้
เพียงแต่น้องๆ ส่วนหนึ่งไปฟังวาทกรรมของผู้ใหญ่บางคนที่บอกว่า พรรคอนาคตใหม่ถูกยุบพรรคเพราะเป็นปฏิปักษ์กับอำนาจรัฐ แล้วในการรณรงค์ปกป้องพรรคอนาคตใหม่จากความผิดนั้นไม่พูดถึงข้อเท็จจริงของปัญหาเลย ไม่พูดว่า อนาคตใหม่ทำผิดเรื่องอะไรจึงขึ้นสู่ศาล แต่เลี่ยงไปพูดเรื่อง ว่าการปกป้องอนาคตใหม่คือการปกป้องวันนี้และอนาคตของประเทศไทย ซึ่งเป็นเรื่องนามธรรมมาก
ไปบอกว่าการเมืองไม่เปิดให้ทุกฝ่ายเข้ามาต่อสู้แข่งขันกันได้อย่างเสรีเป็นธรรม โดยมีประชาชนเป็นผู้ตัดสิน ส่วนการมุ่งกำจัดอนาคตใหม่ ไม่เปิดพื้นที่การเมืองให้กว้างซึ่งศึกษาง่ายๆ ก็จะรู้ว่าไม่เป็นความจริงและเป็นการบิดเบือน
กระทั่งกล่าวหาว่าอีกฝ่ายมีความพยายามในการหยุดยั้งหรือทำลายพรรคอนาคตใหม่ โดยผู้มีอำนาจไม่สนใจถึงราคาที่สังคมไทยจะต้องร่วมกันจ่าย กระทั่งบอกว่า ประชาชนและประเทศไทยบอบช้ำมามากพอแล้ว พอกันทีกับการกดทับเสียงของความเปลี่ยนแปลง อำนาจการตัดสินปัจจุบันและอนาคตต้องอยู่ในมือประชาชนอย่างเรา ไม่ใช่อยู่ที่คนเพียงหยิบมือ และเมื่อพรรคอนาคตใหม่ถูกยุบก็ไม่ขยายความว่าคน 7 คนยุบพรรคที่คน6ล้านกว่าคนเลือกมาซึ่งเป็นตรรกะที่ตลก เพราะแค่ดูฟุตบอลก็ต้องเข้าใจว่า เขามีกรรมการเพื่อตัดสินที่คน 22 คนกำลังแข่งกัน
ถ้าน้องไปไล่ประวัติศาสตร์จะเห็นสมการที่ชัดเจนว่า มีรัฐบาลเข้ามาทุจริตและจาบจ้วงสถาบันจึงมีประชาชนออกมาขับไล่และปกป้องสถาบัน จนทหารออกมายึดอำนาจ ฝ่ายที่ทุจริตจึงมีแนวร่วมกับฝ่ายที่ไม่ชอบสถาบันและเกลียดทหาร มีการจัดตั้งมวลชนมาปะทะกัน พรรคอนาคตใหม่เกิดขึ้นแล้วมายืนฝั่งเดียวกับทักษิณ คนส่วนหนึ่งจึงต่อต้านและไม่ยอมรับ แม้ว่าพรรคอนาคตใหม่จะเป็นคนรุ่นใหม่ที่กลายเป็นขวัญใจของคนหนุ่มสาวก็ตาม
การออกมาชุมนุมเรียกร้องเพื่อบ้านเมืองของน้องๆ เพื่อเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองไปในทางที่ดีไม่ใช่สิ่งที่ผิด แต่เราต้องศึกษาปัญหาให้ถ่องแท้ และไม่เป็นเครื่องมือของใคร
อาจจะตกหล่นไปบ้างๆ แต่เล่าประวัติศาสตร์ช่วงสั้นๆ ให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทยในช่วงที่น้องๆ นักศึกษาเติบโตขึ้นมา
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan