แน่นอนว่า นาทีนี้เรายังไม่อาจสรุปได้ว่าฝ่ายรัฐบาลจะดีเด่น สมบูรณ์แบบไม่มีอะไรบกพร่องตามที่ฝ่ายค้านกล่าวหา รวมทั้งมีความผิดร้ายแรงสมกับต้องถูกยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจหรือไม่ แต่เมื่อพิจารณาจากรายละเอียดการอภิปรายมาตั้งแต่วันแรก คือวันที่ 24 กุมภาพันธ์ จนถึงวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ยังไม่จบ เพราะต้องรอจนถึงวันลงมติ ในวันที่ 27-28 กุมภาพันธ์ ก็ต้องบอกว่า ฝ่ายค้าน “ไม่มีหมัดเด็ด” หรือ“ใบเสร็จ”ที่จะน็อกฝ่ายรัฐบาล หรือรัฐมนตรีทั้ง 6 คน ที่ถูกซักฟอกได้เลย
**หากจะพูดให้เห็นภาพก็ต้องพูดแบบที่ว่า “ไม่ระคายผิว”แม้แต่น้อย มันถึงบอกว่า “ไม่สมราคาคุย”ตามที่โหมโรงเอาไว้ก่อนหน้านี้
เพราะหากมีการติดตามการอภิปรายวันแรก ตั้งแต่วันที่ 24 กุมภาพันธ์ เป็นต้นมา หลังจากที่ นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านได้อภิปรายเปิดหัว แล้วก็ส่งไม้ต่อให้ นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม ที่รับหน้าที่เป็นคนอภิปราย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นคนแรก โดยก่อนหน้านั้นโหมโรงตีปี๊บว่า “มีหมัดเด็ด”ปล่อยออกมาเมื่อไหร่ พล.อ.ประยุทธ์ จะต้องถึงขั้นต้องลาออกจากตำแหน่งทันที
การซักฟอกของนายยุทธพงศ์ ได้โจมตีในเรื่องการซื้อขายที่ดินของบิดานายกรัฐมนตรี ที่มีการกล่าวหาว่าเป็นการเชื่อมโยง เอื้อประโยชน์กับ“เจ้าสัว”รายหนึ่ง พร้อมทั้งมีการเชื่อมโยงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงแก้ไขสัญญาการสร้างศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ การใช้ที่ดินของโรงงานยาสูบในบริเวณดังกล่าว ในแบบที่มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขสัญญาเอื้อประโยชน์กัน แต่กลายเป็นว่า หลักฐานที่นำมาแสดงหรือที่เรียกว่า “ใบเสร็จ” ยังไม่มีน้ำหนัก หรือที่เรียกว่า “ยังไม่เด็ด”เพียงพอ ที่จะน็อก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้ล้มคว่ำลงไปได้ ตามที่คุยโม้เอาไว้
ขณะเดียวกันยังมีการ“ข้าม”ไม่มีการอภิปรายในเรื่องความไม่ชอบมาพากลการนำเข้าบุหรี่ กรณีบริษัทฟิลิปมอร์ริส โดยมีการตั้งข้อสังเกตกันว่า สาเหตุที่“ข้าม”ไม่มีการอภิปรายในเรื่องดังกล่าวของ นายยุทธพงศ์ เป็นเพราะมีการล็อบบี้ หรือ “เกี้ยเซียะ”กันกับบิ๊กรัฐบาล ไปก่อนหน้านี้หรือไม่
โดยในเรื่องดังกล่าว แม้แต่ฝ่ายค้านด้วยกันเองยังมีการตั้งข้อเกต และเกิดความสงสัย รวมทั้งยอมรับว่านายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร อภิปรายฝ่ายรัฐบาล ได้ต่ำกว่ามาตรฐาน
**ตรงกันข้ามกับฝ่ายรัฐบาล โดยเฉพาะพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ถือว่าคราวนี้มีการ “ปรับลุ๊ค” ใหม่ ที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้น มีการปรับปรุงการพูดได้ดีกว่าการชี้แจงในสภาฯ ในครั้งที่แล้วมา และที่สำคัญมีการลุกขึ้นชี้แจงในแบบที่เรียกว่า“ทุกเม็ด”และชี้แจงตอบโต้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องใช้องครักษ์คอยช่วยเหลือเหมือนกับที่เคยวางแผนเอาไว้ก่อนหน้านี้
อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาในภาพรวมของการอภิปรายส่วนใหญ่บรรดา“ขุนพล”ของฝ่ายค้าน ที่รับหน้าที่ซักฟอกฝ่ายรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็น นายสุทิน คลังแสง ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน รวมไปถึง น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ที่อภิปรายในเรื่องความล้มเหลวในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่ที่น่าสังเกตก็คือ การอภิปรายของฝ่ายค้าน ก็เป็นเพียงการใช้สำนวนโวหารมาโจมตี ยังไม่มีหลักฐาน หรือใบเสร็จนำมาแสดงให้เห็นแบบจะจะในแบบที่ควรจะเป็น
