ข่าวปนคน คนปนข่าว
** คดี 1MDB เวอร์ชัน “ช่อ พรรณิการ์” จับโยง “ลุงตู่” พันธมิตรมืด “นาจิบ” หรือจะเป็นรายการจับแพะมาชนแกะ!?
พลันที่ “ช่อ”พรรณิการ์ วานิช อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ และอดีตโฆษกพรรคอนาคตใหม่ ยกกรณีฟอกเงินอื้อฉาวระดับโลก ของ “1MDB” หรือ 1Malaysia Development Berhad ก่อตั้งโดย “นาจิบ ราซัค” อดีตนายกรัฐมนตรีประเทศมาเลเซีย มาเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนอกสภาฯ โดยระบุว่า มีหลักฐานที่เชื่อได้ว่า “รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” กระทำการตั้งแต่ ปี 2558-2563 เกี่ยวข้องกับคดี 1MDB โดยเป็น “พันธมิตรมืด” กับ “นาจิบ ราซัค”...แน่นอนว่าเรื่องนี้ย่อมอื้ออึง เลื่อนลั่นไปทั้งวงการ
“ช่อ” กล่าวหาว่า รัฐบาลลุงตู่ ช่วย “นาจิบ” ปกปิดข้อเท็จจริง กรณีอาชญากรรมการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก, บิดผันกระบวนการยุติธรรม เอาคนบริสุทธิ์เข้าคุก และปล่อยให้อาชญากรข้ามชาติลอยนวล, ให้ที่พักพิง หลบซ่อนตัวแก่ผู้ต้องหาที่มีหมายแดงจากอินตอร์โพล หรือตำรวจสากล และบ่อนทำลายความสัมพันธ์อันดีกับชาติพันธมิตรของไทย
เรื่องจริงๆ เป็นยังไง? มาดูสักนิด... เรื่องทั้งหมดเริ่มต้นหลังจากหนังสือพิมพ์ The Wall Street Journal ลง ข่าวช่วงต้นเดือนกรกฎาคม 2558 ว่า ผู้ตรวจสอบของมาเลเซียได้พบว่า มีเงินไหลจากกองทุนที่มีชื่อว่า 1MDB จำนวน 700 ล้านดอลลาร์ เข้าบัญชีส่วนตัวของ “นาจิบ ราซัค” ที่ตอนนั้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
1MDB หรือกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของมาเลเซีย ตั้งขึ้นเมื่อปี 2552 โดยรัฐบาลนาจิบ ราซัค เพื่อนำเงินมาพัฒนาเศรษฐกิจระยะยาวในการลงทุนโครงการ และอุตสาหกรรมต่างๆในต่างประเทศ เพื่อทำกำไร... แต่ผ่านไป 6 ปี กองทุนนี้กลับสร้างหนี้มหาศาล 3.7 แสนล้านบาท
หลังจากนั้นก็มีการปูดข่าวว่า “ตระกูลราซัค” นำเงินไปซื้อของใช้ฟุ่มเฟือย หรูหรา อสังหาริมทรัพย์ เครื่องบินส่วนตัว และงานศิลปะล้ำค่าระดับโลก จนในปี 2559 ชาวมาเลเซีย ประท้วงขับไล่ “นาจิบ” แต่ก็ไม่เป็นผล จน “มหาเธร์ โมฮัมหมัด” จับมือกับฝ่ายค้าน โค่นอำนาจนาจิบแพ้เลือกตั้ง ทำให้เขา และ “นางรอสมะห์ มันซอร์” ภรรยา ถูกห้ามออกนอกประเทศ และถูกตั้งข้อหาฟอกเงิน พร้อมกับถูกยึดทรัพย์ โดยเมื่อ 3 เม.ย. 62 ศาลกรุงกัวลาลัมเปอร์ เปิดการไต่สวนนัดแรกไปแล้ว ในคดีที่ “นาจิบ” ยักยอกเงินกองทุน 1MDB รวม 7 กระทง จากทั้งสิ้น 42 กระทง...
