ผู้จัดการรายวัน360-"สนธิรัตน์"เตรียมเสนอ กพช. เดือน มี.ค.นี้ ลดเป้าหมายส่งเสริมโซลาร์ภาคประชาชนลง หลังปี 62 เป้า 100 เมกะวัตต์วืด เสนอขายแค่ 3 เมกะวัตต์ เผยปีนี้หั่นเหลือ 47 เมกะวัตต์ ด้านดีลเลอร์ชงเลิกชายน้ำมัน 3 ชนิด ดันE20สู่น้ำมันพื้นฐานต่อจากB10
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน เปิดเผยว่า กระทรวงพลังงานยังเดินหน้าโครงการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ติดตั้งบนหลังคาที่อยู่อาศัย (โซลาร์ภาคประชาชน) ในปี 2563 ต่อไป เช่นเดียวกับปี 2562 แต่จะปรับลดสัดส่วนปริมาณการรับซื้อลงซึ่งรายละเอียดจะมีการนำเสนอที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ประมาณกลางมี.ค.2563 เพื่อเห็นชอบตามแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้า (PDP2018) ฉบับปรับปรุงใหม่
"โครงการนี้ ได้เปิดให้ภาคครัวเรือนที่สนใจติดตั้งโซลาณ์รูฟท็อปใช้เองเป็นหลัก และส่วนที่เหลือสามารถขายเข้าระบบในอัตรา 1.68 บาทต่อหน่วย ซึ่งแผนPDPเดิมกำหนดส่งเสริมไว้ 10,000 เมกะวัตต์ โดยนำร่องโซลาร์ภาคประชาชน 10 ปี ปีละ 100 เมกะวัตต์ เริ่มปี 2562 แต่ยอมรับว่ายังได้รับความสนใจต่ำมาก เพราะยังไม่มีการซื้อไฟฟ้าขายเองระหว่างกัน (Peer to Peer) ระบบกักเก็บพลังงานมีราคาสูง แต่เราจะมีการปรับเงื่อนไขเวลาออกไป เพราะอนาคตยังไงก็คงต้องมา”นายสนธิรัตน์กล่าว
รายงานข่าวแจ้งว่า ตามร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย ปี 2561-80 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 (PDP 2018 Rev.1) ได้ปรับลดปริมาณการรับซื้อไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์ปลายแผนปี 2580 ลงเหลือ 9,290 เมกะวัตต์ ในจำนวนนี้ เป็นโซลาร์ภาคประชาชนอยู่ที่ 8,740 เมกะวัตต์ โดยในช่วง 5 ปีแรก (ปี2563-67) จะรับซื้อเข้าระบบรวม 750 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นปี 2563 อยู่ที่ 50 เมกะวัตต์ , ปี 2564 อยู่ที่ 100 เมกะวัตต์ ,ปี 2565 อยู่ที่ 150 เมกะวัตต์ , ปี 2560 อยู่ที่ 200 เมกะวัตต์ และปี 2567 อยู่ที่ 250 เมกะวัตต์ แต่สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้ออกประกาศรับซื้อไฟฟ้าโครงการโซลาร์ภาคประชาชนปี 2563 เหลือเพียง 47 เมกะวัตต์เท่านั้น หลังจากปี 2562 มียื่นเสนอแล้ว 3 เมกะวัตต์
ผู้สื่อข่าวรายงานจากกระทรวงพลังงานว่า เมื่อเร็วๆ นี้ กลุ่มผู้แทนจำหน่ายน้ำมันหรือดีลเลอร์ ได้หารือ รมว.พลังงาน ถึงการส่งเสริมน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E 20 (เบนซินผสมเอทานอล 20%) ให้เป็นน้ำมันพื้นฐาน ต่อจากที่ส่งเสริมให้ B10เป็นน้ำมันพื้นฐานกลุ่มดีเซลไปแล้ว โดยดีลเลอร์เสนอให้ลดหัวจ่ายน้ำมันลง 3 ชนิด ได้แก่ แก๊สโซฮอล์ 91 , E 85 และไบโอดีเซลB20 (ดีเซลผสมบี 100จำนวน20%) เนื่องจากกลุ่มนี้มีการจำหน่ายผ่านสถานีบริการเป็นปริมาณต่ำ ผู้บริโภคมีทางเลือกไปใช้น้ำมันชนิดอื่นได้ ซึ่งในปัจจุบันไทยมีชนิดน้ำมันสูงสุดในโลก
