ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - สอดประสานกันทั้งในสภา นอกสภา ทั้งจุดกระแสคนเจนใหม่ขึ้นแฟลชม็อบในรั้วมหาวิทยาลัยลามถึงโรงเรียนมัธยมศึกษา ในจังหวะก้าวทางการเมืองของ “คณะอนาคตใหม่” หลังพรรคถูกยุบต้องถือว่าประมาทไม่ได้ แต่ที่ชวนให้พิศวงงงงวยก็ตรงที่ “คุณช่อ” น.ส.พรรณิการณ์ วานิช อดีตโฆษกอนาคตใหม่ ลากโยงเครือข่ายพันธมิตรมืดถล่มท่านผู้นำรัฐบาล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นฉากๆ ในคดีทุจริตสะท้านโลก “1MDB”
นั่นแหละจึงเป็นที่มาของการซัดกลับ “มั่วจัดเลย” ไหม? มีใคร “ต้ม” “คุณช่อ” หรือเปล่า? แต่งานนี้ที่แน่ๆ สงคราม IO ทั้งสองฝ่ายต่างทำงานกันอย่างหนัก
และตามเกมที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หงายไพ่ ไฟเขียวให้หน่วยงานรัฐที่ถูกพาดพิง “ถ้าไม่จริงก็ฟ้องไป” ฝ่าย “คุณช่อ” ก็เปิดหน้าท้าให้ฟ้องเลย และขอให้ท่านนายกฯ ฟ้องคนเดียวก็พอ ไม่ต้องไปรบกวนเวลาทำงานหน่วยอื่น
คดีกองทุนฉาวข้ามโลก “1MDB” (1Malaysia Development Berhad) หรือกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของมาเลเซีย ถูกลากเข้ามาเกี่ยวโยงกับการเมืองไทยในจังหวะนี้อย่างไร ทำไม “คุณช่อ” ถึงได้มั่นใจข้อมูลที่อยู่ในมือนักหนาว่าพัวพันถึงคนในรัฐบาล จนหน่วยงานที่ถูกพาดพิงดาหน้าโต้นั้น เท็จจริงเป็นเช่นใด
สรุปรวบรัดสั้นๆ ให้เข้าใจง่ายๆ กันก่อนว่า กองทุน “1MDB” ตั้งขึ้นเมื่อปี 2552 โดย รัฐบาลนายนาจิบ ราซัค เพื่อสร้างความมั่งคั่งและเติบโตทางเศรษฐกิจระยะยาว แต่การดำเนินงานตลอด 6 ปี กองทุนนี้กลับสร้างหนี้มหาศาล มีการไซฟ่อนเงินกองทุนเข้ากระเป๋าผู้มีอำนาจและเครือข่ายบริวาร โดยผู้เกี่ยวข้องในการยักย้ายถ่ายโอนเงินมีหลายคนจากหลายวงการ
บุคคลสำคัญที่ถูกกล่าวหาเบอร์หนึ่ง คือ นายนาจิบ ราซัค อดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย และภรรยา คือนางรอสมะห์ มันซอร์ ซึ่งหลังจากนายนาจิบ ตกเก้าอี้นายกฯ หลังพ่ายเลือกตั้งครั้งล่าสุด รัฐบาลมาเลเซีย ได้ตั้งข้อหาต่อนายนาจิบ ฐานฟอกเงิน ถูกยึดทรัพย์ และดำเนินคดีในเวลานี้
การขุดคุ้ยคดีทุจริตกองทุนดังกล่าว เริ่มต้นจาก นางแคลร์ ริวแคสเซิล บราวน์ แห่งเว็บไซต์ซาราวัก รีพอร์ต สืบสาวเปิดโปงขบวนการยักยอกเงินข้ามชาติ กระทั่งทำให้รัฐบาลในอีก 6 ประเทศ รวมถึงสหรัฐอเมริกา เข้ามาธุรกรรมทางการเงิน พร้อมๆ กับการตามล่าหาความจริงของสื่อดังระดับโลก
ตัดซีนมายัง “คุณช่อ” ในวันที่เปิดอภิปรายนอกสภา ในหัวข้อที่สุดหวือหวา “รัฐบาลประยุทธ์กับการทุจริตที่อื้อฉาวไปทั้งโลก 1MDB” เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เธอกล่าวหา รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ปกปิดข้อเท็จจริงและบิดเบือนกระบวนการยุติธรรม เอาคนบริสุทธิ์เข้าคุก และให้ที่พักพิงแก่ผู้มีหมายจับหลายประเทศ