ว่ากันว่า ขั้นตอนการฟอกเงิน 1MDB ซับซ้อนมาก และไปพัวพันบริษัท โกลด์แมน แซคส์ วาณิชธนกิจรายใหญ่ของสหรัฐฯ ซึ่งถูกรัฐบาลมาเลเซียฟ้องร้องดำเนินคดีอาญา กล่าวหาว่าหลอกลวงนักลงทุนให้ช่วยระดมทุนเข้ากองทุน 1MDB ด้วย
สำหรับที่เกี่ยวกับไทย มีเรื่องเกิดตามมาจากการขุดคุ้ยทุจริตกองทุน 1MDB โดย “แคลร์ ริวแคสเซิล บราวน์” นักข่าวเว็บไซต์ “ซาราวัก รีพอร์ต” ที่เกาะติดเปิดโปงจนรู้เส้นทางการเงินของขบวนการนาจิบ และก็มีการเปิดเผยภายหลังว่า ข้อมูลของแคลร์ส่วนใหญ่ได้จาก “ซาเบียร์ จูสโต” ชาวสวิสที่มาทำรีสอร์ตในเกาะสมุย
ตัวละครตัวนี้ทาง “ช่อ พรรณิการ์” ได้ระบุว่า “เป็นผู้บริสุทธิ์” ที่มาของข้อกล่าวหาว่า รัฐบาลลุงตู่ “บิดผันกระบวนการยุติธรรม เอาคนบริสุทธิ์เข้าคุก” โดยตำรวจไทยร่วมมือกับคนของ บริษัท เปโตรซาอุดี จับกุม “ซาเบียร์ จูสโต” ผู้เปิดโปงข้อมูลการทุจริตดังกล่าว ด้วยข้อหาพยายามกรรโชกทรัพย์และกดดัน จูสโต ให้ยอมรับสารภาพความเท็จ ว่าเขากุเรื่อง 1MDB ขึ้น เพื่อใส่ร้าย “นาจิบ”
ทว่า จากหลักฐานบันทึกไว้ แต่ "ช่อ พรรณิการ์" ไม่ได้บอกก็คือ "ซาเวียร์" คนนี้เคยทำงานเป็นผู้บริหารระดับสูงของ บริษัทเปโตรซาอุดิ อินเตอร์เนชั่นแนล ต่อมาได้ขอลาออก แต่บริษัทได้ตั้งเงื่อนไขว่า จะไม่เปิดเผยความลับของบริษัทต่อบุคคลภายนอก "ซาเวียร์" เลยใช้ข้อมูลที่ตัวเองเก็บไว้ มาขู่กรรโชกทรัพย์ที่ทำงานเก่า คิดเป็นเงินราวๆ 90 ล้านบาท...