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน เปิดเผยว่า กระทรวงพลังงานยังเดินหน้าโครงการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ติดตั้งบนหลังคาที่อยู่อาศัย (โซลาร์ภาคประชาชน) ในปี 2563 ต่อไป เช่นเดียวกับปี 2562 แต่จะปรับลดสัดส่วนปริมาณการรับซื้อลงซึ่งรายละเอียดจะมีการนำเสนอที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ประมาณกลางมี.ค.2563 เพื่อเห็นชอบตามแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้า (PDP2018) ฉบับปรับปรุงใหม่
"โครงการนี้ ได้เปิดให้ภาคครัวเรือนที่สนใจติดตั้งโซลาณ์รูฟท็อปใช้เองเป็นหลัก และส่วนที่เหลือสามารถขายเข้าระบบในอัตรา 1.68 บาทต่อหน่วย ซึ่งแผนPDPเดิมกำหนดส่งเสริมไว้ 10,000 เมกะวัตต์ โดยนำร่องโซลาร์ภาคประชาชน 10 ปี ปีละ 100 เมกะวัตต์ เริ่มปี 2562 แต่ยอมรับว่ายังได้รับความสนใจต่ำมาก เพราะยังไม่มีการซื้อไฟฟ้าขายเองระหว่างกัน (Peer to Peer) ระบบกักเก็บพลังงานมีราคาสูง แต่เราจะมีการปรับเงื่อนไขเวลาออกไป เพราะอนาคตยังไงก็คงต้องมา”นายสนธิรัตน์กล่าว
รายงานข่าวแจ้งว่า ตามร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย ปี 2561-80 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 (PDP 2018 Rev.1) ได้ปรับลดปริมาณการรับซื้อไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์ปลายแผนปี 2580 ลงเหลือ 9,290 เมกะวัตต์ ในจำนวนนี้ เป็นโซลาร์ภาคประชาชนอยู่ที่ 8,740 เมกะวัตต์ โดยในช่วง 5 ปีแรก (ปี2563-67) จะรับซื้อเข้าระบบรวม 750 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นปี 2563 อยู่ที่ 50 เมกะวัตต์ , ปี 2564 อยู่ที่ 100 เมกะวัตต์ ,ปี 2565 อยู่ที่ 150 เมกะวัตต์ , ปี 2560 อยู่ที่ 200 เมกะวัตต์ และปี 2567 อยู่ที่ 250 เมกะวัตต์ แต่สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้ออกประกาศรับซื้อไฟฟ้าโครงการโซลาร์ภาคประชาชนปี 2563 เหลือเพียง 47 เมกะวัตต์เท่านั้น หลังจากปี 2562 มียื่นเสนอแล้ว 3 เมกะวัตต์
ผู้สื่อข่าวรายงานจากกระทรวงพลังงานว่า เมื่อเร็วๆ นี้ กลุ่มผู้แทนจำหน่ายน้ำมันหรือดีลเลอร์ ได้หารือ รมว.พลังงาน ถึงการส่งเสริมน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E 20 (เบนซินผสมเอทานอล 20%) ให้เป็นน้ำมันพื้นฐาน ต่อจากที่ส่งเสริมให้ B10เป็นน้ำมันพื้นฐานกลุ่มดีเซลไปแล้ว โดยดีลเลอร์เสนอให้ลดหัวจ่ายน้ำมันลง 3 ชนิด ได้แก่ แก๊สโซฮอล์ 91 , E 85 และไบโอดีเซลB20 (ดีเซลผสมบี 100จำนวน20%) เนื่องจากกลุ่มนี้มีการจำหน่ายผ่านสถานีบริการเป็นปริมาณต่ำ ผู้บริโภคมีทางเลือกไปใช้น้ำมันชนิดอื่นได้ ซึ่งในปัจจุบันไทยมีชนิดน้ำมันสูงสุดในโลก