“ช่อ” เล่าเป็นฉากๆ ว่าการตรวจสอบทุจริตกองทุน 1 MDB ของมาเลเซีย และประเทศต่างๆ ทำให้กระทรวงยุติธรรม สหรัฐฯ พบว่าเงินประมาณ 1.4 แสนล้าน ถูกสูบเข้ากระเป๋าผู้มีอิทธิพล และมีเงินประมาณ 2 หมื่นล้านบาท เข้ากระเป๋าเจ้าหน้าที่มาเลเซียหมายเลขหนึ่ง และไซฟ่อนกระจายไปยังผู้ใกล้ชิด หลายคนถูกออกหมายแดงโดยตำรวจสากล แต่ทางการไทยยังให้ผู้มีหมายจับเข้าออกโดยไม่ขัดขวางหรือจับกุม
ตัวละครสำคัญที่ “ช่อ” พาดพิงถึง คือ นายซาเวียร์ จัสโต นักธุรกิจชาวสวิตเซอร์แลนด์ ผู้บริหารของบริษัทปิโตซาอุดิ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ในกรุงลอนดอน ซึ่งหลังลาออกมาปักหลักทำธุรกิจโรงแรมที่เกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี
นายซาเวียร์ จัสโต ถูกจับกุมในประเทศไทยในข้อหาพยายามกรรโชกทรัพย์ ซึ่ง “ช่อ” อ้างว่าเธอได้รับข้อมูลจากหลายแหล่งที่ทำให้เชื่อว่าเขาถูกบีบให้รับสารภาพว่ากุเรื่องทุจริต 1MDB ขึ้นเพื่อใส่ร้ายนายนาจิบ
คดีของนายซาเวียร์ ซึ่ง “ช่อ” กล่าวอ้างว่า ทางการไทยให้ความร่วมมือช่วยเหลือในการควบคุมพยานคนสำคัญในคดีกองทุนฯ ที่นายนาจิบ ต้องการจะปิดปาก เนื่องจากนายซาเวียร์ จัสโต เป็นผู้ชี้เบาะแสและให้ข้อมูลเอกสารกว่าสองแสนหน้าแก่นางแคลร์ ริวแคสเซิล บราวน์ เจ้าของเว็บไซต์ ซาราวัก รีพอร์ต เป็นการแลกเปลี่ยนกับการแสดงท่าทียอมรับการรัฐประหารในไทยเมื่อปี 2557 ซึ่ง “ช่อ” เรียกว่า “พันธมิตรมืด”
ผลของคดีนายซาเวียร์ จัสโต ถูกศาลตัดสินจำคุก 6 ปี แต่ศาลลดโทษให้กึ่งหนึ่งจากการรับสารภาพ และทางกระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงยุติธรรมของไทย ไม่ได้ถูกส่งตัวกลับไปรับโทษที่สวิตเซอร์แลนด์ตามคำร้องขอของกระทรวงการต่างประเทศ สวิตเซอร์แลนด์ และเมื่อพ้นโทษเมื่อเดือนธันวาคม 2559 เขายังถูกห้ามเข้าไทยเป็นเวลา 100 ปี
สิ่งที่เกิดขึ้นกับนายซาเวียร์นั้น “ช่อ” มองว่า อาจกระทบต่อความสัมพันธ์ไทย-สวิตเซอร์แลนด์ และอ้างว่าไทยให้ความช่วยเหลือกักขังพยานคนสำคัญในคดีดังกล่าว ขนาดเอฟบีไอจากสหรัฐฯ มาขอพบยังไม่ได้เข้าพบอีกด้วย
ส่วนอีกคนคือ นายโจ โลว์ นักการเงินชาวมาเลเซียเชื้อสายจีนจากปีนัง คนสนิทของอดีตนายกรัฐมนตรีนาจิบ ซึ่งถูกทางการมาเลเซียและสหรัฐฯ ออกหมายจับข้อหาเป็นผู้วางแผนการยักยอกเงินครั้งมโหฬารจากกองทุน 1MDB โดยการโยกย้ายถ่ายโอนทรัพย์สินจากกองทุนฯ ในหลายรูปแบบของนายโจ โลว์ อาศัยคอนเนกชันที่กว้างขวางจากการคบหาชนชั้นสูง ดารานักแสดง ราชวงศ์ชาติอาหรับ รวมทั้ง ริซา อาซิซ ลูกเลี้ยงของนายนาจิบ
อัยการสหรัฐฯ ระบุว่า นายโจ โลว์ มีการจ่ายสินบนหลายพันล้านดอลลาร์ รวมทั้งซื้ออสังหาริมทรัพย์ งานศิลปะราคาแพง รวมทั้งสร้างหนังฮอลลีวูดหลายเรื่อง หนึ่งในนั้นคือ The Wolf of Wall Street ที่ทำให้ ลีโอนาร์โด ดิแคพรีโอ ได้รับรางวัลนักแสดงยอดเยี่ยมจากรางวัลลูกโลกทองคำ และบทความในเว็บไซต์ ซาราวัค รีพอร์ต ยังระบุว่า นายโจ โลว์ ได้ใช้บริษัท ปิโตรซาอุดิฯ ที่นายซาเวีย์ จัสโต เคยเป็นผู้บริหาร โยกย้ายเงินของ 1MDB ด้วย