นอกจากข้อมูลความลับบริษัทเก่าแล้ว "ซาเวียร์" ยังมีข้อมูลของ 1MDB ด้วย เพราะบริษัทเปโตรซาอุฯ ที่ว่ามีธุรกรรมแนบแน่นร่วมลงทุนกับ 1MDB ของมาเลเซีย เลยเชื่อว่าทางการมาเลเซียติดต่อไทย ให้จับกุมเขา และศาลได้ตัดสินคดีกรรโชกทรัพย์ ถูกจำคุก 6 ปี แต่เพราะ ซาเวียร์ ให้การรับสารภาพ จึงเหลือจำคุก 3 ปี ได้รับอภัยโทษ เมื่อปี 2559
ตัวละครอีกคนคือ “โจ โลว์”นักการเงินปีนัง ชาวมาเลเซีย เป็นคนสำคัญที่ให้ความช่วยเหลือในการผ่องถ่ายเงินให้ นาจิบ และเป็นคนชอบคลุกคลีกับไฮโซ คนดังในแวดวงฮอลลีวูด จนร่วมมือกับ “ริซา อาซิส”ลูกเลี้ยงของนาจิบ สร้างหนังเรื่อง "The Wolf of Wall Street"นำแสดงโดย “ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ”ซึ่งสามารถคว้านักแสดงยอดเยี่ยมรางวัลลูกโลกทองคำในเวลาต่อมา
"ช่อ พรรณิการ์" ระบุว่า "โจ โลว์" คือคนที่รัฐบาลสิงคโปร์ขอให้ตำรวจสากลออกหมายแดงติดตามตัว ตั้งแต่วันที่ 7 ต.ค.59 และพบว่า "โจ โลว์" มีการเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย ถึง 5 ครั้ง โดยเครื่องบินส่วนตัว ทั้งในสนามบินกรุงเทพฯ และภูเก็ต กระทั่งออกจากไทยครั้งสุดท้าย ในวันที่ 13 พ.ค.61 เพียง 3 วัน หลังจาก"นาจิบ" แพ้การเลือกตั้ง โดยไทยไม่ได้สกัดจับ
นี่ก็เป็นที่มาของข้อกล่าวหา ให้ที่พักพิง หลบซ่อนตัวแก่ผู้ต้องหาที่มี"หมายแดง" จากอินเตอร์โพล หรือตำรวจสากล แต่ก็อีกนั่นล่ะว่า ข้อเท็จจริงก็ต้องตรวจสอบกันได้ ตั้งแต่ความหมายของ“หมายแดง”คืออะไร ในวงการตำรวจและสากล จะปฏิบัติไปอย่างที่ "ช่อ" เข้าใจหรือไม่ ?
หมายแดงอินเตอร์โพล มีเป็นจำนวนมาก จะส่องใครตามหมายประเทศนั้นๆ ก็ต้องชี้ชัดมากับไทย สิงคโปร์ ต้องประสานกันมา หากไม่ชี้ ก็เหมือนกรณีที่ทำไม "ทักษิณ ชินวัตร" จะบินไปนู่นมานี่ แบบลอยนวลสบายๆ
ส่วนที่ "ช่อ" ต้องรู้คือ "โจ โลว์" ระหว่างปี59-61 มีหลักฐานว่า เขาก็เดินทางไปหลายประเทศ ไม่ได้มีแค่ประเทศไทย และอีกอย่างจากข้อมูลของสตม. ก็ระบุว่า หมายแดงของ "โจ โลว์" ปรากฏในระบบสารสนเทศตรวจคนเข้าเมือง 29 เม.ย. 62 แปลว่า ก่อนหน้านั้น จึงเดินทางได้ตามปกติ
ครั้นจะด่วนสรุปอย่างที่ "ช่อ" ว่า รัฐบาลลุงตู่ ให้ที่หลบซ่อน ไม่จับกุมผู้ต้องหา ดูน้ำหนักจะขัดแย้งกับข้อมูลจริง หรือไม่ ?
เมื่อวานหลังปล่อยหมัดที่คิดว่าเด็ด "ช่อ พรรณิการ์" เดินทางไปสังเกตการณ์การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล โดยกล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลเตรียมฟ้องกลับในเรื่องนี้ ว่า น่าผิดหวังรัฐบาล เพราะตัวเองต้องการให้รัฐบาลแสดงความรับผิดชอบ และแสดงความจริงใจกับประชาชน แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือ การถูกฟ้องร้อง หากจะกล่าวหาว่าพูดลอยๆ ก็ขอให้นำหลักฐานออกมาชี้แจง พร้อมย้ำว่าประชาชนมีสิทธิ์รับรู้ความจริง จึงต้องมีคำตอบจากรัฐบาล อีกทั้งมั่นใจในหลักฐานที่นำมาเปิดเผย เพราะอะไรที่ไม่มีหลักฐาน จะไม่พูด
"ช่อ" ยังบอกอีกว่า นี่แค่เปิดมาบางส่วน และไม่ได้เป็นเรื่องแก้แค้นหลังถูกยุบพรรค แต่จากข้อมูลของช่อ หากจะย้อนดู เรื่อง 1MDB ดูที่มาที่ไปและหลักฐานจากบันทึกเรื่องราวที่มี และเกิดขึ้นจริง ก็อาจจะทำให้ใครหลายคนนึกถึง "แพะ-แกะ" ออกมาวิ่งเล่นเพ่นพ่าน โดยที่มีความพยายาม “จับแพะมาชนแกะ” ปะติดปะต่อเรื่อง แล้วใส่ “มโน” ลงไปหรือไม่?