รวมไปถึงฝ่ายค้านอื่นๆ จาก ส.ส.จากอดีตพรรคอนาคตใหม่ ไม่ว่าจะเป็น นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ที่ถูกวางตัวให้เป็นผู้นำพรรคใหม่จาก นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ก็ไม่มีหลักฐาน หรือน้ำหนักเพียงพอที่จะถึงขั้นขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หรือกดดันจนถึงขั้นยุบสภา
นอกจากนี้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส จากพรรคเสรีรวมไทย ก็ยังดึงดันที่จะอภิปรายในเรื่องนายกรัฐมนตรี “ถวายสัตย์ฯไม่ครบถ้วน” ซึ่งก็ถูกระบุว่าเป็นเรื่องเก่า มีปัญหาที่เคยตกลงกันระหว่างวิปฝ่ายค้านกับวิปรัฐบาล และประธานสภาผู้แทนราษฎร นายชวน หลีกภัย ที่วินิจฉัยแล้วว่า ห้ามไม่ให้มีการอภิปรายในเรื่องนี้อีก แต่ปัญหาก็คือ“ชาวบ้านเขาเบื่อ” เนื่องจากพิจารณาแล้วถือว่ามัน“ตกกระแส”ไปแล้ว นั่นคือมันน่าเบื่อ มองว่า พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ มัวแต่จมปลักจะอภิปรายแต่เรื่องดังกล่าว อะไรประมาณนั้น
**ดังนั้น หากพิจารณาในภาพรวมๆ เท่าที่เห็น แม้ว่าการอภิปรายซักฟอกของฝ่ายค้านยังไม่จบดีนัก เพราะยังไม่ได้เห็นการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีอีกบางคน เช่น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่ถูกจองไว้เป็นคนสุดท้าย แต่บรรยากาศเท่าที่เห็นในช่วงสองวันที่ผ่านมา ถือว่า “ไม่เข้าเป้า”หรือหากพูดกันตรงๆ ก็ต้องบอกว่า“ต่ำกว่ามาตรฐาน”เนื้อหาที่นำมาอภิปรายก็ไม่มีน้ำหนัก ไม่ต่างจากกระทู้ถามสดเท่านั้น หลายคนจึงได้สรุปว่า อภิปรายแบบนี้ เปลืองค่าน้ำค่าไฟ นั่นแหละ !!
**หากจะพูดให้เห็นภาพก็ต้องพูดแบบที่ว่า “ไม่ระคายผิว”แม้แต่น้อย มันถึงบอกว่า “ไม่สมราคาคุย”ตามที่โหมโรงเอาไว้ก่อนหน้านี้
เพราะหากมีการติดตามการอภิปรายวันแรก ตั้งแต่วันที่ 24 กุมภาพันธ์ เป็นต้นมา หลังจากที่ นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านได้อภิปรายเปิดหัว แล้วก็ส่งไม้ต่อให้ นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม ที่รับหน้าที่เป็นคนอภิปราย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นคนแรก โดยก่อนหน้านั้นโหมโรงตีปี๊บว่า “มีหมัดเด็ด”ปล่อยออกมาเมื่อไหร่ พล.อ.ประยุทธ์ จะต้องถึงขั้นต้องลาออกจากตำแหน่งทันที
การซักฟอกของนายยุทธพงศ์ ได้โจมตีในเรื่องการซื้อขายที่ดินของบิดานายกรัฐมนตรี ที่มีการกล่าวหาว่าเป็นการเชื่อมโยง เอื้อประโยชน์กับ“เจ้าสัว”รายหนึ่ง พร้อมทั้งมีการเชื่อมโยงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงแก้ไขสัญญาการสร้างศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ การใช้ที่ดินของโรงงานยาสูบในบริเวณดังกล่าว ในแบบที่มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขสัญญาเอื้อประโยชน์กัน แต่กลายเป็นว่า หลักฐานที่นำมาแสดงหรือที่เรียกว่า “ใบเสร็จ” ยังไม่มีน้ำหนัก หรือที่เรียกว่า “ยังไม่เด็ด”เพียงพอ ที่จะน็อก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้ล้มคว่ำลงไปได้ ตามที่คุยโม้เอาไว้