นายโจ โลว์ นั้น “คุณช่อ” ระบุมีหลักฐานว่าสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองของไทยอนุญาตให้นายโจ โลว์ เข้าออกประเทศถึง 5 ครั้งระหว่างเดือนตุลาคม 2559-พฤษภาคม 2561 ทั้งที่ขณะนั้นตำรวจสากลได้ออกหมายแดงตามคำขอของทางการสิงคโปร์ ที่ต้องการตัวบุคคลนี้มาดำเนินคดีฟอกเงินในสิงคโปร์แล้ว
นอกจากนี้ “ช่อ” ยังอ้างว่าคนสนิทของนายโจ โลว์ อีก 2 คน คือ ตังเคงฉี และ จัสมินลู ต่างใช้ไทยเป็นที่กบดาน โดยมีนักธุรกิจไทยซึ่งเธอเรียกอักษรย่อว่า “นาย พ.”ให้ความช่วยเหลือ แถมมีข้อมูลว่านายตังเคงฉี ไปกบดานในบ้านของ “คนมีสี” ที่เขาใหญ่ เมื่อปลายปี 2562 อีกด้วย
หลังการอภิปรายนอกสภาของ “คุณช่อ” จบลง พล.อ.ประยุทธ์ ก็ตอบโต้ว่า การนำเรื่องโน้นเรื่องนี้เชื่อมโยงกันไปมา เป็นการ “จับแพะชนแกะ” ต้องระวังเพราะเป็นเรื่องระหว่างประเทศ หน่วยงานต่างๆ กำลังเก็บทุกประเด็นเพื่อนำไปสู่การดำเนินการทางกฎหมาย
เช่นเดียวกันกับนายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่ออกมาตอบโต้ทันควันว่า “มั่วจัดเลย เท่าที่ผมรู้นะ มั่วแบบนี้ฟ้องกันได้เลยในเรื่องนี้” เป็นการสวนหมัดที่ “ช่อ” ทิ้งบอมบ์ กล่าวหาว่า กระทรวงต่างประเทศที่นายดอน เป็นรัฐมนตรีว่าการนั้น มีส่วนเกี่ยวข้องในการทำลายความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยกับสวิตเซอร์แลนด์ ที่ไม่ส่งตัวนายซาเวียร์ จัสโต ไปรับโทษต่อที่สวิตเซอร์แลนด์ ตามคำขอของกระทรวงการต่างประเทศ สวิตเซอร์แลนด์
ขณะที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ยืนยันเช่นเดียวกันว่ารัฐบาลจะดำเนินคดีกับผู้กล่าวหา และปฏิเสธข้อกล่าวหาของ “ช่อ” ที่ว่าเจ้าหน้าที่ไทยมีส่วนเกี่ยวข้อในการให้ที่พักพิงแก่ผู้ต้องหาในคดี และสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ปล่อยให้นายโจ โลว์ เข้าออกประเทศไทยทั้งที่มีหมายแดงของตำรวจสากลหรืออินเตอร์โพล์ ในคดีฟอกเงินที่ออกตามคำร้องขอของทางการสิงคโปร์
“อินเตอร์โพล ออกหมายจับนายโจ โลว์ หลังจากที่เขาออกเดินทางจากประเทศไทยไปแล้ว” พล.อ.ประวิตร โต้ข้อกล่าวหา
สงคราม IO ตอบโต้กันอุตลุตขุดคุ้ยกันต่อเนื่อง โลกโซเชียลแชร์กันสนั่นว่า “คุณช่อ” เธอมั่วข้อมูล
ฝ่าย “ช่อ” ก็โต้กลับ "ถามหากันมากว่าหมายแดงโจ โลว์ ที่ช่อพูดถึง เป็นหมายที่ออกปีไหนกันแน่ ยืนยันนะคะว่าเช็กมาดีไม่มีมั่ว หมายแดงตำรวจสากลที่สิงคโปร์ขอให้ออก ลงวันที่ 7 ตุลาคม 2016 (พ.ศ. 2559) ค่ะ ส่วนหมายที่ IO อ้างกันคือหมายแดงที่มาเลเซียขอ
“ล่าสุดพลเอกประวิตร มาบอกว่าโจ โลว์ ออกจากไทยก่อนมีหมายแดง โปรดดูบันทึกการเดินทางเข้าออกไทยของโจ โลว์ นะคะ ว่าตั้งแต่วันที่ออกหมายแดง 7 ตุลา 2016 (พ.ศ.2559) โจ โลว์ เข้าออกไทยกี่ครั้ง”นางสาวพรรณิการ์ ระบุ