สุดท้ายระหว่างความจริง และเฟกนิวส์ ต่างกันแค่เส้นบางๆ กางกั้น นักการเมืองสายข่าวอย่างช่อ ย่อมรู้ดีอันไหนจริงและอันไหนเฟก
**ประมูล 5G ผลงานเลี่ยมทองฝังเพชร ของ กสทช.
เรียกได้ว่าผลงาน "ประมูลคลื่น 5G" เมื่อวันที่ 16 ก.พ. ที่ผ่านมาของ "ฐากร ตัณฑสิทธิ์" เลขาธิการ กสทช. ได้เงินเข้ารัฐกว่า 107,577.66 ล้านบาท อยู่ในระดับเลี่ยมทองฝังเพชร
หากนับรวมผลงานที่ผ่านมา ประกายเพชรอาจสะท้อนจนแสบตา ตั้งแต่ปี 2555 ประมูล 3Gได้เงินกว่า 44,538.75 ล้านบาท ปี 2556 ประมูลทีวีดิจิทัล 38,770.38 ล้านบาท ปี 2558-2561 ประมูล 4G เป็นเงิน 316,523.12 ล้านบาท ปี 2562 ประมูลคลื่น 700 MHz ล่วงหน้าได้เงิน 56,444.64 ล้านบาท รวมเป็นเม็ดเงินที่ส่งเข้ารัฐ สูงถึงประมาณ 563,834.55 ล้านบาท
เฉพาะแค่การประมูล 5G เป็นความแยบยลของการจัดประมูล ที่เปลี่ยนจากท่าทีอิดออด กระมิดกระเมี้ยน ไม่อยากเสียเงินจำนวนมากในช่วงแรก แต่เมื่อถึงตอนประมูลจริง โอเปอเรเตอร์ทุกรายก็สู้กันหนักข้อตามหมากที่วางไว้ จนได้ข้อสรุปว่า "เอไอเอส" โดย AWN ได้ใบอนุญาตคลื่น 700 MHz 1 ใบอนุญาต คลื่น 2600 MHz 10 ใบอนุญาต และคลื่น 26 GHz 12 ใบอนุญาต... "ทรู" ได้ใบอนุญาตคลื่น 2600 MHz 9 ใบอนุญาต และคลื่น 26 GHz 8 ใบอนุญาต... "ดีแทค" ได้ใบอนุญาต คลื่น 26 GHz 2ใบอนุญาต " CAT" ได้ใบอนุญาตคลื่น 700 MHz 2 ใบอนุญาต และ "TOT" ได้ใบอนุญาตคลื่น 26 GHz 4 ใบอนุญาต
ทั้งนี้จากการประมาณการของสำนักงานกสทช. พบว่า เมื่อมี 5G เกิดขึ้น ในเบื้องต้นจะทำให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจราว 177,039 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 1.02 % ของ GDP ทั้งประเทศ ส่วนปี 2564 เมื่อภาคเอกชนเพิ่มขนาดการลงทุนในคลื่น 5G จะก่อให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจราว 332,000 ล้านบาท และในปี 2565 ผลของการประมูลคลื่น 5G จะเกิดมูลค่าเพิ่มอีก 476,000 ล้านบาท รวมแล้วปี 2563-2565 นั้น 5G จะทำให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจรวม กว่า 985,720 ล้านบาท ซึ่งหากการขับเคลื่อนของคณะกรรมการ 5G แห่งชาติประสบผลสำเร็จตามแนวทางที่วางไว้ ตัวเลขมูลค่าทางเศรษฐกิจจะเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ประมาณการไว้ เนื่องจากมูลค่าการใช้งาน 5G เพิ่มสูงขึ้นจากประมาณการของสำนักงาน กสทช.
