“สนธิรัตน์” เปิดทางรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานลมเร็วขึ้นจากแผนเดิมโดยจะเริ่มปี 2563 หลังเทคโนโลยีลมเริ่มพัฒนาจนทำให้ต้นทุนค่าไฟต่ำลง ขณะที่ กบง.เห็นชอบแผนส่งเสริมพื้นที่ติดตั้งสถานีอัดประจุยานยนต์ไฟฟ้า (EV Mapping) เปิดทางให้ยื่นผ่านกองทุนอนุรักษ์ฯ
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ตามร่างแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้า ฉบับปรับปรุง (PDP-2018 Rev.1) ได้กำหนดให้มีการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานจากลมเร็วขึ้นจากแผนเดิมโดยจะมีการเปิดรับซื้อในปี 2563 เป็นต้นไปจากเดิมที่กำหนดรับซื้อตั้งแต่ปี 2570 เป็นต้นไป ทั้งนี้เนื่องจากเทคโนโลยีพลังงานลมมีการพัฒนาไปได้มากส่งผลต่อต้นทุนการผลิตไฟที่ต่ำลงกว่าในอดีตที่ผ่านมา
“สมัยก่อนการผลิตไฟฟ้าจากลมค่อนข้างแพง เพราะเทคโนโลยีจะต้องมีแรงลมที่สูง แต่วันนี้เปลี่ยนไปมากจนกระทั่งไม่ต้องอาศัยแรงลมที่แรงเหมือนเดิม ทำให้ราคาค่าไฟก็ต่ำลงมาก เหตุนี้ก็จะสอดรับกับไฟฟ้าทางเลือกทั้งพลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานลมที่เราจะส่งเสริมให้เกิดการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยี จึงขยับแผนมาให้เร็ว เริ่มปี 2563 และกำหนดไฟฟ้าเข้าระบบปี 2565 เบื้องต้นน่าจะรับซื้อราว 90 เมกะวัตต์ และทยอยรับไปซึ่งรายละเอียดจะสรุปหลังนำเข้าเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) วันที่ 19 มี.ค.นี้เพื่อเห็นชอบแผน PDP ฉบับปรับปรุง” นายสนธิรัตน์กล่าว
นอกจากนี้ ล่าสุดคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ที่ตนเป็นประธานยังได้เห็นชอบแนวทางการส่งเสริมพื้นที่ติดตั้งสถานีอัดประจุยานยนต์ไฟฟ้า (EV Mapping) ครอบคลุมพื้นที่ชุมชน สถานีบริการน้ำมัน ห้างสรรพสินค้า อาคารพาณิชย์ อาคารสำนักงาน ถนนสายหลักระหว่างเมือง โดยให้ภาครัฐและเอกชนสามารถยื่นขอรับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานได้ เพื่อให้มีจำนวนสถานีเพิ่มขึ้น รวมทั้งเห็นชอบผลการศึกษาอัตราค่าไฟฟ้า อีวี และความเป็นไปได้ในการกำหนดอัตราค่าไฟฟ้าสำหรับระบบขนส่งสาธารณะ (Mass Transit) โดยเป็นอัตราค่าไฟฟ้าแบบคงที่ตลอดทั้งวัน มีค่าเท่ากับอัตราค่าพลังงานไฟฟ้าช่วงเวลา Off Peak ของผู้ใช้ไฟฟ้าตามโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าปัจจุบันประเภท 2.2 กิจการขนาดเล็ก อัตราตามช่วงเวลา (Time Of Use (TOU) หรือเท่ากับ 2.6369 บาทต่อหน่วย (สำหรับแรงดันไฟฟ้าน้อยกว่า 22 kV) โดยให้เสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) พิจารณาต่อไป ซึ่งในส่วนของระบบขนส่งสาธารณะนั้น จะต้องรอดูด้วยว่า ผู้ประกอบการรถไฟฟ้าจะลดค่าโดยสารให้กับภาคประชาชนหรือไม่
นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า แผนพีดีพี 2018 ฉบับปรับปรุงทั้งหมดตามแผนจะมีโรงไฟฟ้าชุมชนเข้าระบบกว่า 1,900 เมกะวัตต์ และคาดว่าค่าไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นเกือบ 8 สตางค์ต่อหน่วย จากแผนเดิมค่าไฟฟ้าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.5903 บาท/หน่วยนั้น ล่าสุดสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ได้ปรับปรุงข้อมูลที่ซ้ำซ้อน พบว่า ค่าไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นเพียง 5 สตางค์/หน่วยเท่านั้น และกระทรวงจะมีการบริหารจัดการนำเข้าแอลเอ็นจีราคาถูกเข้ามาใช้ก็จะพยายามไม่ให้ต้นทุนสูงขึ้น ทั้งนี้ ในส่วนของโรงไฟฟ้าชุมชนจะมีปริมาณเพิ่มขึ้นตามแผนทั้งหมดหรือไม่นั้น คงต้องรอดูระยะแรกที่จะประกาศรับซื้อ 700 เมกะวัตต์ เสียก่อนว่าจะประสบความสำเร็จหรือมีอุปสรรคอย่างไร แต่ขอยืนยันว่าโรงไฟฟ้าชุมชนนั้นตั้งเป้าหมายให้เกิดประโยชน์แก่เศรษฐกิจฐานรากอย่างแท้จริง