ทั้งนี้ ตามรายงานของสำนักข่าวนิวสเตรทส์ไทม์ส เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา องค์การตำรวจสากล(อินเตอร์โพล) ยังไม่ได้ใส่ชื่อนาย โจ โลว์ หรือ โล เต็ก โจ นักธุรกิจด้านการลงทุนคนสนิท นาจิบ ราซัค อดีตนายกรัฐมนตรี ในบัญชีหมายแดง แม้มีคำร้องจากคณะกรรมการปราบปรามการทุจริตแห่งมาเลเซีย ที่ขอให้อินเตอร์โพลออกหมายแดง เพื่อแจ้งให้ประเทศในกลุ่มสมาชิกจับกุมบุคคลที่มีหมายจับหรือผู้ร้ายข้ามแดน
นอกจากนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับคดี ดาหน้าออกมาชี้แจงโต้กลับ “ช่อ” โดย พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ชี้แจงใน 3 ประเด็น คือ
1.กรมราชทัณฑ์ โดยเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ได้รับตัวนางจัสโต ซาเวียร์ อันเดร ไว้ในการควบคุมเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2558 ตามหมายขังของศาล ต่อมามีคำพิพากษาของศาลอาญากรุงเทพใต้ ลงวันที่ 17 สิงหาคม 2558 (ตามคดีหมายเลขดำที่ อ.2657/2558 คดีหมายเลขแดงที่ อ.2737/2558) ตัดสินให้จำคุกผู้ต้องขังรายดังกล่าว ในข้อหารีดเอาทรัพย์ (ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 338, 80)
โดยมีพฤติการณ์กล่าวคือ จำเลยเคยเป็นลูกจ้างบริษัทปิโตรซาอุดิ อินเตอร์เนชันแนล จำกัด (ผู้เสียหาย) ในตำแหน่งผู้ช่วยผู้บริหาร เมื่อผู้เสียหายเลิกจ้างจำเลยตามกฎหมายแล้ว จำเลยกลับขู่เข็ญว่าจะเปิดเผยความลับของผู้เสียหาย ทั้งจะขายข้อมูลความลับดังกล่าวให้กับบุคคลภายนอกหากผู้เสียหายไม่ยอมจ่ายเงิน จำนวน 2.5 ล้านฟรังก์สวิต (หรือประมาณ 80.6 ล้านบาท) การกระทำของจำเลยถือว่าเป็นความผิดร้ายแรงและสามารถก่อให้เกิดความเสียหายทางธุรกิจแก่ผู้เสียหายได้ จึงลงโทษจำคุก 6 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ จึงลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงเหลือจำคุก 3 ปี
2.ระหว่างถูกคุมขังกระทรวงต่างประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ได้ส่งหนังสือคำร้องขอโอนตัวนายจัสโต้ เพื่อกลับไปรับโทษต่อยังประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ตามสนธิสัญญาระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสวิตเซอร์แลนด์ ว่าด้วยการโอนตัวผู้กระทำผิด ซึ่งคณะกรรมการพิจารณาโอนนักโทษ ครั้งที่ 5/2559 เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2559 ได้มีมติไม่เห็นชอบให้โอนตัวนายจัสโต เนื่องจากมีคุณสมบัติขัดต่อพระราชบัญญัติการปฏิบัติเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศ ในการดำเนินการตามคำพิพากษาคดีอาญา พ.ศ. 2527 มาตรา 25(3)
กล่าวคือโทษจำคุกที่นักโทษต่างประเทศจะต้องรับต่อไปในราชอาณาจักรเหลืออยู่น้อยกว่า 1 ปี ของโทษจำคุกทั้งสิ้นตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง ทั้งนี้เป็นไปตามกฎหมายภายในของไทย มิได้มีประเด็นกระทบกระเทือนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแต่อย่างใด