5G เริ่มเป็นเรื่องใกล้ตัวเร็วกว่าที่คิดไว้มาก เพราะหลังประมูลแค่ 5 วัน "เอไอเอส" ชำระเงินค่าประมูลงวดแรก 10% ของราคาที่ชนะการประมูล เป็นจำนวนรวมภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว 2,093,027,000 บาท พร้อมทั้งหนังสือค้ำประกันรวมภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว 18,837,243,000 บาท ในช่วงเช้า และรับใบอนุญาตในช่วงบ่าย แต่เด็ดกว่านั้นคือ การเปิดเน็ตเวิร์ก 5G ทันที หลังรับใบอนุญาต พร้อมทดลองวิดีโอคอลด้วยโทรศัพท์มือถือเครื่องทดสอบ 5G จากหัวเมืองใหญ่ 5 ภาคทั่วไทยมายังสำนักงาน กสทช.
"เอไอเอส" ประกาศว่าช่วง 12 เดือนแรก จะลงทุน 5G 10,000-15,000 ล้านบาท แต่ที่ไม่ได้บอกคือ แว่วว่าภายในเดือนเมษายนที่จะถึงนี้ จะมีเครือข่าย 5G จำนวนถึง 5,000 ไซต์ ที่พร้อมรองรับกับบริการแอปพลิเคชันใหม่ๆ บนโทรศัพท์มือถือ ซัมซุง S20 รุ่นใหม่ล่าสุด... จริงอยู่ที่ 5G เหมาะที่จะใช้ในแวดวงอุตสาหกรรม แต่สำหรับผู้บริโภคทั่วไปที่ชื่นชอบเทคโนโลยีที่ทันสมัยระดับโลก ได้ใช้ 5G ก่อนใคร ก็อาจปลื้มปริ่มอย่างมาก
ในแง่ยูสเคส หรือการใช้ประโยชน์จาก 5G ความชัดเจนเห็นได้จากด้าน "ทรู" ที่เปิดแคมเปญภาพยนตร์โฆษณา True 5G World 5 เรื่อง 5 มิติภายใต้แนวคิด "True 5G ที่ไม่ใช่แค่สัญญาณมือถือ แต่คือสัญญาณเปลี่ยนประเทศ" โดยแต่ละเรื่องเลือกใช้คนดังที่มีภาพลักษณ์ความเป็นฮีโร่ในสายตาสาธารณชน มาเป็นต้นแบบสะท้อนประโยชน์ของ 5G ในมิติต่างๆ 5 ด้าน อย่างโลกแห่งความปลอดภัย, โลกแห่งการศึกษา, โลกแห่งเกษตรกรรมและสิ่งแวดล้อม, โลกแห่งสุขภาพและโลกแห่งความบันเทิง ผ่านการตั้งคำถามว่า พวกเขา "อยากให้อะไรในประเทศเราดีขึ้น"
จิ๊กซอว์ 5G ของประเทศไทยกำลังเป็นรูปเป็นร่างที่สวยงามมากขึ้น ซึ่งไม่เกินไตรมาส 2 ปีนี้ จะเห็นการใช้งาน 5G เชิงพาณิชย์ที่แพร่หลาย ไม่ว่าจะเป็นผู้บริโภคทั่วไป หรือการใช้งานเชิงอุตสาหกรรม นำหน้าหลายประเทศทั่วโลก 5G วันนี้จึงเป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ ในภาวะที่เครื่องยนต์ตัวอื่นขัดข้อง ไร้เรี่ยวแรง