ขณะเดียวกันยังมีการ“ข้าม”ไม่มีการอภิปรายในเรื่องความไม่ชอบมาพากลการนำเข้าบุหรี่ กรณีบริษัทฟิลิปมอร์ริส โดยมีการตั้งข้อสังเกตกันว่า สาเหตุที่“ข้าม”ไม่มีการอภิปรายในเรื่องดังกล่าวของ นายยุทธพงศ์ เป็นเพราะมีการล็อบบี้ หรือ “เกี้ยเซียะ”กันกับบิ๊กรัฐบาล ไปก่อนหน้านี้หรือไม่
โดยในเรื่องดังกล่าว แม้แต่ฝ่ายค้านด้วยกันเองยังมีการตั้งข้อเกต และเกิดความสงสัย รวมทั้งยอมรับว่านายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร อภิปรายฝ่ายรัฐบาล ได้ต่ำกว่ามาตรฐาน
**ตรงกันข้ามกับฝ่ายรัฐบาล โดยเฉพาะพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ถือว่าคราวนี้มีการ “ปรับลุ๊ค” ใหม่ ที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้น มีการปรับปรุงการพูดได้ดีกว่าการชี้แจงในสภาฯ ในครั้งที่แล้วมา และที่สำคัญมีการลุกขึ้นชี้แจงในแบบที่เรียกว่า“ทุกเม็ด”และชี้แจงตอบโต้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องใช้องครักษ์คอยช่วยเหลือเหมือนกับที่เคยวางแผนเอาไว้ก่อนหน้านี้
อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาในภาพรวมของการอภิปรายส่วนใหญ่บรรดา“ขุนพล”ของฝ่ายค้าน ที่รับหน้าที่ซักฟอกฝ่ายรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็น นายสุทิน คลังแสง ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน รวมไปถึง น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ที่อภิปรายในเรื่องความล้มเหลวในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่ที่น่าสังเกตก็คือ การอภิปรายของฝ่ายค้าน ก็เป็นเพียงการใช้สำนวนโวหารมาโจมตี ยังไม่มีหลักฐาน หรือใบเสร็จนำมาแสดงให้เห็นแบบจะจะในแบบที่ควรจะเป็น
รวมไปถึงฝ่ายค้านอื่นๆ จาก ส.ส.จากอดีตพรรคอนาคตใหม่ ไม่ว่าจะเป็น นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ที่ถูกวางตัวให้เป็นผู้นำพรรคใหม่จาก นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ก็ไม่มีหลักฐาน หรือน้ำหนักเพียงพอที่จะถึงขั้นขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หรือกดดันจนถึงขั้นยุบสภา
นอกจากนี้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส จากพรรคเสรีรวมไทย ก็ยังดึงดันที่จะอภิปรายในเรื่องนายกรัฐมนตรี “ถวายสัตย์ฯไม่ครบถ้วน” ซึ่งก็ถูกระบุว่าเป็นเรื่องเก่า มีปัญหาที่เคยตกลงกันระหว่างวิปฝ่ายค้านกับวิปรัฐบาล และประธานสภาผู้แทนราษฎร นายชวน หลีกภัย ที่วินิจฉัยแล้วว่า ห้ามไม่ให้มีการอภิปรายในเรื่องนี้อีก แต่ปัญหาก็คือ“ชาวบ้านเขาเบื่อ” เนื่องจากพิจารณาแล้วถือว่ามัน“ตกกระแส”ไปแล้ว นั่นคือมันน่าเบื่อ มองว่า พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ มัวแต่จมปลักจะอภิปรายแต่เรื่องดังกล่าว อะไรประมาณนั้น
**ดังนั้น หากพิจารณาในภาพรวมๆ เท่าที่เห็น แม้ว่าการอภิปรายซักฟอกของฝ่ายค้านยังไม่จบดีนัก เพราะยังไม่ได้เห็นการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีอีกบางคน เช่น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่ถูกจองไว้เป็นคนสุดท้าย แต่บรรยากาศเท่าที่เห็นในช่วงสองวันที่ผ่านมา ถือว่า “ไม่เข้าเป้า”หรือหากพูดกันตรงๆ ก็ต้องบอกว่า“ต่ำกว่ามาตรฐาน”เนื้อหาที่นำมาอภิปรายก็ไม่มีน้ำหนัก ไม่ต่างจากกระทู้ถามสดเท่านั้น หลายคนจึงได้สรุปว่า อภิปรายแบบนี้ เปลืองค่าน้ำค่าไฟ นั่นแหละ !!