3.นายจัสโต ถูกจำคุกอยู่ประมาณ 1 ปี 6 เดือน ตั้งแต่วันที่ 25 มิถุนายน 2558 - 20 ธันวาคม 2559 และได้รับการปล่อยตัวไป ตามพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ เนื่องในวโรกาสสำคัญของชาติ 2 ฉบับ ในปี พ.ศ. 2559 โดยกรมราชทัณฑ์ ได้มอบตัวนายจัสโต้ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองดำเนินการตามระเบียบที่เกี่ยวข้องโดยมีเจ้าหน้าที่สถานทูตสวิตเซอร์แลนด์เข้าร่วมสังเกตการณ์ นายจัสโต้ได้เดินทางออกจากประเทศไทยไป เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2559 ด้วยเที่ยวบินที่ TG 970
“.... ขอยืนยันว่ากระบวนการควบคุมตัวนายจัสโต้ ไปจนถึงการปล่อยตัว เป็นการดำเนินการตามกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมของไทยอย่างถูกต้องสอดคล้องกับหลักสากลทุกประการ” พ.ต.อ.ณรัชต์ ยืนยัน
ขณะที่ พล.ต.ต.สุรพงษ์ ชัยจันทร์ รองผู้บัญชาการตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ชี้แจงถึงการเดินทางเข้าออกของบุคคลที่เกี่ยวข้องกับขบวนการยักยอกเงินจากกองทุน 1MDB ที่ “ช่อ” หยิบยกขึ้นมาโจมตีว่ารัฐบาลมีส่วนเกี่ยวข้องในการช่วยเหลือ
คนแรก คือ นายจัสโต ซาเวียร์ อันเดร อดีตผู้บริหารบริษัท ปิโตรซาอุดิ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้ต้องหาในคดีกรรโชกทรัพย์บริษัทดังกล่าว ถูกตำรวจไทยจับกุมตัวได้เมื่อปี 2558 ซึ่งบริษัทนี้ เป็นเครือข่ายฟอกเงินของกองทุน 1MDB จากการตรวจสอบพบว่า นายจัสโต มีการเข้า-ออกไทย รวม 30 ครั้ง ระหว่างวันที่ 7 สิงหาคม 2557 ถึง 12 มีนาคม 2558 หลังถูกจำคุกคดีรีดเอาทรัพย์ในไทยแล้ว ได้ออกจากไทย เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2559 และห้ามเข้าประเทศไทยตลอดชีวิต จากการตรวจสอบไม่มีหมายจับตำรวจสากล
ส่วน นายโจ โลว์ นักธุรกิจสัญชาติมาเลเซีย ที่ถูกระบุว่า ตำรวจสากลออกหมายแดง ตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม 2559 แต่เดินทางเข้าออกไทยด้วยเครื่องบินส่วนตัวได้ถึง 5 ครั้ง จากการตรวจสอบ พบมีการเดินทางเข้าออกประเทศไทยรวม 54 ครั้ง ระหว่างวันที่ 27 มิถุนายน 2556 ถึง 10 พฤษภาคม 2561 ออกจากไทยครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2561 แม้นายโจ โลว์ จะมีหมายจับ 2 หมาย ของทางการสิงคโปร์ ลงวันที่ 7 ตุลาคม 2559 และหมายจับของทางการมาเลเซีย ลงวันที่ 11 มิถุนายน 2561 แต่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ได้รับการประสานจากตำรวจสากล ในวันที่ 29 เมษายน 2562
ขณะที่ นางลู ไอ ซวอน สัญชาติมาเลเซีย หรือ จัสมินลู ทนายความของนายโจ โลว์ ที่ถูกระบุว่า มีชื่ออยู่ในบัญชีเฝ้าระวังสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง แต่ยังสามารถเดินทางเข้าออกไทยได้ตามปกติ และถูกลบข้อมูลการเดินทางบางส่วน จากการตรวจสอบ ยืนยันว่า ข้อมูลการเดินทางเข้าออกของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ไม่สามารถลบได้ ซึ่งพบว่า จัสมินลู มีการเดินทางเข้าออกไทยรวม 68 ครั้ง ระหว่างวันที่ 9 สิงหาคม 2556 ถึง 3 กรกฎาคม 2561 โดยออกจากไทยครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2561
ส่วนหมายจับตำรวจสากล เข้าระบบของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2562 ซึ่งเป็นช่วงที่ จัสมินลู ออกจากประเทศไทยไปแล้ว
สำหรับนายตัง เคง ฉี สัญชาติมาเลเซีย ที่ถูกระบุว่า เป็นบุคคลที่ถูกสอบสวนจากกระทรวงยุติธรรมของสหรัฐฯ และถูกออกหมายแดง แต่สามารถอยู่ในไทยได้จนวีซ่าหมดอายุ จากการตรวจสอบ พบว่า มีการเดินทางเข้าออกไทย รวม 23 ครั้ง ระหว่างวันที่ 14 เมษายน 2560 ถึง 17 มิถุนายน 2561 และมีหมายจับของศาลแขวงปทุมวัน ฐานอยู่เกินกำหนด หรือ โอเวอร์สเตย์ ตั้งแต่วันที่ 17 กรกฎาคม 2561 ส่วนหมายจับตำรวจสากล เข้าสู่ระบบของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ในวันที่ 29 เมษายน 2562 ล่าสุดยังหลบหนีอยู่ระหว่างการติดตามจับกุม
ข้อกล่าวหาของ “ช่อ” ที่ สตม. จะเล่นงานฟ้องร้องกลับนั้น พล.ต.ต.สุรพงษ์ ชี้ว่ามีความผิดชัดเจนกรณีที่ “ช่อ” ระบุว่า ลบข้อมูลเดินทางเข้าออกของจัสมินลู 22 รายการ ซึ่งความจริงไม่มีการลบข้อมูล แต่กลับตรวจพบข้อมูลมากกว่าข้อมูลของ “ช่อ” อีกด้วย
ด้าน พ.ต.เชิงรณ ริมผดี รองผู้บังคับการตำรวจตรวจคนเข้าเมือง 2 ระบุว่า ช่วงเวลาที่ นายซาเวียร์ นายโจ โลว์ และ นายจัสมินลู ถูกตำรวจสากลออกหมายแดง และเดินทางเข้าออกไทย เป็นช่วงที่การเชื่อมโยงฐานข้อมูลระหว่างตำรวจสากล และสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ยังไม่เกิดขึ้น ซึ่งเชื่อมโยงได้สำเร็จเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2562 แต่ก่อนหน้านี้ การประสานข้อมูลบุคคลที่มีหมายจับตำรวจสากล จะเป็นการประสานเฉพาะรายบุคคลจากประเทศต้นทาง โดยจะมุ่งเน้นไปที่บุคคลอันตราย หรืออาจเป็นภัยเท่านั้น ดังนั้น บุคคลทั้งหมดที่ได้ชี้แจงไป ได้เดินทางออกจากไทยไปก่อนได้รับการประสานจากตำรวจสากล
งานนี้ พล.ต.ต.สุรพงษ์ ตั้งข้อสังเกตว่า “คุณช่อ” อาจถูกต้ม จึงได้ข้อมูลไม่ถูกต้อง ขณะเดียวกัน สตม. ก็จะต้องตรวจสอบว่ามีคนในหรือเกลือเป็นหนอน ส่งข้อมูลให้ “คุณช่อ” หรือไม่ด้วย
ฟังข้อมูลจากฝั่ง สตม.แล้ว ก็ทำให้อดนึกถึง “คนใน” ซึ่งเป็น “คนดัง” และกำลังตกอยู่ในภาวะ “หมาจนตรอก” ไม่ได้ เพราะข้อมูลที่ละเอียดยิบขนาดนี้ ถ้าไม่มี “คนใน” ส่งออกมามีหรือจะหลุดออกมาให้เป็นประเด็นได้
และคนในที่ต้องสงสัยมากที่สุดก็เห็นทีจะหนีไม่พ้น “คุณโจ๊ก” เพราะนอกจากเรื่อง 1MDB แล้ว การอภิปรายครั้งนี้ก็ยังมีเรื่อง “ไบโอเมตริกซ์” ร่วมอยู่ด้วย
อย่างไรก็ดี ต้องบอกว่าเรื่องนี้ยังไม่จบ และคงต้องพบกันที่ศาลตามที่ทั้งสองฝ่ายลั่นพร้อมเผชิญหน้าอย่างแน่นอน.